ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 278-2 กลับมาแล้ว
“เช่นนั้นเอาแบบนี้แล้วกัน ไว้เดี๋ยวจะให้แม่สื่อหาให้ท่านด้วยคนหนึ่ง”
“ห๊า?” โม่จื่อโหยวเบิกตาโต “คือว่า…ข้า…ข้าค่อนข้างชอบคนที่รู้จักกัน คุ้นเคยกันและกัน รู้จักนิสัยใจคอซึ่งกันและกัน และรู้แก่นแท้ตัวตน แบบนี้อยู่ด้วยกันจะได้ไม่เหนื่อย ศิษย์น้อง เจ้าว่าจริงหรือไม่!”
หลินหลันจงใจขมวดคิ้วนิ่วหน้า “นี่มันออกจะยากไปหน่อยเสียแล้ว”
“นี่มันมีอะไรยากเสียที่ไหนกัน ข้าก็มิได้ช่างเลือกอะไรมากมายเสียหน่อย ตามจริง…ตามจริง…” ขณะอ้ำอึ้ง แววตาโม่จื่อโหยวทอประกายระยิบระยับ
หลินหลันเม้มริมฝีกปากเพื่อสกัดกลั้นรอยยิ้ม จากนั้นถามซักไซ้ “ตามจริงอันใดหรือ”
โม่จื่อโหยวที่เดิมทีหน้าแดงอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นมาอีก “ตามจริงข้ารู้สึกว่าหยินหลิ่วก็ดีเหมือนกัน”
หลินหลันแสดงออกอย่างไม่เห็นด้วย “หยินหลิ่วมีดีอันใดหรือ ถึงจะเห็นนางอยู่ต่อหน้าข้าดูว่านอนสอนง่าย ตามจริงนิสัยเจ้าอารมณ์จะตาย บางครั้งก็ยังป้ำๆ เป๋อๆ อีกด้วย”
โม่จื่อโหยวกล่าว “เป็นเช่นนั้นเสียที่ไหนกัน ข้ารู้สึกว่านางก็ดีไม่น้อยทีเดียว จริงๆ นะ หากได้แต่งนางมาเป็นภรรยา ชั่วชีวิตนี้ของข้าก็ถือว่าสงบสุขแล้ว และจะไม่รู้สึกขาดสิ่งใดๆ อีกแล้ว”
หลินหลันกลั้นรอยยิ้ม เอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “รู้สึกว่านางดีจริงๆ หรือ”
โม่จื่อโหยวยืดตัวตรง และพยักหน้าอย่างจริงจัง “ดีจริงๆ”
หลินหลันขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “มิได้หรอก เรื่องนี้จะให้เป็นเช่นนี้มิได้หรอก”
โม่จื่อโหยวกล่าวสวนทันควัน “เหตุใดถึงมิได้”
หลินหลันกล่าวอย่างใจเย็น “ท่านลองคิดดูสิ! ท่านเป็นศิษย์พี่ห้าของข้า หากหยินหลิ่วแต่งให้ท่าน มิเท่ากับจะกลายเป็นพี่สะใภ้ข้าหรือ นี่ข้าก็ขาดทุนแย่เลยน่ะสิ?”
