ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 279 โกรธเกรี้ยว
“หลังเรื่องราวครั้งนี้สิ้นสุดลง ข้าจะทูลขอฮ่องเต้ไปปฏิบัติงานต่างเมือง ไปอยู่อาศัยที่นั่งสักสามสี่ปี…” ขณะหลี่หมิงอวินกล่าว เขากระชับท่อนแขนแน่นขึ้นพลางก้มหน้ามองคนที่อยู่ในอ้อมกอด และยิ้มเล็กยิ้มน้อย “ไปทางตอนใต้จะเป็นการดีที่สุด”
ดวงตาหลินหลันลุกวาวขึ้นมา และเงยหน้าจ้องมองเขา “จริงหรือ เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยมไปเลย ทว่าฮ่องเต้จะตอบตกลงหรือ”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มบางๆ “เรื่องราวขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวบุคคล ข้าเองก็ไม่ได้ร้องขอรางวัลอื่นใด ขอเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็คงไม่คัดค้านความประสงค์ของข้าหรอก อีกอย่าง เมื่อถึงตอนนั้น จิ้งปั๋วโหว์จะช่วยข้าพูดอีกแรง เอาละ ข้าจำเป็นต้องไปปักธูปคารวะท่านย่าก่อนแล้วละ จากนั้นก็จะเข้าไปพระราชวัง วันนี้ยังมีเรื่องใหญ่ต้องจัดการ เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถิด” เขาก้มลงประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากนาง อ้อยอิ่งอยู่เช่นนั้นชั่วขณะหนึ่ง ถึงได้ผละออกมาด้วยความอาลัยอาวรณ์
หยินหลิ่วและหรูอี้เดินเข้ามาปรนนิบัติเขา เปลี่ยนเป็นชุดราชสำนัก หลินหลันนอนอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงสวมใส่เสื้อผ้าที่ดังสวบสาบจากด้านนอก ภายในใจรู้สึกถึงความมั่นคงและสงบกว่าครั้งไหนๆ เสมือนหัวใจที่แบ่งออกเป็นสองส่วน ในที่สุดก็ได้ประกบเข้าหากันเป็นหนึ่งเดียว ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ การมีเขาอยู่ ทำให้หัวใจสงบนิ่งลงได้เสียที
“คอยปรนนิบัติเอ้อร์เส้าหน่ายนายให้ดีๆ ล่ะ อย่าเสียงดังรบกวนนาง” หลี่หมิงอวินสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยก็เดินเข้าไปในห้องชั้นในและมองดูอยู่สักพัก ก่อนออกมาสั่งการด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หยินหลิ่วและหรูอี้ขานรับด้วยรอยยิ้ม
ทันทีที่หมิงอวินเดินออกไปแล้ว หลินหลันก็ตื่นนอนขึ้นมา นางให้คนส่งข้อความไปบอกกล่าวตระกูลเยี่ย จากนั้นนำหยินหลิ่วและคนอื่นๆ ช่วยกันจัดระเบียบห้องใหม่ ไม่ว่าจะเป็นชุดเครื่องนอน ม่านมุ้ง ทำการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ห้องหนังสือก็จัดระเบียบตามแบบยามที่หมิงอวินอยู่บ้าน ทั้งยังให้กุ้ยซ่าวรีบไปซื้อผักที่หมิงอวินชอบรับประทานกลับมาจำนวนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้คิดมาโดยตลอดว่าคงอีกหลายวันกว่าหมิงอวินจะกลับมา ดังนั้นจึงไม่ได้ตระเตรียมใดๆ ทั้งสิ้น ใครจะรู้ว่าเขาดันกลับมาล่วงหน้า ทำให้นางถึงกับทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว
ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวาย ทว่าภายในจิตใจต่างก็เต็มไปด้วยความสุข ตั้งแต่หญิงชราเสียชีวิตไป บรรยากาศในจวนนี้ก็อึมครึมอย่างมาก ยามนี้เป็นอันคลี่คลายได้เสียที คุณชายรองกลับมาแล้ว บนใบหน้าของนายหญิงสะใภ้รองก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเช่นกัน บ้านหลังนี้จึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อทุกคนทำงานทำการ ต่างก็ขะมักเขม้นอย่างเต็มที่
กว่าหมิงอวินจะกลับมาก็เป็นช่วงประมาณสี่ห้าโมงเย็นเสียแล้ว เขาวิ่งวุ่นติดต่อกันหลายวัน ทั้งยังต้องคอยรับมือมือสังหารของตระกูลฉินระหว่างเดินทาง วันนี้ก็ยุ่งวายวายอยู่ภายในวังหลวงตลอดทั้งวัน ลำพังกล่าวรายงานสถานการณ์ทางชายแดนก็กินเวลาไปถึงชั่วโมงกว่าๆ เขาพูดจนปากคอแห้ง ฮ่องเต้กลับยกถ้วยน้ำชาจิบอย่างเพลิดเพลินขณะรับฟัง จนกระทั่งกล่าวถึงเรื่องของฉินเฉิงว่าง ฮ่องเต้ถึงได้ขมวดคิ้วนิ่วหน้าและถอนหายใจอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ตรัสใดๆ ออกมา เพียงให้เขากลับบ้านมาก่อน ให้ไว้ทุกข์แด่หญิงชราสักระยะหนึ่ง รอแม่ทัพหลินกลับถึงเมืองหลวงแล้วค่อยพูดคุยกันอีกที
หมิงอวินล้างหน้าบ้วนปาก จากนั้นเปลี่ยนไปอยู่ในชุดสีขาวเรียบง่ายแล้วเดินออกมา หลินหลันยื่นถ้วยน้ำชาร้อนๆ ให้ “นั่งลงพักผ่อนเร็วเข้า ดื่มชาสักหน่อยร่างกายจะได้อบอุ่น”
หลี่หมิงอวินมองดูห้องที่ดูแปลกใหม่ผิดหูผิดตาจึงเผยรอยยิ้มขมขื่น พลางดึงมือของนางเข้ามากอบกุมไว้ “ยุ่งวุ่นวายทั้งวันอีกแล้วสินะ เหนื่อยหรือไม่”
หยินหลิ่วและคนอื่นๆ ถอยออกไปเงียบๆ อย่างรู้งาน
“มีอันใดให้เหนื่อยที่ไหนกัน ก็แค่ขยับปากไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง” หลินหลันกล่าวเชิงติดตลก จากนั้นกวาดสายตามองดูหมิงอวินอย่างละเอียด เมื่อช่วงเช้ามืดแสงสว่างไม่ชัดเจน จึงไม่ทันได้มองดูอย่างละเอียด ไม่ได้พบเจอกันนางเพียงนี้ ดูเหมือนเขาจะคล้ำขึ้นและผอมลงด้วย ทว่าหลังผ่านประสบการณ์พายุที่ทะเลทรายผืนใหญ่มา กลับให้ความรู้สึกแห่งวีรบุรุษปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
“ขยับปากก็ต้องอาศัยความคิดเช่นกัน เจ้าดูตัวเจ้าสิ ผอมจนคางแหลมหมดแล้ว ตอนนั้นที่เจ้าแยกจากมา ใบหน้ายังกลมๆ อยู่เลย” หลี่หมิงอวินดึงนางมานั่งลงบนหน้าตักและลูบคลำเอวของนาง พลางกล่าวด้วยความเสียดาย “ผอมลงแล้วจริงๆ ด้วย เบาขึ้นด้วยเช่นกัน นี่จะต้องบำรุงอีกนานเท่าใดถึงจะกลับไปเท่าเดิมได้”
หลินหลันหลุดหัวเราะ “เจ้าเห็นเป็นการเลี้ยงหมูหรือไร!”
