ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 274 การสู้รบนองเลือด
เวลานี้ดูเหมือนสายลมหยุดนิ่งไปอย่างน่าประหลาดด้วยเช่นกัน ทว่ากลิ่นอายความกระหายเลือดและการเข่นฆ่ากลับค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาเด่นชัด เสมือนความมืดมิดกำลังกลืนกินแสงสว่าง รอบกายเต็มไปด้วยความเงียบสงัด
ไม่มีผู้ใดไร้เดียงสาคิดว่าสงครามจบลงทั้งเช่นนี้ ความนิ่งเงียบของศัตรูคือการรอคอยโอกาส โอกาสที่เหมาะแก่การลงมือ ทุกคนล้วนรักษาอิริยาบถในท่าเดิม สติทุกส่วนล้วนตึงเขม็งประดุจสายธนู ดวงตาเฉียบคมและสงบเยือกเย็นประหนึ่งดวงตานกอินทรีคู่หนึ่งจับจ้องไปยังบริเวณพงไพรหนาทึบ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกลอบโจมตี แต่ด้วยรูปแบบที่กว้างใหญ่เช่นนี้กลับเป็นครั้งแรกที่เผชิญหน้า ตระกูลฉินคงต้องการนองเลือดของจริง นี่มากพอให้เห็นได้ว่ายามนี้ตระกูลฉินตื่นกลัวมากเพียงใด หลี่หมิงอวินจับจ้องไปยังเบื้องหน้า มุมปากกระตุกขึ้นเผยรอยยิ้มเย็นชา คิดจะเอาชีวิตของเขา เช่นนั้นก็มาสิ! ดูกันสิว่าพวกเจ้าจะมีความอดทนนี้หรือไม่
กองทัพที่อยู่นอกป่าเห็นได้ชัดว่าถูกก้อนศิลาขนาดยักษ์ใหญ่ที่กลิ้งลงมาจากภูเขาขวางเส้นทางไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทหารสามพันนายถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ไม่อาจมองเห็นกันและกันได้ ทว่าหนิงซิ่งไม่ได้กังวลแต่อย่างใด ยามที่สู้รบในหนานเจิงเขาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่อันตรายยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำไป อีกทั้งนี่ไม่ใช่ครั้งแรก บรรดาทหารล้วนมีประสบการณ์กันมาก่อนทั้งสิ้น เมื่อใดก็ตามที่ขาดการติดต่อกับเขาไป เก๋อเปียวจะเป็นผู้นำทัพทหารที่อยู่แนวหลังเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ยามนี้สิ่งที่เขาต้องจัดการคือไอ้พวกขี้ขลาดที่แอบอยู่ในป่า
หนิงซิ่งทำสัญญาณมือ จากนั้นกองทัพทหารก็เริ่มแปรทัพอย่างว่องไว โดยหนึ่งแถวยาวประหนึ่งมังกร กลายเป็นวงล้อมเล็กๆ หลายวง ยืนจัดแนวเป็นกำแพง ค่อยๆ เดินเคลื่อนไปเบื้องหน้าอย่างเนิบช้า ศัตรูอยู่ในที่มืด เขาอยู่ในที่สว่าง ศัตรูไม่เคลื่อนไหว เขาเคลื่อนไหว มาดูสิว่าเต่าอย่างพวกเจ้าเหล่านี้จะมุดหัวอยู่ในกระดองไปถึงเมื่อใด
“ใต้เท้าขอรับ จะทำอย่างไรกันดีขอรับ พวกเขามีโล่กำบัง ธนูจึงไร้ประโยชน์ หากพวกเขามุ่งหน้าไปอีกหน่อยก็จะออกพ้นวงล้อมของพวกเราแล้วนะขอรับ…” คนผู้หนึ่งในชุดดำมืดกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