โม่จื่อโหยวกล่าวอย่างกระตือรือร้น “เช่นนั้นพวกเราก็เปลี่ยนกัน ข้าเรียกเจ้าศิษย์พี่ก็เป็นอันสิ้นเรื่อง”
หลินหลันชำเลืองตามองเขา “จริงหรือ”
โม่จื่อโหยวแบมืออย่างไม่คิดอะไรมากมาย “นี่ไม่เห็นจะมีอะไรเลย มันก็แค่คำเรียกขานเท่านั้น เจ้าสนใจมัน แต่ข้าหาได้สนใจไม่ ภายภาคหน้าเจ้าก็คือศิษย์พี่ของข้า”
หลินหลันปรบมือ และกล่าวอย่างแน่วแน่ “ตกลง เช่นนั้นข้าจะไปถามไถ่แทนท่าน แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนล่วงหน้าว่า เรื่องนี้ต้องให้หยินหลิ่วเป็นฝ่ายยินยอมเอง หากนางไม่ตอบตกลง ข้าก็ไม่อาจบังคับนางได้เช่นกัน”
โม่จื่อโหยวหัวเราะแห้ง “เช่นนั้นขอศิษย์พี่ช่วยพรรณนาเกี่ยวกับข้าให้สวยงามสักสองสามประโยคแล้วกัน หากสำเร็จ ศิษย์พี่ก็คือผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวงของข้า”
หลินหลันไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป จึงหลุดหัวเราะออกมา “ศิษย์พี่ของเจ้าผู้นี้ไม่ว่าจะทำอันใดก็ราบรื่นไปหมดเสียด้วยสิ”
เมื่อโม่จื่อโหยวกลับไปแล้ว หลินหลันจึงเรียกหยินหลิ่วเข้ามาพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ศิษย์พี่ห้าของข้ามาด้วยเรื่องอันใด”
หยินหลิ่วก้มหน้าขณะบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ และกล่าวด้วยเสียบางเบา “ใครจะรู้ได้ล่ะเจ้าคะว่าเขามาทำอะไร”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความนึกคิดของเขา เจ้ามิรู้เลยหรือ”
บนใบหน้าของหยินหลิ่วเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา นางก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม “ข้าน้อยควรจะรู้อันใดหรือเจ้าคะ”
หลินหลังเผยรอยยิ้มอ่อนหวานขณะดึงมือหยินหลิ่วเข้ามากอบกุมไว้และกล่าวอย่างใจเย็น “หยินหลิ่ว เจ้ากับอวี้หลงติดตามข้ามาแต่แรกสุด เป็นคนที่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดด้วยเช่นกัน ยามนี้อวี้หลงได้เป็นแม่คนแล้ว ได้ใช้ชีวิตอยู่กับฝูอานอย่างมีความสุข ในใจข้าก็เป็นสุขเช่นกัน อายุของเจ้าก็มิใช่น้อยๆ แล้ว ปีหน้าก็อายุสิบแปดปีแล้ว ว่ากันตามระเบียบปฏิบัติก็ควรปล่อยเจ้าออกไปแล้ว เรื่องนี้ข้าลำบากใจอยู่หลายวัน เจ้าค่อนข้างมีพรสวรรค์ทางด้านการแพทย์อยู่บ้าง ได้เรียนรู้ทักษะพื้นฐานกับข้าไปแล้วไม่น้อย ข้าจึงหวังว่าในภายภาคหน้าเจ้าจะเป็นแขนซ้ายแขนขวาของข้าได้ ดังนั้น ข้าทำใจมิได้หากจะให้เจ้าไปคู่ครองกับข้ารับใช้หนุ่มผู้ต่ำต้อยเหล่านั้น หากแต่งไปอยู่ในที่ห่างไกลก็ยิ่งทำใจไม่ได้ ตามจริงข้ามองออกตั้งนานแล้วว่าศิษย์พี่ห้ามีใจให้แก่เจ้า ศิษย์พี่ห้าผู้นี้ แม้บางครั้งจะปากไวไปหน่อย แต่เป็นคนที่มีจิตใจดีงามอย่างยิ่ง ทั้งยังมีทักษะการแพทย์ติดตัว เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่าเอาจริงเอาจัง เจ้าแต่งงานกับเขาไป ข้าเองก็คงวางใจได้เสียที ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะยินยอมหรือไม่ หากเจ้ายินยอม ไว้เอ้อร์เส้าเหยียกลับมา ข้าบอกกล่าวเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะช่วยพวกเจ้าจัดการเรื่องราวนี้ให้ หากเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็ไม่บังคับเจ้าเช่นกัน ทางด้านศิษย์พี่ห้านั่นเดี๋ยวข้าเป็นคนไปพูดคุยเอง เขาคงไม่ทำให้เจ้าลำบากใจเช่นกัน นี่เป็นเรื่องสำคัญ จะรีบร้อนมิได้ เจ้าค่อยๆ ไตร่ตรองดูแล้วกัน เมื่อคิดดีแล้วค่อยให้คำตอบข้าก็พอ”