“อืม ภายภาคหน้าข้าก็จะเลี้ยงเจ้าเป็นลูกหมู จะต้องเลี้ยงดูเจ้าให้ขาวจ้ำม่ำให้จงได้” หลี่หมิงอวินเย้า
“เจ้าต่างหากที่เป็นหมู!” หลินหลันตวัดสายตามองค้อนใส่เขา จากนั้นเอ่ยถาม “วันนี้ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว ทุกอย่างผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นหรือไม่”
หลี่หมิงอวินถอนหายใจเฮือก “ก็ถือว่าดีกระมัง! ฮ่องเต้ให้ข้าได้หยุดพักระยะหนึ่ง ให้ข้าอยู่บ้านเพื่อไว้ทุกข์ รอแม่ทัพหลินกลับถึงเมืองหลวงแล้วค่อยดำเนินการมอบรางวัลตอบแทน”
“เช่นนั้นก็ดีไปเลย ปฏิบัติภาระงานที่แสนเหน็ดเหนื่อยมาทั้งที ก็ควรได้พักผ่อนให้เต็มที่เสียหน่อย ท่านลุงให้คนมาบอกกล่าวว่าเจ้าอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ก็ไม่ต้องออกจากบ้านไปไหนหรอก ไว้วันไหนว่างงานเขาจะมาเยี่ยมพวกเราเอง”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า “ท่านลุงรู้จักเข้าใจและเห็นใจผู้คนมากที่สุดแล้วละ จริงสิ ทางบ้านท่านลุงสงบดีใช่หรือไม่”
“ก็ไม่เลว พอได้รับจดหมายฉบับนั้นของเจ้า ข้าก็ส่งจดหมายบอกกล่าวท่านลุงไว้ด้วย ให้ตระกูลเยี่ยเองก็ต้องระมัดระวังตัวไว้หน่อย ทุกคนจึงระมัดระวังกันตลอดเวลาน่ะ! ทว่าข้าได้ยินแม่โจวกล่าวว่า สุขภาพร่างกายของท่านลุงไม่ค่อยสู้ดีนัก เกินกว่าครึ่งเป็นเพราะกลัดกลุ้มเรื่องของเปี่ยวเหม่ย” หลินหลันกล่าว
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้ว “เปี่ยวเหม่ยเป็นอันใดหรือ”
หลินหลันอมยิ้มเล็กน้อย “ข้ามิได้ถาม เรื่องของนางข้าเองก็ไม่อยากรับรู้เช่นกัน”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นจึงกล่าวอย่างเห็นด้วย “ความสุขสร้างได้จากตนเอง ตัวนางเองไม่อยากมีความสุข ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทำอันใดได้ ปล่อยนางไปเถิด เพียงแต่สงสารหัวอกหัวใจของผู้เป็นบิดามารดาก็เท่านั้น”
“อย่ามัวคุยกันอยู่เลย กุ้ยซ่าวเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จึงทำอาหารรสเลิศเลอไม่ได้ ทำได้เพียงอาหารที่มีแต่ผักเท่านั้น ทว่าก็เป็นของที่ปกติแล้วเจ้าชอบกินทั้งนั้น” หลินหลันลุกขึ้นยืนแล้วดึงเขาให้ลุกขึ้นมาด้วย
หลี่หมิงอวินเคลื่อนมือโอบรอบเอวของนาง ตามด้วยซุกใบหน้าลงในซอกคอนางและเอ่ยบ่นโอดครวญ “ยามนี้ข้าอยากกินเจ้าเท่านั้น”
ใบหน้าหลินหลันรู้สึกเผาไหม้ขึ้นมาทันทีทันใด ถึงขั้นใบหูร้อนผ่าว นางออกแรงผลักเขา กล่าวด้วยความเขินอาย “ฮ่องเต้ให้เจ้าอยู่บ้านไว้ทุกข์! เจ้าช่วยซื่อสัตย์หน่อยสิ! ข้าให้หยินหลิ่วช่วยจัดที่นอนไว้สำหรับเจ้าในห้องหนังสือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ลำตัวหลี่หมิงอวินแข็งทื่อขึ้นมาทันใด เขาเงยหน้าขึ้นและกล่าวด้วยสีหน้าสลด “ไม่ต้องถึงขั้นนี้หรอกกระมัง! กว่าข้าจะกลับมาได้ไม่ง่ายเลย เจ้าจะให้ข้านอนห้องหนังสือหรือ นี่มันจะใจร้ายเกินไปแล้ว คือว่า…ไม่ต้องถึงขั้นแยกเตียงหรอก! อย่างมากข้าก็แค่อดทนไว้ ถึงอย่างไรก็อดทนมาได้ตั้งนานเนเพียงนี้แล้ว อีกแค่ไม่กี่วันหาใช่เรื่องใหญ่โตไม่”
หลินหลันบ่นพึมพำในใจ อย่างเจ้านี่หรือจะอดทนไหว เจ้าคิดว่าตนเองเป็นหลิ่วเซี่ยฮุ่ยหรือไร!