นัยน์ตาเคร่งขรึมของชายชุดดำที่เป็นผู้นำแสดงแข็งกร้าวยิ่งขึ้น ให้ตายเถอะ คนของค่ายซีซานฝึกฝนกันมาอย่างชำนาญการจริงๆ นอกจากไม่แตกตื่นแล้วยังปรับรูปแบบทัพได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ทันทีที่ปรับเปลี่ยน หลี่หมิงอวินไปแอบซ่อนอยู่แห่งหนใดก็ไม่อาจรู้เสียแล้ว การที่เป้าหมายหายไปทำให้เขากระวนกระวายขึ้นมา ทหารที่ซุ่มโจมตีอยู่ในป่ามีจำนวนเพียงสามร้อยกว่านายเท่านั้น ทว่าอีกฝ่ายมีกันมากกว่าหกร้อยคน ซึ่งคนเหล่านี้ไม่อาจเทียบกับทหารทั่วไปได้ เพราะพวกเขาล้วนเป็นทหารที่ผ่านการสู้รบนองเลือดอย่างโชกโชน เดิมพันด้วยชีวิต เป็นพวกไม่กลัวตาย จะให้จำนวนคนสามร้อยนายไปต่อกรคู่ต่อสู้ที่จำนวนมากกว่าเป็นเท่าตัว แล้วจะเอาอะไรไปชนะเขาได้หรือ จะให้เอาชีวิตมาทิ้งกันที่นี่ก็ไม่เท่าไหร่ ประเด็นสำคัญคือทิ้งชีวิตแล้วยังทำให้ภารกิจลุล่วงไม่ได้ แล้วเขาจะมีหน้ากลับไปได้อย่างไรหรือ
“รออีกหน่อย…ให้กองกำลังแนวหน้าผ่านเลยไปก่อน คอยฟังสัญญาณจากข้าแล้วค่อยลงมือ” หลังสายตาของผู้นำ ชายชุดดำกวาดมองอย่างสำรวจ เขาจับสังเกตไปที่วงล้อมส่วนกลางค่อนท้ายนั่น เห็นได้ชัดเจนว่าส่วนนั้นมีการอารักขาหนาแน่นมากที่สุด และจำนวนคนก็มากที่สุดด้วยเช่นกัน
ได้เวลาแล้ว ผู้นำฝ่ายชุดดำกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “สั่งการลงไป ทันทีที่ให้สัญญาณ ทุกคนบุกโจมตีไปที่ส่วนกลางค่อนท้ายเต็มกำลัง”
เมื่อได้รับการชี้นำ ผู้ใต้บังคับบัญชาจึงนำคำสั่งโดยใช้สัญญาณมือถ่ายทอดต่อๆ กันไป
ฟึบ! เสียงหนึ่งดังขึ้น
เปลวไฟสีเหลืองดอกหนึ่งลุกพรึ่บขึ้น
ซึ่งในวินาทีที่เปลวไฟสีเหลืองลุกขึ้น ลูกธนูในมือหลินเฟิงแทบจะเป็นการตอบสนองที่ยิงออกไปตามสัญชาตญาณก็ว่าได้ มันพุ่งทะยานเข้าสู่บริเวณป่าหนาทึบที่เกิดเสียงดัง ‘ฉึ่บ’ เขาล่าสัตว์มาเป็นเวลาหลายปี โสตประสาตการได้ยินและแยกแยะตำแหน่งของเสียงจึงฉับไวเป็นที่สุด นั่นคือทักษะที่ติดตัวมาแต่เกิดของเขาก็ว่าได้
ผู้นำฝ่ายชุดดำเห็นลูกธนูขนนกพุ่งเข้ามา ม่านตาหดตัวเกร็งและเอียงศีรษะ ลูกธนูขนนกโฉบผ่านตำแหน่งขมับไปเฉียดฉิว แล้วปักลงบนต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังเกิดเสียงดัง ‘ปึก’ ปลายธนูขนนกยังคงสั่นไหว เสียงอื้ออึงของมันส่งผลให้เขาตื่นตระหนกและหวาดกลัว คาดไม่ถึงเลยว่าในกองกำลังพลมีผู้ที่เก่งกาจระดับนี้อยู่ด้วย
เขายังไม่ทันได้หายใจหายคอสะดวกเต็มที่ ลูกธนูดอกที่สอง ดอกที่สามก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าอีกครั้ง ผู้นำชุดดำจึงต้องกลิ้งลงบนพื้น เขาหลบไปได้หนึ่งดอก ทว่าบริเวณท่อนแขนส่วนบนกลับถูกอีกดอกหนึ่งปักเข้าอย่างจัง มันสร้างความเจ็บปวดจนเขาต้องกัดฟันแน่น
