ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 276-2 ใครเก่งกาจที่สุด
เมื่อเห็นเว่ยจื่อถือชามเดินออกมาจากบ้านฝั่งตรงข้าม ชายฉกรรจ์ที่อยู่ใจกลางลานบ้านก็เอ่ยขึ้น “เว่ยจื่อ เจ้าว่าหัวหน้าให้พวกเราสี่คนคอยเฝ้าดูไอ้เด็กน้อยนี่ มันจำเป็นขนาดนั้นหรือ ลำพังเขาที่แขนขาสั้นๆ เล็กๆ แค่นั้น จะวิ่งหนีไปไหนได้?”
เว่ยจื่อกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พูดไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย หัวหน้าบอกไว้แล้วว่างานนี้สำคัญยิ่ง หากมีอะไรผิดพลาด เจ้าก็รู้วิธีจัดการของหัวหน้าเช่นกันนี่”
คนผู้นั่นกัดขาหมูเข้าไปหนึ่งคำ แล้วกล่าวพึมพำ “เอาละๆ กะอีแค่เด็กตัวเล็กๆ จะมีลูกไม้อะไรขึ้นมาได้ ข้าเห็นเขาก็ว่าง่ายทีเดียว ไม่มีอะไรหรอกน่า”
เว่ยจื่อโน้มตัวลงเพื่อหยิบจานเนื้อบนโต๊ะ แล้วเดินจากมา “เอ้อร์หนิว เดี๋ยวเจ้ากินเสร็จแล้วก็ออกไปคอยเฝ้าด้านนอกไว้ด้วย”
ซานเอ๋อร์เห็นเว่ยจื่อกำลังจะเข้ามา จึงรีบปีนกลับขึ้นไปบนเตียงเตา นั่งนิ่งอย่างเชื่อฟัง
‘แอ๊ด…’ เว่ยจื่อผลักประตูเข้ามา นำชามข้าววางลงเบื้องหน้าซานเอ๋อร์ “เอ้า กินสิ!” ส่วนตนเองถือจานเนื้อนั่งลงด้านข้างแล้วเริ่มรับประทาน
ซานเอ๋อร์มองดูเขากินอย่างเอร็ดอร่อย ความหอมหวนนั่นทำให้กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว เขากะพริบตาปริบๆ มองดูเนื้อในชามของเว่ยจื่อ
เว่ยจื่อเห็นสภาพดังกล่าว จึงเลือกเนื้อมาชิ้นหนึ่งแล้วโยนใส่ชามของซานเอ๋อร์
ซานเอ๋อร์กล่าวยกยอปอปั้นด้วยสีหน้าระรื่นทันที “ท่านลุง ท่านช่างดีจริงๆ เลย ท่านดีกว่าลุงท่านเมื่อครู่นี้มากเลยขอรับ”
เว่ยจื่อชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นหลุดหัวเราะออกมา ชั่วชีวิตนี้ยังไม่เคยมีคนกล่าวชมเขาเพียงนี้มาก่อนก็ว่าได้ เด็กน้อยนี่ เฮ้อ! คงยังไม่รู้สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่อย่างชัดเจนสินะ ถึงได้ยังทำหน้าทำตาใสซื่ออยู่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม นี่กลับเป็นอะไรที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกชื่นชอบอยู่เหมือนกัน
ถึงจะเห็นว่าปกติแล้วซานเอ๋อร์ค่อนข้างเลือกรับประทาน ทว่ายามนี้ด้วยความเข้าใจสถานการณ์ดี การที่พอมีอะไรให้กินก็นับว่าไม่เลวแล้ว ถึงอย่างไรก็ดีกว่าหิวท้องกิ่วจนไร้เรี่ยวแรง เขาจึงกินมันเข้าไปคำโตๆ
หลังกัดกินเนื้อหมดแล้ว ซานเอ๋อร์ถือชามข้าวแล้วกระโดดลงมาจากเตียงเตา ไปนั่งอยู่ข้างกายเว่ยจื่อด้วยสีหน้าระรื่น ดวงตาจับจ้องไปยังเนื้อในชามของเว่ยจื่อไม่วางตา
การถูกเด็กคนหนึ่งจับจ้องอยู่เช่นนี้ ทำให้เว่ยจื่อกินไม่ค่อยลงเท่าไหร่นัก เขาจึงยื่นชามไปเบื้องหน้าซานเอ๋อร์ “สมใจเจ้าแล้ว ชิ้นนี้เป็นของเจ้าแล้ว”
ซานเอ๋อร์รีบหยิบเนื้อมารับประทานอย่างรวดเร็ว รับประทานไปพูดคุยไป “ท่านลุง ขาหมูย่างของบ้านท่านหอมอร่อยจริงๆ อร่อยกว่าทางห้องครัวที่บ้านข้าทำอีก ที่ห้องครัวบ้านข้าทำ ข้าไม่ชอบกินเลยสักอย่าง”
เว่ยจื่อเผยรอยยิ้มเจื่อน “พอหิวแล้วจะกินอะไรก็อร่อยไปหมดเป็นธรรมดา เจ้าเป็นบุตรคนร่ำคนรวย เคยลิ้มรสความหิวจนท้องกิ่วเสียที่ไหนกัน”
ซานเอ๋อร์รับประทานจนอิ่มหนำ ถึงขั้นยืดลำคอแล้วส่งเสียงเรอออกมาเพื่อระบายลมออกทางปาก จากนั้นลูบคลำท้องด้วยความพึงพอใจ ขณะเดียวกันดวงหน้าเล็กๆ ของเขาก็เชิดขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา “ท่านลุง พรุ่งนี้ยังมีขาหมูให้กินอีกหรือไม่ มันอร่อยจริงๆ เลยขอรับ!”