หลังทั้งสองคนรับประทานมื้อค่ำเป็นที่เรียบร้อย หลี่หมิงอวินและจ้าวจัวอี้ก็ไปห้องหนังสือด้านนอกเพื่อพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ส่วนทางด้านหลินหลันมุ่งไปยังเรือนเวยอวี่
ท้องของติงหลั้วเหยียนใหญ่มากแล้ว อีกประมาณเดือนกว่าๆ ก็น่าจะคลอด เพราะหลี่หมิงเจ๋อยังไม่กลับมา ติงหลั้วเหยียนจึงเป็นกังวลค่อนข้างมาก ส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้าและเผชิญภาวะอาจคลอดก่อนกำหนด ทั้งยังเกรงว่าหลี่หมิงเจ๋อจะกลับมาไม่ทันเวลา เกรงว่าตนเองจะเอาชีวิตไม่รอด หลินหลันจึงจำเป็นต้องไปพูดคุยปลอบประโลมนางทุกวัน
“พี่สะใภ้ ชีพจรท่านยังสม่ำเสมอดีเจ้าค่ะ! เด็กก็แข็งแรงดีมาก ท่านทำใจให้สบายนะเจ้าคะ ปรับสมดุลร่างกายของตนเองให้ดีเข้าไว้ เมื่อถึงเวลาจะได้มีแรงคลอดลูก พี่ใหญ่เขาจะกลับมาทันการณ์แน่นอน ท่านอาสามกล่าวไว้ก่อนเดินทางไปแล้ว เรื่องท่านด้านนั้นเมื่อเข้าที่เข้าทางแล้วก็จะให้พี่ใหญ่กลับมาทันที” หลินหลันนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงพูดคุยเป็นเพื่อนนางระหว่างช่วยตรวจจับชีพจร
“น้องสะใภ้ เรื่องเหล่านี้ข้าเองก็รู้ ทว่าก็ยังห้ามตนเองไม่ให้คิดเรื่อยเปื่อยไม่ได้” ติงหลั้วเหยียนกำลังกลัดกลุ้ม พอนึกถึงการคลอดบุตรขึ้นมาก็เป็นอันต้องรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง
หลินหลันกล่าวเชิงตำหนิเบาๆ “พี่สะใภ้ ไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดอย่างไร มีข้าอยู่ทั้งคน ท่านมีอะไรต้องกังวลใจอีกหรือ ท่านยังไม่เชื่อทักษะการแพทย์ของข้าอีกหรือ ท่านทำใจให้สบายก็เป็นพอเจ้าค่ะ ข้ารับประกันกับท่านได้เลยว่าจะทำคลอดเด็กคนนี้ออกมาอย่างราบรื่น ทว่าหากท่านเอาแต่คิดมากตลอดทั้งวันเช่นนี้ ไม่รับประทานอาหารดีมีประโยชน์ ไม่นอนพักผ่อนให้เต็มอิ่ม เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ข้ามีความสามารถเพียงใด แต่ตัวท่านเองไร้เรี่ยวแรง ข้าก็คงช่วยอันใดมิได้”
ติงหลั้วเหยียนหลุบสายตาลงด้วยความละอายแก่ใจ “ข้าเข้าใจแล้ว”
ขณะนี้เองหลินหลันถึงได้เผยรอยยิ้มออกมา แสดงความประสงค์ให้หงซางยกน้ำแกงแกะเข้ามา “สตรีที่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำแกงแกะจะเป็นการดีที่สุด ทำให้ภายในอบอุ่น แล้วยังบำรุงเลือดลม ถึงตอนนั้นเด็กที่คลอดออกมาก็จะผิวพรรณขาวผุดผ่องและนุ่มนิ่ม รีบดื่มตอนยังร้อนๆ เถอะ นี่ทางห้องครัวตั้งใจทำอย่างยิ่ง ถึงได้ไม่มีกลิ่นคาวแกะสักนิดเดียว”
ติงหลั้วเหยียนถูกหลินหลันจับจ้องไม่วางตา จึงต้องฝืนใจกินลงไปครึ่งชาม แต่ท้ายที่สุดก็กินเข้าไปไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงดันชามออกห่าง