ระยะเวลาเพียงชั่วอึดใจเดียว เสียงระเบิดดังกึกก้องอย่างต่อเนื่องพร้อมกับหมอกควันสีขาวลอยขึ้นมา การมองเห็นของหนิงซิ่งและคนอื่นๆ จึงพร่ามัวไป กองกำลังพลที่เดิมทีมีความเป็นระบบระเบียบ เพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้จึงเกิดความโกลาหลเล็กน้อย
“อยู่ในความสงบ ตั้งรับศัตรูเข้าไว้…” หนิงซิ่งรีบตะโกนบอกผ่านม่านหมอกสีขาวไป เขาเห็นเงาคนจำนวนหลายสิบกำลังมุ่งเข้ามา นัยน์ตาของหนิงซิ่งเผยให้เห็นแสงความเหือดกระหายโลหิต มาสิ! ข้ายังรบราที่ชายแดนนั่นไม่สะใจ กำลังคันไม้คันมือพอดีเลย อย่างนั้นก็ขอเอาพวกเจ้าไอ้คนชั่วขี้ขลาดตาขาวมาจัดการให้สะใจเลยแล้วกัน
“ฟึ่บ ฟึ่บ...” ท่ามกลางกองกำลังพลเกิดเสียงดาบฟาดฟันเข้าเนื้อ ตามมาติดๆ ด้วยเสียงร้องโหยหวน
“แม่ทัพหม่าเป็นคนสอดแนมของฝ่ายศัตรู…” มีคนส่งเสียงตะโกนขึ้นมา
ทหารคนอื่นๆ ที่จับตามองหม่าโหยวเหลียงมาโดยตลอด ลงมือปะทะเข่นฆ่าในทันที ทันใดนั้นเสียงกระทบกันของโลหะก็ดังสนั่นไม่ขาดสาย
บัดซบเอ๊ย ไอ้หม่าโหยวเหลียงนี่มันเชื่อถือไม่ได้จริงๆ ด้วย หนิงซิ่งเดือดดาล ตะโกนเสียงดังลั่น “หม่าโหยวเหลียงร่วมมือกับศัตรูก่อการกบฏ ผู้ขัดคำสั่ง ฆ่าให้หมดไม่มีละเว้น พี่น้องค่ายเป่ยซาน หากคิดจะเป็นคนทรยศเช่นเดียวกัน ก็จัดการไปด้วยในคราวเดียว”
ในเวลาเดียวกันนี้ คนชุดดำที่ซุ่มอยู่ในป่าก็เริ่มเคลื่อนไหวโจมตี
เพียงเสียงตะโกนเดียวนี้ บรรดาทหารที่เดิมทีเห็นหัวหน้าของตนเองลงมือจู่โจมทหารค่ายซานซีอย่างกะทันหัน ท่ามกลางความงุนงงนี้จึงคิดลงมือตามๆ ไปด้วยก็หันมาตื่นตัวและฉุกคิดได้ ที่แท้หม่าโหยวเหลียงเป็นกบฏนี่เอง…ความนึกคิดที่จะลงมือตามแม่ทัพหม่าจึงทยอยดับสูญไป โดยหันปลายดาบไปต่อสู้กับกลุ่มคนชุดดำขึ้นมาแทน
หม่าโหยวเหลียงโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ไอ้หนิงซิ่งตัวดี การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีเพียงคนในที่สนิทและเชื่อถือได้ไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้ สำหรับส่วนที่เหลือกล่าวเพียงว่าค่ายซีซานคิดจะทำลายค่ายเป่ยต้าบนเส้นทางเป่ยซาน ตราบใดที่ชุลมุนไปด้วยกัน บรรดาทหารของค่ายเป่ยต้าก็จะไม่รู้เรื่องราวภายในที่แท้จริง และจำใจช่วยเขาลงมือจัดการเป็นแน่ คาดไม่ถึงว่าเมื่อถูกหนิงซิ่งส่งเสียงตะโกนเพียงครั้งเดียว จะทำให้กำลังคนส่วนใหญ่หยุดชะงักไปหน้าตาเฉย
“ไม่ต้องไปฟังพวกเขาพูดจาเพ้อเจ้อ คนของค่ายซีซานต่างหากที่คิดจะใช้โอกาสนี้ทำลาย…” หม่าโหยวเหลียงยังไม่ทันกล่าวจบ เสียงลมของแรงใบมีดที่พุ่งมาก็กระทบเฉียดข้างใบหู
“หม่าโหยวเหลียง ว่าแล้วเชียวว่าเจ้าจะต้องก่อการกบฏ วันนี้ข้าจะจัดการเจ้าเอง” หนิงซิ่งตวัดดาบเล่มใหญ่เกิดเป็นเสียงลมฟึ่บฟั่บ โดยมุ่งตรงไปยังหม่าโหยวเหลียงเต็มกำลังหวังทำร้าย