หยินหลิ่วลังเลใจ ตามจริงนางก็ไม่ใช่คนโง่เขลา นางรู้ดีว่าโม่จื่อโหยวนึกคิดเช่นกัน แต่ด้วยฐานะของนาง ได้คู่ครองกับผู้ดูแลบ้านตำแหน่งเล็กๆ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ต่อให้นายหญิงสะใภ้รองเลือกคู่ครองให้นางอย่างลวกๆ นางก็ไม่มีตัวเลือกและควรต้องยอมรับมิใช่หรือ นางไม่ใช่ไม่ยินยอม เพียงแต่…ไม่อาจทำใจทอดทิ้งนายหญิงสะใภ้รองได้ อวี้หลงแยกตัวไปแล้ว หากนางไปอีกคน คนที่ใช้การได้ข้างกายนายหญิงก็จะน้อยลงไป แม่โจวอายุมากแล้ว จิ่นซิ่วก็เป็นคนซุ่มซ่าม อวิ๋นอิงยังเด็กนัก ที่พอใช้การใช้งานได้จริงจังก็มีเพียงหรูอี้เท่านั้น คนที่นำเข้ามาในจวนใหม่ก็ต้องเปลืองเวลาอบรมสั่งสอน แล้วนางจะปลีกตัวจากไปได้อย่างไรกันล่ะ
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เรื่องนี้…ไว้วันหลังค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันนะเจ้าคะ!” หยินหลิ่วกล่าวเสียงบางเบา
“เจ้าไม่ยินยอมหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม
หยินหลิ่วรีบส่ายหน้าทันที
“แล้วเพราะอันใดหรือ”
หยินหลิ่วกล่าวตะกุกตะกัก “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย หากข้าน้อยไปแล้ว ผู้ใดจะมาปรนนิบัติท่านล่ะเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้เจ้ากำลังกังวลประเด็นนี้เองหรือ นี่มันมีอะไรให้กังวลเสียที่ไหนกัน ไว้ค่อยรับสาวใช้เข้ามาในจวนอีกก็สิ้นเรื่อง อีกอย่างเจ้าแต่งออกไป ก็มิใช่ว่าช่วยเหลือข้าไม่ได้แล้ว ข้ายังพูดไว้ว่าในภายภาคหน้าก็จะมอบให้พวกเจ้าเป็นผู้ดูแลจัดการหุยชุนถางด้วยมิใช่หรือ! จะมอบให้ผู้อื่นดูแล ข้าเองก็ไม่ว่าใจเช่นกัน”
ดวงตาหยินหลิ่วเปล่งประกายพร่างพราว และกล่าวด้วยท่าทีเคอะเขิน “เรื่องของข้าน้อย ว่าตามที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายตัดสินใจได้เลยเจ้าค่ะ”
เมื่อเรื่องนี้พูดคุยกระจ่างชัดแจ้งเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันรู้สึกเสมือนจัดการเรื่องใหญ่ไปได้อีกเรื่องหนึ่ง ค่ำคืนนี้จึงนอนหลับอย่างสบาย ท้องนภายังไม่ทันสว่างจ้า หลินหลันก็สะลึมสะลือด้วยรู้สึกว่ามีคนกำลังจุมพิตนาง ลมหายใจนั่น รายล้อมอยู่โดยรอบ ช่างสมกับที่เขาว่าเพราะคะนึงถึงอยู่ทั้งวี่ทั้งวันจนเก็บเอาไปฝันในยามราตรี หลินหลันครุ่นคิดทั้งๆ ที่ยังสะลึมสะลือ ความฝันนี้ช่างเสมือนความจริงยิ่งนัก นางรู้สึกถึงกลีบปากร้อนผ่าวของเขาที่ค่อยๆ ประทับลงมาทีละนิดทีละนิดอย่างแผ่วเบา
เฮ้อ! หากนี่ไม่ใช่ความฝันก็คงดีไม่น้อย หลินหลันไม่อยากตื่นขึ้นมาเลยจริงๆ เมื่อเปลือกตานุ่มลืมขึ้น กลับเผชิญหน้าเข้ากับดวงตาแห่งรอยยิ้มคู่งดงาม ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
