ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 277-2 หลบหนี
ไม่ง่ายเลยสำหรับเฝิงซูหมิ่นที่ทนอยู่มาจนถึงรุ่งเช้า หลังล้างหน้าล้างตาและหวีผมเผ้าเป็นที่เรียบร้อยก็มาหาหลินหลัน
“หลินหลัน หัวหน้ามือปราบเจิ้งกล่าวว่าคนร้ายเหล่านั้นจะส่งจดหมายมาให้พวกมิใช่หรือ นี่ก็ผ่านไปคืนหนึ่งแล้ว เหตุใดถึงยังไม่มีจดหมายอีกล่ะ ไม่รู้เลยว่าเมื่อคืนซานเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง จะหนาวเหน็บหรือไม่ จะหิวหรือไม่…” ขณะเฝิงซูหมิ่นเอื้อนเอ่ย ขอบดวงตาก็เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตาอีกครั้ง
หลินหลันมองดูดวงตาคมเฉี่ยวของเฝิงซูหมิ่นที่ดูเหมือนจะบวมอยู่เล็กน้อย น้ำเสียงก็แหบพร่าด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าคงร้องไห้ตลอดทั้งคืน แน่นอนว่าตัวนางเองก็ไม่ได้ดีไปกว่านางสักแค่ไหนเช่นกัน ขอบดวงตาของนางถึงขั้นดำคล้ำไปหมด
“ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป ซานเอ๋อร์เป็นเด็กที่ชาญฉลาดและมีไหวพริบ จะต้องไม่เสียเปรียบเป็นแน่” หลินหลันกล่าวปลอบใจ
“ต่อให้ซานเอ๋อร์ชาญฉลาดเพียงใด แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดหรือ คนเหล่านั้นลักพาตัวเขาไปคงไม่ใช่เล่นๆ เป็นแน่…” เฝิงซูหมิ่นเช็ดหัวตา กล่าวด้วยเสียงสะอึกสะอื้น
“หลินฮูหยิน คุณชายซานเอ๋อร์เป็นเด็กที่มีบุญ จะต้องแคล้วคลาดจากภัยอันตรายแน่นอนเจ้าค่ะ” แม่โจวมาปลอบประโลมอีกแรงเช่นกัน ทว่าในใจตนเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเช่นกัน เด็กน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูเพียงนั้น อย่างอื่นไม่กล้าคิด ลำพังคิดว่าแค่คงต้องทนหิวและเหน็บหนาวก็ทำให้รู้สึกปวดใจแทบไม่ไหวแล้ว
หลินหลันกล่าวเสริม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ! ซานเอ๋อร์เป็นเด็กที่มีบุญอย่างยิ่ง จะไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นแน่นอน อีกอย่าง ท่านมือปราบเจิ้งมีประสบการณ์เกี่ยวกับคดีประเภทนี้ ทางท่านจิ้งปั๋วโหว์ก็รับปากแล้วเช่นกันว่าจะส่งคนไปตรวจสอบ ต่อให้พวกเราต้องพลิกทั้งเมืองหลวง ก็ต้องตามหาซานเอ๋อร์กลับมาให้จงได้เจ้าค่ะ”
แม่โจวประคองเฝิงซูหมิ่นไปนั่งลงข้างโต๊ะ แสดงท่าทีให้หยินหลิ่วไปหยิบน้ำอุ่นมา จากนั้นนำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำบิดหมาดแล้วส่งให้นายหญิงเช็ดหน้า “ฮูหยินทำใจให้สบายนะเจ้าคะ คนเหล่านั้นลักพาตัวคุณชายซานเอ๋อร์ไป เพราะคิดจะใช้คุณชายซานเอ๋อร์เป็นเครื่องมือต่อรอง ก่อนที่เอ้อร์เส้าเหยียจะกลับมา คนเหล่านั้นไม่มีทางทำไม่ดีต่อคุณชายซานเอ๋อร์แน่นอนเจ้าค่ะ”
เฝิงซูหมิ่นกล่าวด้วยความเศร้าโศก “ยามนี้ไม่เป็นไร แต่ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจากนั้นจะไม่เป็นไร หากคุณชายตระกูลเจ้าไม่ตอบรับเงื่อนไขของพวกเขา มิเท่ากับซานเอ๋อร์ต้องตายสถานเดียวหรอกหรือ” เฝิงซูหมิ่นเริ่มรู้สึกเสียใจภาพหลังอีกครั้ง เป็นตนเองแท้ๆ ที่นำซานเอ๋อร์ส่งเข้าไปเผชิญปัญหาเลวร้าย!