“ถุย! คิดจะจัดการข้าหรือ ไอ้เด็กน้อย เจ้ายังกระจอกไปหน่อย บรรดาพี่น้องแห่งค่ายเป่ยซาน จะต่อสู้กับสุนัขชั่วช้าอย่างค่ายซีซานสุดชีวิต…” หม่าโหยวเหลียงตะคอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน แม้ว่าพี่น้องแห่งค่ายเป่ยซานที่เข้ามาในป่าผืนนี้ไม่ได้มากมายนัก แต่ด้วยมีกองหนุนอยู่รอบนอกจึงทำให้เขาอาจกล้า แล้วเขายังจะต้องกลัวอะไรอีก! ทันใดนั้นดาบยาวก็เริ่มกวัดแกว่งต่อสู้กับกลุ่มหนิงซิ่ง
ผลสุดท้าย กรณีเลวร้ายที่สุดอย่างสถานการณ์ที่ไม่คาดหวังจะได้เห็นก็ยังคงเกิดขึ้นจนได้ ทว่าไม่เหลือเวลาให้หลี่หมิงอวินได้รำพึงรำพันเพราะความหดหู่ใจอีกแล้ว เขาทำได้เพียงเฝ้าดูผู้ใต้บังคับบัญชาของหม่าโหยวเหลียงถูกตัดหัวโดยกองพันทหารรักษาการณ์แต่ละคนอย่างเย็นชา เพื่อป้องกันการก่อกบฏของหม่าโหยวเหลียง เขาจงใจให้พลทหารของหนิงซิ่งแปดร้อยนายรวมไปถึงพลทหารของหม่าโหยวเหลียงจำนวนหนึ่งพันกว่านายติดตามแม่ทัพหลินกลับไปยังเมืองหลวง เพื่อเป็นการตัดทอนกำลังของหม่าโหยวเหลียงให้อ่อนแอลง โดยหม่าโหยวเหลียงที่ถูกห้อมล้อมอยู่ในป่าผืนนี้ก็มีกำลังคนเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น หนิงซิ่งได้สั่งการไว้แต่เนิ่นๆ โดยให้จำนวนสามคนจับตามองหนึ่งคน ดังนั้น ภายในระยะเวลาอันสั้นก็โต้กลับการก่อกบฏของหม่าโหยวเหลียงได้ เมื่อหม่าโหยวเหลียงทำอะไรได้ไม่มากแล้ว ตอนนี้ประเด็นสำคัญคือทางด้านคนชุดดำนั่น ดูเหมือนจะมีจำนวนคนไม่น้อยทีเดียว หลี่หมิงอวินจึงแอบกังวลใจอยู่ลึกๆ
ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดความโกลาหลภายใน และศัตรูโจมตีกะทันหัน ฝ่ายหนิงซิ่งดูเหมือนไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใด ทั้งยังยิ่งสู้รบยิ่งฮึกเหิม
สายลมที่เดิมทีหยุดชะงักไปกลับพัดโบกขึ้นมาอีกครั้งกะทันหัน เป่าให้หมอกควันขาวจางหายไปพร้อมกับเสียงหวีดของสายลม
หลินเฟิงนำกองทัพแนวหน้ามุ่งกลับไปเข่นฆ่าด้วยความรวดเร็ว ผนึกกับกองกำลังด้านหลังที่มีอยู่เสริมอำนาจเพื่อโจมตี
แม้ว่าคนชุดดำเหล่านี้มาอย่างโหดเหี้ยมดุดัน ทำท่าทำทางราวกับต้องการสู้สุดชีวิต ทว่าบรรดาพี่น้องแห่งค่ายซีซานก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน ผู้เป็นทหาร ใครบ้างจะไม่เตรียมพร้อมสำหรับการสละชีวิตได้ทุกเมื่อ พวกเขาอยู่กินกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของชีวิต หลังความโกลาหลในการสู้รบผ่านพ้นไปยกหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าแนวโน้มการโจมตีของคนชุดดำอ่อนแอลงไปแล้ว
โล่จำนวนหลายชั้นที่ห้อมล้อยอยู่ข้างกายของหลี่หมิงอวินถูกยกขึ้น คนชุดดำไม่อาจทำลายได้