หลินหลันกะพริบตาปริบๆ รู้สึกงุนงงเล็กน้อยจนพูดติดๆ ขัดๆ “เจ้า…กลับมาแล้วหรือ”
เขาฉีกยิ้ม พลางลูบพวงแก้มของนาง “ขอโทษที ข้าอดใจไม่ไหว เลยทำให้ตื่นจนได้”
หลินหลันคว้ามือของเขามาแล้วกัดเข้าไปหนึ่งทีอย่างแรง
หลี่หมิงอวินถึงกับส่งเสียงร้องโอ๊ย “กัดข้าทำไมหรือ”
หลินหลันเบิกตาโต จ้องมองเขาอย่างเหลือเชื่อ “ข้ามิได้กำลังฝันไปใช่หรือไม่”
หลี่หมิงอวินสะบัดมือด้วยความเจ็บปวด ทั้งเอ็นดูทั้งขัน “เสี่ยวหลันจื่อ เจ้าอยากยืนยันให้ตนเองว่ากำลังฝันอยู่หรือไม่ ก็ไม่ควรกัดข้าเสียหน่อย”
“เจ้า…เจ้ากลับมาเมื่อใดหรือ จิ้งปั๋วโหว์กล่าวว่าอีกตั้งสิบกว่าวันพวกเจ้าถึงจะกลับมาถึงเมืองหลวง…” หลินหลันยังคงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่เล็กน้อย
หลี่หมิงอวินขึ้นไปบนเตียงนอน จากนั้นแทรกตัวเข้าในผ้าห่มแล้วโอบกอดนางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าและหนิงซิ่งกลับมาก่อน กองทัพของแม่ทัพหลินอยู่ด้านหลัง มาถึงบ้านในยามอิ่น[1] เห็นเจ้ากำลังหลับสบาย จึงไม่กล้ารบกวนเจ้า ก็เลยมองดูเจ้าอยู่ด้านข้าง”
เวลานี้เองหลินหลันถึงตื่นขึ้นมาเต็มตา พยุงตัวลุกขึ้นมองดูเขา และกล่าวอย่างสะเปะสะปะเล็กน้อย “เจ้ากลับมาทั้งทีเหตุใดถึงไม่ปลุกข้าล่ะ เจ้าเร่งมาตลอดทั้งคืนหรือ หิวหรือไม่ เหนื่อยหรือไม่ ไอหย่า เจ้าควรปลุกข้าให้ไวหน่อย ข้าจะได้ให้กุ้ยซ่าวช่วยทำอาหารให้เจ้ากิน บอกหยินหลิ่วให้เตรียมน้ำอุ่นๆ ให้เจ้าอาบจะได้สบายตัว ข้า…ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ละ…”
หลี่หมิงอวินยื่นมือข้างหนึ่งไปคว้าตัวนางเข้ามาในอ้อมกอดและกระชับกอดนางไว้แนบแน่น จากนั้นเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเสียยิ่งอะไรดี “เจ้าอย่าร้อนใจไป ข้ากินแล้วและอาบน้ำแล้วด้วยเช่นกัน ทุกคนไม่กล้าทำให้เจ้าตระหนกตกใจไป หลันเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงแทบแย่ อยากจะติดปีกสองข้างแล้วบินกลับมาด้วยซ้ำไป ตอนนี้ได้สมใจปรารถนาเสียที ในที่สุดก็ได้โอบกอดเจ้าเช่นนี้ ให้ข้าได้โอบกอดเจ้าให้เต็มอิ่มทีเถอะ…”
หลินหลันซบอยู่ในอ้อมอกเขาอย่างเงียบๆ และรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อๆ รอคอยมาตั้งเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว
“หมิงอวิน ท่านย่านาง…” เนิ่นนานพอตัว หลินหลันถึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้ทุกอย่าง…” เขาจรดจุมพิตลงบนหน้าผากของนางอย่างถะนุถนอม “เจ้าลำบากเสียแล้ว ภายภาคหน้าไม่ว่าเรื่องอันใดก็ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ก็พอ…”
เจ้าสาวน้อยคนนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนแบกรับไว้กับตนเองลำพัง แต่ไหนแต่ไรมารู้จักแต่บอกเล่าเรื่องดีๆ แต่เก็บงำความกังวลและเหน็ดเหนื่อยไว้กับตนเอง เขารับรู้ทุกอย่าง แต่ด้วยระยะทางที่แสนห่างไกลไม่อาจเชื่อมถึงกันได้ จึงทำได้เพียงทนปวดใจ
[1] ยามอิ่น (寅时) คือ ช่วงเวลาระหว่าง 03:00 น. - 05:00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หมอจีนแนะนำว่า ”ยามอิ่นหลับลึก ปอดเปิดรับพลังบริสุทธิ์”