เว่ยจื่อยกยิ้มมุมปาก เจ้าเด็กน้อยนี่ สรุปแล้วไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองถูกลักพาตัวมาแล้ว และบางทีพรุ่งนี้ชะตาชีวิตน้อยๆ อาจดับสูญไปก็เป็นได้ ยังจะมีกะจิตกะใจนึกคิดแต่เรื่องกินอยู่อีก
“เอ่อ…เจ้าไม่คิดถึงแม่เจ้าเลยหรือ” เว่ยจื่อเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
ซานเอ๋อร์เม้มปากอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านแม่ข้าเอาแต่เข้มงวด น่ารำคาญจะตายชัก ข้าได้ออกมาสักระยะหนึ่งก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องได้ยินนางบ่นพร่ำเพรื่อ”
เอ่อ! ออกมาสักระยะ? เจ้าเด็กน้อยนี่ยังคิดว่าตนเองจะได้กลับไปอีกหรือ ช่างเป็นเด็กที่โง่เขลาจริงๆ เว่ยจื่อรู้สึกหมดคำจะพูด
ซานเอ๋อร์สะอึกขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง คิ้วน้อยๆ ของเขาขมวดชนกัน และปั้นหน้าเศร้าสลดมองไปยังเว่ยจื่อ “ท่านลุง กินอิ่มเกินไปแล้ว ทำอย่างไรดีล่ะ”
เว่ยจื่อกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็เดินวนเวียนในห้องนี้สักสามสี่รอบแล้วกัน”
ซานเอ๋อร์กลอกตาไปมา “ท่านลุง พวกเราไปเล่นในลานบ้านกันเถอะ!”
เว่ยจื่อกล่าวสวนทันควัน “ไม่ได้ ข้าให้เจ้าออกไปจากบ้านหลังนี้มิได้”
ซานเอ๋อร์เขยิบเข้าไปใกล้ กอดท่อนแขนของเว่ยจื่อแล้วเขย่า พลางกล่าวด้วยเสียงออดอ้อน “ท่านลุง ท่านใจดีที่สุดแล้ว ท่านเป็นคนดี ท่านให้ข้าออกไปเล่นสักประเดี๋ยวเถอะน้า! ข้ารับประกันว่าจะเชื่อฟังคำพูดของท่าน ท่านลุงขอรับ…”
ทั้งชีวิตนี้ของเว่ยจื่อดำเนินชีวิตโดยหยาดโลหิตอาบบนสันคมดาบมาโดยตลอด ใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้หรือไม่ ข้างกายก็ไร้ญาติมิตรคนสนิท เคยได้สัมผัสการออดอ้อนของเด็กน้อยเช่นนี้เสียที่ไหนกัน เมื่อถูกเขาเขย่าเยี่ยงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย เฮ้อ! เจ้าดีนี่ช่างชวนให้ผู้คนเขาเอ็นดูจริงๆ เพียงแต่ชะตาชีวิตโชคร้ายก็เท่านั้น ดันตกมาอยู่ในเงื้อมมือของหัวหน้าไปได้ หัวหน้ากล่าวว่า เก็บเขาไว้อีกไม่กี่วัน รอเรื่องราวสำเร็จแล้วก็จัดการทิ้ง มองดูดวงหน้าน้อยๆ สีชมพูระเรื่อ จู่ๆ เว่ยจื่อก็รู้สึกห้ามใจไม่ได้ เอาเถอะๆ เด็กน้อยนี่ช่างน่าสงสารอยู่เหมือนกัน ให้เขาได้สุขใจไปอีกสักสองสามวันแล้วกัน! ถึงอย่างไรก็มีคนคอยเฝ้าดูอยู่มากเพียงนี้ เขาคงหนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว
สิบห้านาทีต่อมา ชายฉกรรจ์ที่อยู่ในลานบ้าน บ้างก็นั่ง บ้างก็ยืนกอดอกพิงบานประตู มองดูเด็กน้อยจ้ำม่ำที่อยู่ใจกลางลานบ้านกำลังเพียรพยายามขว้างก้อนหินก้อนเล็กๆ ไปยังวงกลมที่วาดบนลำต้นของต้นไม้ แต่น่าเสียดายที่โยนไม่เข้าเป้าเลยสักครั้ง
น่าเบื่อชะมัด เจ้าเด็กน้อยนี่ช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ
“นี่แหนะ!”