หลินหลันหย่อนตัวลงนั่งข้างนาง และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่หรอกเจ้าค่ะ หมิงอวินไม่มีทางไม่สนใจความเป็นความตายของซานเอ๋อร์ เขาจะต้องคิดหาวิธีการได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
เฝิงซูหมิ่นสะอึกสะอื้น และกล่าวด้วยความโกรธเคือง “ข้าให้ผู้ดูแลบ้านส่งจดหมายไปให้ท่านพี่แล้ว เขาอยู่ชายแดนเพื่อปกป้องอาณาเขตอย่างไม่คิดชีวิต แต่กลับปล่อยให้บุตรชายของตนเองถูกคนเขาปองร้าย เขารู้จักแต่ปกป้องบ้านเรือนผู้อื่น รู้จักแต่ปกป้องประเทศชาติบ้านเมือง หากซานเอ๋อร์กลับมาอย่างปลอดภัยไม่ได้ ข้าจะเอาเรื่องเขาเป็นแน่”
หลินหลันครุ่นคิดอย่างเงียบๆ หากตาผู้เฒ่านั่นรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับซานเอ๋อร์ เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหรือ ตอนนั้นที่เขาได้ยินว่าพวกเขาสามแม่ลูกไม่อยู่แล้ว ก็หันไปแต่งงานมีครอบครัวใหม่ทันที
“คุณหนูสามเจ้าคะ…” เสียงของอวิ๋นอิงดังเข้ามาในห้อง
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายล่ะ”
“กำลังพูดคุยกับหลินฮูหยินในห้องเจ้าค่ะ!”
“มีข่าวคราวซานเอ๋อร์แล้วหรือไม่”
อวิ๋นอิงกล่าว “ยังไม่ได้ข่าวคราวเลยเจ้าค่ะ!”
เสียง ‘อ้อ…’ ของหมิงจูดูเหมือนหวังอย่างยิ่ง หลังชะงักไปชั่วครู่ ก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้นข้าไปก่อนละ มีข่าวคราวซานเอ๋อร์แล้ว รบกวนช่วยบอกกล่าวข้าด้วย”
“คุณหนูสามเดินกลับดีๆ นะเจ้าคะ…”
ผ่านไปไม่นานนัก หงซางก็มาถามไถ่ข่าวคราวเช่นกัน หลินหลันจึงไปบอกกล่าวนางด้วยตนเอง “กลับไปบอกต้าเส้าหน่ายนายว่าให้นางวางใจได้ เมื่อมีข่าวคราวคุณชายซานเอ๋อร์แล้ว ข้าจะแจ้งให้นางทราบทันที”
เฝิงซูหมิ่นเห็นคนของจวนหลี่ต่างห่วงใยซานเอ๋อร์ถึงเพียงนี้ ภายในใจจึงรู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งคิดยิ่งปวดใจ
หลังรับประทานอาหารเช้า ขณะหลินหลันเตรียมจะส่งตงจึไปถามไถ่ความคืบหน้าจากหัวหน้ามือปราบเจิ้ง แม่เหยาพาคนผู้หนึ่งเข้ามาและกล่าวว่าต้องการเข้าพบหลินฮูหยิน
“แม่หวัง เจ้ามาที่นี่ทำไมหรือ หรือว่าคนเหล่านั้นดันก่อปัญหาอันใดขึ้นอีกแล้ว” เฝิงซูหมิ่นกำลังกระวนวายใจ จึงกล่าวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