บ้าฉิบ ยังมีหน้ามากล่าวว่ามีไส้ศึกภายในที่แข็งแกร่ง ที่แท้ก็แค่ไม่กี่สิบคน เพิ่งเริ่มลงมือก็ถูกคนเขาฟาดฟันไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว นี่มันเป็นไส้ศึกภายในแบบไหนกันหรือ ผู้นำชุดดำกอบกุมบาดแผลที่ท่อนแขนมองดูสถานการณ์ที่ตึงเครียด และแอบก่นด่าด้วยความเคียดแค้น
เดิมทีหม่าโหยวเหลียงคิดว่าไอ้คนอวดดีหนิงซิ่งคงไม่เก่งกาจไปสักเท่าใด คาดไม่ถึงว่าหนิงซิ่งไม่เพียงพละกำลังมากมาย กลยุทธ์การโจมตีก็โหดเหี้ยมอย่างยิ่งอีกด้วย หลังตั้งรับเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้อยู่หลายครั้งหลายครา หม่าโหยวเหลียงก็เริ่มต้านทานไม่ไหวเสียแล้ว และเมื่อมองไปยังคนใต้บังคับบัญชาของตนเอง เรียกได้ว่าแทบจะถูกกำจัดทิ้งหมดแล้วก็ว่าได้ ความรู้สึกตื่นกลัวจึงบังเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว บ้าฉิบ กำลังทั้งหมดของตระกูลฉินมีแค่นี้น่ะหรือ หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นตระกูลฉินยังจะมีปัญญาทำอะไรได้อีกหรือ
“หม่าโหยวเหลียง ไปตายซะ!” หนิงซิ่งเบิกตาดุดัน ฟาดมีดดาบใหญ่ลงไปที่บ่าของหม่าโหยวเหลียงเต็มแรง
หม่าโหยวเหลียงใช้มีดดาบต้านไว้ พยายามออกแรงต้านรับการโจมตีอันหนักหน่วงนี้ของหนิงซิ่ง
เกิดเสียงดัง “เคร้ง” ทันใดนั้นบริเวณง่ามนิ้วมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของหม่าโหยวเหลียงก็ฉีกขาด ส่งผลให้ดาบยาวเกือบหลุดจากมือ
หนิงซิ่งได้จังหวะการโจมตี เสียงโจมดีดัง ‘ฟึ่บ’ เข้าไปยังบริเวณหน้าอกของหม่าโหยวเหลียง เกราะที่ปกป้องบริเวณหัวใจของหม่าโหยวเหลียงแตกในทันที ด้วยระดับความโหดเหี้ยมถึงขั้นนี้ ชวนให้ผู้คนบางส่วนเกิดความหวาดเกรงยิ่งนัก
หม่าโหยวเหลียงถูกโจมตีสาหัสเช่นนี้ ไม่ทันไรเขาก็กระอักโลหิตออกมา หนิงซิ่งหมุนข้อมือ ปลายดาบยาวเปลี่ยนไปไม่ต่างจากหนามแหลมคม จากนั้นปลายดาบก็พุ่งเข้าไปที่บริเวณท้องของหม่าโหยวเหลียง และทะลุออกไปอีกฝั่งหนึ่ง
หม่าโหยวเหลียงเบิกดวงตาโต มองดูดาบยาวที่ทะลุร่างตนเองอย่างเหลือเชื่อ
คนชุดดำผู้หนึ่งถือดาบมุ่งมาฟาดฟันทางด้านหลังหนิงซิ่ง
เพียงหนิงซิ่งยกเท้าทีบไปด้านหลัง ผู้ที่เข้ามาโจมตีกระเด็นออกไปอย่างแรง คนผู้นั้นกระเด็นออกไปไกลและกระแทกเข้ากับลำต้นไม้ต้นหนึ่ง จากนั้นหล่นลงพื้นดังปึก หยาดโลหิตสีแดงสดพ่นกระเซ็นบนใบไม้แห้ง ศีรษะเอียงบิดเบี้ยว สิ้นลมหายใจ
หนิงซิ่งลูบดาบยาวที่ชักออกมาอย่างเย็นชา หม่าโหยวเหลียงดวงตาเบิกกว้างขณะหงายล้มไปด้านหลังพร้อมกับหยาดโลหิต
“ด้วยความสามารถเพียงน้อยนิดนี้ยังคิดก่อการกบฏ หนทางเดียวที่มีคือความตายเท่านั้น” หนิงซิ่งกล่าวด้วยเสียงเย็นชา ไม่แม้แต่จะมองดูผู้ที่อยู่บนพื้น พุ่งไปยังทิศทางคนชุดดำที่ล้อมโจมตีหลี่หมิงอวินอยู่