“ส่วนที่เหลือไว้ตอนกลางคืนค่อยกินอีกทีแล้วกัน น้องสะใภ้เจ้าก็ควรกลับไปได้แล้วละ! ไม่ต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่หรอก มิเช่นนั้น เดี๋ยวน้องรองจะไม่พึงพอใจเอาได้”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาไม่รู้สึกเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ! ยามนี้กำลังคุยเรื่องงานกับพี่จ้าวอยู่ คาดว่าคงยังไม่จบไม่สิ้นด้วยกระมัง”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “เขาไม่พูด แต่จะให้ข้าทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวหรือไร ไปเถอะ! ข้าเองก็ได้เวลาไปเดินเคลื่อนไหวสักหน่อยแล้วเช่นกัน”
หลินหลันจึงทำได้เพียงลุกขึ้นยืนและกล่าวลา ขณะลงจากอาคาร นางเผชิญหน้ากับหมิงจูพอดิบพอดี น้อยครั้งมากที่หมิงจูจะมาเยือนในเวลานี้ ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยช่วงเวลาที่นางไม่อยู่แวะเวียนมาที่นี่
“พี่สะใภ้รอง” หมิงจูเผยสีหน้าสับสนไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงย่อเข่าลงเล็กน้อยพร้อมกับส่งเสียงเรียก
เอ่อ! หลินหลันตกตะลึงเล็กน้อย นี่ถือเป็นครั้งแรกหลังหมิงจูกลับจวนมาแล้วเรียกนางเช่นนี้ เมื่อมองดูสีหน้าแววตาของหมิงจูที่มีความละอายแก่ใจและเกรงกลัว หลินหลันจึงฉีกยิ้มให้ “เจ้ามาแล้วหรือ! รีบขึ้นไปเถอะ! พี่สะใภ้กำลังกล่าวว่าต้องการไปเดินเล่นอยู่พอดี เจ้าไปเป็นเพื่อนนางแล้วกัน”
หมิงจูพยักหน้า “พี่สะใภ้รองเดินกลับดีๆ เจ้าค่ะ!”
หมิงจูมองดูพี่สะใภ้รองจนกระทั่งเดินพ้นประตูออกไป จากนั้นยืนอยู่ชั้นล่างเช่นนั้นชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ ขึ้นไปชั้นบนอย่างเชื่องช้า ระยะนี้พี่สะใภ้พูดคุยกับนางมากมาย ตัวนางเองก็ย้อนกลับไปครุ่นคิดอยู่เสมอเช่นกัน ยิ่งคิดยิ่งรู้ว่าตนเองเป็นคนผิดอย่างไม่น่าให้อภัย นางดูถูกเหยียดหยามพี่สะใภ้รองมาโดยตลอด รู้สึกว่าพี่สะใภ้รองก็แค่สตรีสาวชาวชนบท ทั้งยังด้วยเรื่องราวที่มารดาก่อไว้ นางจงใจเป็นปรปักษ์ต่อพี่รองมาโดยตลอด ดังนั้น นางมักจ้องเล่นงานพี่สะใภ้รองอยู่เสมอ ยามนี้ถึงเป็นอันเข้าใจได้เสียที ไม่ว่าจะทางด้านความชาญฉลาด ความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง นางล้วนเทียบพี่สะใภ้รองไม่ติดสักอย่าง จะไม่ยอมรับคงไม่ได้ แม้ฐานะตัวตนของนางได้รับการเปิดโปงแล้ว ถือว่าเป็นคุณหนูสามแห่งตระกูลหลี่อย่างถูกต้องเป็นทางการ แต่แล้วอย่างไรหรือ ว่ากันตามตรง สตรีคนหนึ่งที่ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ยังถือว่าเป็นสตรีได้อยู่อีกหรือ นางไม่มีอะไรให้รู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง ไม่มีความคาดหวังอีกแล้ว นางขอเพียงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในบ้านหลังนี้ไปจนชีวิตมอดม้วยไปเท่านั้น
หลินหลันกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย ปรากฏว่าหลี่หมิงอวินยังไม่กลับมาอย่างที่คาดคิดไว้จริงๆ หลังหลินหลันอาบน้ำเป็นที่เรียบร้อย นางก็หยิบหนังสือไปนั่งบนเตียงเตาเพื่ออ่านรอหมิงอวิน
พลิกเปิดไปได้ไม่กี่หน้าก็ได้ยินหรูอี้กล่าว “เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วเจ้าค่า”
หลินหลันวางหนังสือลงแล้วลุกขึ้นเดินออกไปต้อนรับทันที เห็นหมิงอวินสีหน้าเคร่งเครียด เม้มริมฝีปากขณะเดินเข้ามา ไม่ต้องครุ่นคิดก็รู้ได้เลยว่า จ้าวจัวอี้คงบอกกล่าวเขาเรื่องที่ซานเอ๋อร์ถูกลักพาตัวไปแล้วเป็นแน่
“ข้าไปอาบน้ำก่อนนะ” หลี่หมิงอวินกล่าวเสียงแผ่วเบา จากนั้นเดินตรงเข้าห้องน้ำไป
หลินหลันส่งสายตาให้หรูอี้ ทั้งสองจึงรีบเข้าไปปรนนิบัติ หลินหลันกลับไปหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงเตา แล้วเริ่มพลิกเปิดหนังสืออีกครั้ง แต่กลับอ่านไม่เข้าสมองเลยสักตัวอักษร เกรงว่าหมิงอวินคงเดือดดาลแย่แล้วกระมัง ทว่าเรื่องนี้ก็ปิดบังไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องรับรู้มันอยู่ดี
หลังผ่านไปพักใหญ่ หลี่หมิงอวินถึงเดินออกมา เขาเปลี่ยนไปอยู่ในชุดสีขาวตัวหลวม เส้นผมเปียกชื้นปล่อยสยายอยู่ ใบหน้าดูเย็นยะเยือก เขาหย่อนตัวลงนั่งอีกด้านหนึ่งของเตียงเตาโดยไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ
หรูอี้และหยินหลิ่วหยิบผ้าแห้งเดินตามมา และมองดูนายหญิงสะใภ้รองด้วยสีหน้าลำบากใจ
หลินหลันลงจากเตียงเตา รับผ้าในมือของหยินหลิ่วมาไว้ จากนั้นขมุบขมิบปากให้นางทั้งสอง ทั้งสองคนจึงรีบถอยออกไป
“เหตุใดไม่เช็ดผมให้แห้งก็ออกมาเสียแล้วล่ะ เช่นนี้จะไม่สบายเอาได้” หลินหลันตำหนิพลางเดินเข้าไปช่วยเช็ดผมให้เขา
หลี่หมิงอวินนั่งตัวตรงดิ่ง ปล่อยให้หลินหลันลูบเช็ดผมตามอำเภอใจ มือทั้งคู่กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดสีเขียวบนหลังมือเขาปรากฏขึ้นมา
หลินหลันแอบถอนหายใจและกล่าวเสียงอ่อนโยน “เรื่องราวมันผ่านพ้นไปแล้ว ยังดีที่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ จดจำเรื่องราวนี้ไว้ก็พอ ภายภาคหน้าค่อยคิดบัญชีในคราวเดียว ไม่จำเป็นต้องเคียดแค้นให้ทำลายสุขภาพตนเองไปเปล่าๆ”
หลี่หมิงอวินทุบกำปั้นข้างหนึ่งลงบนเตียงเตา กล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “พวกเขาคิดจะกำจัดข้าให้ตายก็ช่างปะไร แต่นี่กล้าดีมาลงมือกับเจ้า ตระกูลฉิน สาบานได้ หากตระกูลฉินไม่พังพินาศ อย่ามาเรียกข้าว่าหลี่หมิงอวิน”