แม่หวังกล่าวทันที “ฮูหยิน ท่านรีบกลับบ้านเถอะเจ้าค่ะ! คุณชายน้อยซานเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันและเฝิงซูหมิ่นต่างตะลึงงัน คิดว่าตนเองหูฟาดไปแล้ว เฝิงซูหมิ่นจึงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “เจ้าว่าอะไรนะ? ใครกลับบ้านมาแล้วหรือ”
แม่หวังกล่าวตอบ “ฮูหยิน คุณชายซานเอ๋อร์กลับมาแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ เช้าตรู่วันนี้ มีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาส่งข่าว กล่าวว่าคุณชายซานเอ๋อร์อยู่บ้านเขา ให้ไปรับกลับมาที บ่าวเกรงว่าเรื่องราวจะมีเล่ห์กลอันใด จึงตามเข้าไปด้วยตนเอง ผลปรากฏว่าคุณชายซานเอ๋อร์อยู่ในบ้านคนเขาจริงๆ และกำลังกัดหมั่นโถวอยู่เลยเจ้าค่ะ! เดิมทีบ่าวคิดจะพาคุณชายน้อยซานเอ๋อร์มานี่ ทว่าคุณชายน้อยซานเอ๋อร์กล่าวว่าจวนหลี่ไม่ปลอดภัย ให้เข้าไปบอกกล่าวฮูหยินและเอ้อร์เส้าหน่ายนายถึงที่จะดีกว่า นี่บ่าวก็เลยเร่งรีบมารายงานเจ้าค่ะ”
เฝิงซูหมิ่นดีใจจนแทบคลั่ง “นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่! หลินหลัน เจ้าหยิกข้าทีสิ”
หลินหลันไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน นางกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะร้องไห้ “ข้าจะหยิกท่านทำไมหรือ แม่หวังหรือจะโกหกพวกเรา ท่านรีบไปดูเถอะ ข้าไม่กล้าก้าวออกจากจวนสักฝีก้าวเช่นกัน ข้าจะให้จ้าวจัวอี้ติดตามท่านไป”
แม่โจวดีใจจนน้ำตาไหลริน สองมือยกขึ้นประกบกันและกล่าวอามิตตาภพุทธ
หยินหลิ่วกล่าวขึ้นมาเช่นกัน “เดี๋ยวข้าจะไปบอกกล่าวจิ่นซิ่วเดี๋ยวนี้ล่ะ สาวน้อยนี่ร้องห่มร้องไห้ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ แทบไม่เหลือน้ำตาจะให้ไหลรินแล้วก็ว่าได้เจ้าค่ะ”
เฝิงซูหมิ่นเดินออกไปอย่างเร่งรีบ หลินหลันรอคอยอยู่ที่บ้านด้วยความกระวนกระวายกว่าหนึ่งชั่วยาม จากนั้นจ้าวจัวอี้ถึงกลับมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย คุณชายซานเอ๋อร์ปลอดภัยแล้วขอรับ เด็กน้อยนี่ช่างชาญฉลาดและมีไหวพริบสุดๆ ใช้ประสบการณ์หนีตายจากตอนนั้นที่ข้าถูกคนจับได้ว่าขโมยไส้กรอกบ้านคนอื่นเขา จึงช่วยให้เขาหนีรอดออกมาได้จริงๆ ขอรับ”
หลินหลันได้ยินดังกล่าว ภายในใจรู้สึกประหนึ่งศิลาก้อนใหญ่ตกลงสู่พื้น พระเจ้าคุ้มครองจริงๆ ทำให้ซานเอ๋อร์รอดพ้นจากอันตรายได้