“ท่านแม่ทัพ ยังมีศัตรูอีกประมาณร้อยกว่าคนขอรับ” หลินเฟิงฟันคนชุดดำตายไปสองคน จากนั้นจึงร่นถอยมาข้างกายหนิงซิ่งเพื่อกล่าวรายงาน
นัยน์ตาหนิงซิ่งปรากฏความกระหายเข่นฆ่าเด่นชัด เขาพ่นคำออกมาผ่านไรฟัน “กำจัดให้เรียบ!” ขณะกล่าว เขาก็ฟาดฟันล้มลงไปอีกหนึ่งคน
“ขอรับ น้อมรับคำสั่งท่านแม่ทัพ กำจัดให้เรียบ” หลินเฟิงกล่าวเสียงดังลั่น
สายลมยังคงพัดหวีด หอบเอากลิ่นคาวโลหิตหนักหน่วง เสียงร้องเข่นฆ่า เสียงโหยหวน การโจมตีอันดุเดือด ทำให้ผืนพงไพรลึกที่เงียบสงัดผืนนี้ไม่สงบอีกต่อไป
ผู้นำชุดดำเห็นแนวโน้มสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงส่งเสียงตะโกนลั่น “ถอนกำลัง”
ทว่าฝ่ายหนิงซิ่งเลือดขึ้นหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีหรือจะยอมปล่อยให้พวกเขาลอยนวลไปได้ บางส่วนคุ้มกัน บางส่วนไล่ล่าโจมตี บางส่วนสกัดกั้น มีการแบ่งหน้าที่เป็นสัดเป็นส่วน
“อย่าให้หนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว…” หนิงซิ่งสั่งการ
หลินเฟิงจับจ้องผู้นำคนชุดดำที่วิ่งหนีออกจากวงล้อม ดาบยาวในมือเปลี่ยนการใช้เป็นหอกยาว เพียงออกแรงเดียว ดาบยาวนั่นก็ทะยานออกไปเสมือนลูกธนู ความแรงของมันเสมือนหอกไม้ไผ่ที่พุ่งเข้าด้านหลังของผู้นำคนชุดดำ
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “เก็บไว้เป็นพยานปากด้วย”
ผู้นำชุดดำกลับทิ้งน้ำหนักตัวลง ทันใดนั้นมีดดาบที่หลินเฟิงพุ่งออกไปก็ทะลุผ่านลำตัวเขา
กลุ่มคนที่เหลือเห็นว่าผู้นำตนเองเสียชีวิตแล้วจึงยิ่งต่อสู้อย่างสุดชีวิต
การสู้รบดำเนินต่อไปเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ท้ายที่สุดคนชุดดำจำนวนหนึ่งถูกฝูงชนรายล้อมไว้ มีดดาบหลายสิบด้ามกำลังชี้ไปที่พวกเขา เมื่อเห็นสถานการณ์เบื้องหน้าไร้สิ้นความหวังเสียแล้ว จึงหันมีดดาบมาปลิดชีพตนเองทันทีทันใด
“ยับยั้งพวกเขา…” หลี่หมิงอวินที่เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ ทว่ามันสายไปเสียแล้ว
หนิ่งซิ่งตรวจสอบบนเรือนร่างคนชุดดำเหล่านั้น กลับไร้เบาะแสใดๆ
“คนเหล่านี้ล้วนเป็นทหารกล้าตาย บนเรือนร่างไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ทั้งนั้น คนประเภทนี้ต่อให้เก็บไว้เป็นพยานปากก็ไม่อาจได้อะไรจากปากพวกเขาอยู่ดี” หนิงซิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ใจ
หลี่หมิงอวินมองดูศพคนชุดดำที่เกลื่อนกลาดเต็มพื้น แล้วยังมีหม่าโหยวเหลียงที่นอนแผ่อยู่ไม่ไกลออกไป ภายในใจรู้สึกหนักอึ้งเป็นพิเศษ หากไม่ได้มีการเตรียมการแต่เนิ่นๆ และคิดคำนวณทีละขั้นทีละตอน บางทีผู้ที่นอนอยู่ที่แห่งนี้ในวันนี้ก็คงเป็นเขา