“นี่แหนะ…”
“ครั้งนี้ต้องเข้าเป้าแน่”
ซานเอ๋อร์กำลังสนุกสนานไปกับตนเองอยู่ตรงนั้น และเปลี่ยนท่าทางการโยนหินไปต่างๆ นานา
“แปลกชะมัด เหตุใดพี่จ้าวโยนครั้งเดียวก็เข้าเป้าแล้ว แต่ข้าโยนตั้งหลายครั้งเพียงนี้แล้วยังไม่เข้าเป้าสักครั้ง” ซานเอ๋อร์ลูบศีรษะขณะพึมพำกับตนเอง
เอ้อร์หนิวไม่อาจทนดูต่อไปไหว จึงลุกขึ้นมา “นี่! ไอ้เด็กน้อย เลิกเล่นได้แล้ว ไม่เคยเห็นใครโง่เง่าเท่าเจ้ามาก่อนเลย”
ซานเอ๋อร์ปั้นหน้าไม่พึงพอใจ และกล่าวโต้ตอบ “ท่านไม่โง่ก็มาลองดูสักตั้งสิ”
เอ้อร์หนิวตะลึงงันไปชั่ววูบ “ไอ้หยา! คิดจะท้าทายข้าด้วยหรือ”
ซานเอ๋อร์กลอกตามองบน บ่นพึมพำ “คงเกรงว่าจะขายหน้าสินะ ถึงไม่กล้าน่ะ!”
เอ้อร์หนิวไม่เคยถูกเด็กน้อยดูหมิ่นเพียงนี้มาก่อน จึงม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินเข้ามาทันที “เอาหินมา”
ซานเอ๋อร์รีบยื่นไปให้ทันที “ให้ท่านโยนห้าก้อน หากโยนไม่เข้าเป้า ท่านก็คือคนโง่”
เว่ยจื่อและคนอื่นๆ มองดูภาพฉากดังกล่าวด้วยสีหน้าสนอกสนใจ
เอ้อร์หนิวกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “ไอ้เด็กน้อย จับตาดูให้ดีๆ ละ”
เอ้อร์หนิวสะบัดขอมือ ปาหินก้อนหนึ่งลอยละลิ่วออกไป มันกระทบเข้ากับใจกลางวงกลมบนต้นไม้พอดิบพอดี
ซานเอ๋อร์ปรบมือและโห่ร้องด้วยความสนุกสนาน “ว้าว! ท่านลุง ท่านเก่งกาจเหลือเกิน”
เอ้อร์หนิวเผยสีหน้าได้ใจ จากนั้นขว้างไปอย่างต่อเนื่องอีกสี่ก้อน ทั้งหมดเข้าเป้าตรงเผง
นัยน์ตาซานเอ๋อร์เปล่งประกายพร่างพราว กล่าวต่อเขาอย่างเลื่อมใสศรัทธา “ท่านลุง ท่านช่างเทพเกินไปแล้ว ท่านต้องเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในนี้แน่นอนเลย”
“ไอ้เด็กน้อย นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่ได้เห็นคนที่เก่งกาจกว่านั้นต่างหาก” ชายฉกรรจ์รูปร่างผอมคนหนึ่งคว้าเมล็ดถั่วลิสงบนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งกำมือ แล้วเดินเข้ามา
“คอยดูไว้ละ ไอ้เด็กน้อย ดูสิว่าใครกันแน่ที่เก่งกาจที่สุด”
ชายฉกรรจ์รูปร่างผอมแบมือออก จากนั้นใช้อีกมือหยิบเมล็ดถั่วลิสงแล้วปาออกไปอย่างต่อเนื่องทีละเม็ด ตามด้วยเสียงแปะๆๆ กระทบลงบนลำต้นของต้นไม้
ซานเอ๋อร์เห็นเช่นนั้น จึงปรบมืออย่างสนุกสนาน “ที่แท้ท่านลุงท่านนี้ต่างหากที่เป็นคนเก่งกาจที่สุด”
“หลีกไปๆ ดูข้านี่” เหล่าเถี่ยอดใจไม่ไหวแล้วเช่นกัน คนอย่างเอ้อร์หนิวกับไอ้ลิ่งผอมนี่น่ะหรือคู่ควรกับคำว่าเก่งกาจที่สุด?