“คุณชายซานเอ๋อร์กล่าวว่า เขาถูกขังไว้ในบ้านหลังหนึ่ง มีคนเฝ้าเขาสี่คน ผู้เป็นหัวหน้านามว่าเว่ยจื่อ ส่วนที่เหลือนามว่าเหล่าเถี่ย เอ้อร์หนิว และโซ่วจื่อ เพราะคนเหล่านั้นเห็นเขาเป็นเด็ก ก็เลยไม่ได้ป้องกันเขาอย่างเข็มงวด จึงถูกเขาวางแผนสับขาหลอกและหนีออกมาได้ ทว่ากลางดึกดื่นที่มืดมิดวังเวงเพียงนั้น เขาจึงไม่รู้ว่าบ้านหลังนั้นตั้งในสถานที่แห่งหนใด อย่างไรก็ตาม เมื่อมีชื่อของคนเหล่านี้แล้ว ท่านหัวหน้ามือปราบเจิ้งคงจะจับตัวพวกเขาได้ในเร็วๆ นี้ละขอรับ” จ้าวจัวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
หลินหลันกล่าว “ช่างเป็นเด็กที่มีไหวพริบจริงๆ”
“นั่นสิขอรับ ผู้ใหญ่สี่คนยังจับตาดูเขาไว้ไม่ได้ เด็กน้อยคนนี้เป็นคนที่สติปัญญาล้ำเลิศผู้หนึ่งชัดๆ” จ้าวจัวอี้รู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง
หลินหลันครุ่นคิดอย่างหนักก่อนกล่าวขึ้นมา “เจ้านำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวท่านเจิ้งหัวหน้ามือปราบ และให้เขาทำการตรวจสอบต่อไป จากนั้นค่อยไปจวนท่านแม่ทัพ บอกกล่าวหลินฮูหยินสักหน่อย ให้เขานำซานเอ๋อร์ซ่อนไว้ให้ดีๆ อย่าให้คนรู้ว่าซานเอ๋อร์กลับจวนแล้ว”
จ้าวจัวอี้กล่าวด้วยความข้องใจ “ทำเช่นนี้ทำไมหรือขอรับ”
หลินหลันยกยิ้มมุมปากที่เคลือบไว้ด้วยความเย็นชา “ในเมื่อซานเอ๋อร์พ้นอันตรายแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็มิต้องเกรงกลัวแล้ว พวกเขาคิดจะลักพาตัวคนก็ลักพาไปสิ เห็นว่าพวกเรารังแกได้ง่ายหรือไรกัน ไว้รอหัวหน้ามือปราบเจิ้งจับตัวคนเหล่านั้นได้แล้ว พวกเราก็ทำเรื่องนี้ให้เอิกเกริก ดูสิว่าพวกเขาจะจัดการอย่างไร”
ตระกูลฉินจับตัวบุตรชายของแม่ทัพฮ๋วยหยวนไว้ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป บรรดาทหารนักรบเหล่านั้นคงต้องโกรธเกรี้ยวเป็นแน่ แนวโน้มเสียงที่จะต่อต้านตระกูลฉินก็จะทวีคูณยิ่งขึ้น นี่ถือเป็นการโอกาสดีงามที่มาถึงหน้าประตู หากไม่ใช้มันเพื่อก่อประโยชน์จะไม่น่าเสียดายแย่หรือ
จ้าวจัวอี้เผยสีหน้าเห็นด้วย กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความคิดนี้ของพี่สะใภ้ยอดเยี่ยมทีเดียว ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ในจวนแม่ทัพฮ๋วยหยวน ซานเอ๋อร์อาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนชุดเป็นที่เรียบร้อย รับประทานโจ๊กรังนกและแป้งทอดไส้เนื้อเข้าไปหนึ่งชิ้น ตามด้วยซาลาเปาไส้เนื้อสองลูก รับประทานจนท้องน้อยๆ นูนเด่นขึ้นมา
เฝิงซูหมิ่นนั่งอยู่ด้านข้าง มองดูลูกน้อยที่กลับมาหลังจากหายตัวไป เสมือนเกรงกลัวว่าในชั่วพริบตาซานเอ๋อร์จะหายตัวไปอีก
“ค่อยๆ กิน ระวังจะสำลักจนได้…” เห็นซานเอ๋อร์รับประทานอย่างเอร็ดอร่อยเพียงนี้ เฝิงซูหมิ่นรู้สึกปวดใจขึ้นมาจนเกินบรรยาย อดร้องไห้ออกมาอีกครั้งไม่ได้ “คนชั่วร้ายเหล่านั้นช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว ถึงขั้นลงมือต่อเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างโหดเหี้ยมเพียงนี้ แม้แต่ข้าวปลาก็ไม่ให้เจ้ากิน”
ซานเอ๋อร์กัดซาลาเปาไส้เนื้อคำโต แล้วกล่าว “ท่านแม่ นี่ไม่ใช่เพราะข้าหิวหรอกขอรับ พวกเขาไม่ได้ปล่อยให้ข้าหิว ข้าก็แค่อยากกินเยอะๆ หน่อยเพื่อสยบความตื่นตระหนกน่ะขอรับ”
ดวงตาของโม่เอ๋อร์แดงระเรื่อ จมูกก็รู้สึกหายใจไม่สะดวก น้ำเสียงฟังดูอู้อี้เล็กน้อย “ข้าน้อยจะให้ทางห้องครัวยกอาหารอร่อยๆ มาให้รับประทานอีกนะเจ้าคะ”
ซานเอ๋อร์รีบกล่าวทันควัน “พี่โม่เอ๋อร์ ไม่ต้องแล้วละ ข้ากินอิ่มแล้ว ขืนกินอีกคงได้จุกแย่” จากนั้นจึงกล่าวปลอบประโลมมารดา “ท่านแม่ ท่านอย่าเศร้าเสียใจไปเลย นี่ซานเอ๋อร์ก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วมิใช่หรือขอรับ”
เฝิงซูหมิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “เจ้าเติบใหญ่เพียงนี้ เคยให้แม่ต้องตระหนกตกใจกลัวเช่นนี้เสียที่ไหนกัน แม่คิดๆ ดูก็มักรู้สึกหวาดกลัวเสียยิ่งอะไรดี”
เดิมทีซานเอ๋อร์ยังคิดว่ามารดาจะกล่าวชมเขาสักสองสามประโยค การจะหนีจากเงื้อมมือคนชั่วร้ายทั้งสี่คนนั่นมันไม่ง่ายดายเลยสักนิด! ลองเปลี่ยนเป็นเจ้าเด็กน้อยนั่น ‘ที่เสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม’ คงได้แต่ร้องห่มร้องไห้ จากนั้นคงถูกเหล่าเถี่ยเล่นงานจนทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อเห็นมารดาเศร้าเสียใจเพียงนี้ เขาจึงละอายใจเกินกว่าจะแสดงท่าทีภาคภูมิใจในตนเอง เขาซบกายลงในอ้อมอกมารดาอย่างว่านอนสอนง่าย และยกมือน้อยจ้ำม่ำช่วยปาดน้ำตาให้มารดา “ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้เลยขอรับ วันหลังซานเอ๋อร์จะเชื่อฟังท่านแม่และพี่หลันเอ๋อร์ ไม่เที่ยววิ่งไปทั่วตามอำเภอใจอีกแล้วขอรับ”
เฝิงซูหมิ่นโอบกอดบุตรชายแนบแน่น จับดวงหน้าเล็กๆ ที่นุ่มนิ่มของเขาด้วยความรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่ง “เป็นแม่เองที่ไม่ดี แม่จะไม่ให้เจ้าห่างกายแม่อีกแล้ว แม่จะคอยดูแลเจ้าให้ดีๆ จะไม่ให้เจ้าถูกคนชั่วจับตัวไปได้อีก…”