ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 280 เป็นห่วงเป็นใย
หลินหลันตระหนกตกใจทันทีที่ได้ยินประโยคที่ว่า “พวกเขาคิดจะกำจัดข้าให้ตายก็ช่างปะไร” มือหยุดชะงักนิ่ง และกล่าวด้วยความกังวล “ตระกูลฉินทำอันใดเจ้าแล้วหรือ”
สายตาหลี่หมิงอวินปรากฏความเย็นชา จ้องมองไปยังเชิงเทียนที่พลิ้วไสวอยู่บนโต๊ะขนาดย่อมพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไม่มีอันใด แค่พวกไร้ฝีมือเท่านั้น ถูกหนิงซิ่งจัดการไปเรียบร้อยแล้ว” เขาไม่กล้าบอกกล่าวหลันเอ๋อร์เกี่ยวกับสถานการณ์ที่แสนอันตรายบนเส้นทางเป่ยซานนั่น
เขากล่าวราวเป็นเรื่องเล็กน้อย หลินหลันจึงไม่ได้ซักไซ้ไล่ความใดๆ แม้ไม่ถามก็รู้ได้ว่าการกลับมาของเขาครั้งนี้ยากเย็นเพียงใด นางลอบถอนหายใจเงียบๆ ลูบคลำบ่าของเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องที่ตระกูลฉินต้องพังพินาศเป็นเรื่องในไม่ช้าก็เร็ว ใครต่อใครต่างก็ต้องการให้ตระกูลฉินล่มสลาย ฮ่องเต้ก็ผู้หนึ่ง พระประยูรญาติทางด้านสายมารดาแข็งแกร่งเกินไป จะนำมาซึ่งอันตรายต่อตัวพระองค์เอง เฮ้อ! องค์รัชทายาทคงคิดว่ามีตระกูลฉินหนุนหลัง ตำแหน่งของเขาก็จะมั่นคงประดุจเขาไท่ซาน กลับไม่รู้เลยว่าเขาจะพ่ายแพ้ก็พ่ายแพ้ด้วยเงื้อมมือของตระกูลฉิน หากไม่มีตระกูลฉิน ฮ่องเต้อาจไม่เกิดความนึกคิดประเภทนั้น เจ้าได้ปฏิบัติในเรื่องที่เจ้าพึงปฏิบัติแล้ว ส่วนที่เหลือก็ให้คนอื่นไปจัดการเถอะ! พวกเราก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขของพวกเรา…” หลินหลันชะงักไปชั่วครู่ก่อนกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ผู้ที่หยิ่งผยองและทระนงตนเกินไปมักไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไรเพียงนั้น”
กำปั้นของหลี่หมิงอวินคลายออกอย่างช้าๆ เขาสบถเสียงฮึอย่างคับแค้นใจ “ตระกูลฉินไม่ล่มสลาย พวกเราเลิกคิดว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขไปได้เลย เรื่องนี้ข้าได้เตรียมใจไว้แล้ว และจะจัดการให้เหมาะสม”
หลินหลันเก็บผ้าเช็ดผม และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ดึกมากแล้ว เจ้าเองก็รีบพักผ่อนเถอะ!”
กระทั่งหลินหลันนำผ้าไปแขวนแล้วเดินกลับมา หลี่หมิงอวินขึ้นไปอยู่บนเตียงนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาเอนกายพิงหมอนนุ่ม สองมือประสานกันที่ท้ายทอย แววตาสุขุมจนไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไร หลินหลันลังเลใจอยู่สักพักแล้วจึงดับเทียน จากนั้นค่อยๆ คลำขึ้นไปบนเตียงนอน ขณะที่เพิ่งเอนกายนอนลง หลี่หมิงอวินก็ยื่นแขนข้างหนึ่งเข้ามาแล้วรั้งนางเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด
หลินหลันเขยิบตัวเล็กน้อยเพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสม จากนั้นก็คลอเคลียเขาทั้งเช่นนี้ พลางกล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงกระซิบ “เลิกคิดได้แล้ว นอนเถอะ!”
หลี่หมิงอวินหยิบหมอนอิงใบนุ่มที่อยู่ด้านหลังออกและเอนกายนอนลงเช่นกัน จากนั้นก็นอนอย่างสงบนิ่งเช่นนี้ หลินหลันได้กลิ่นสบู่หอมหลังอาบน้ำจากเรือนร่างของเขา สัมผัสถึงความอุ่นร้อนของแผงอกเขา ภายในใจอดหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ใครๆ ต่างกล่าวว่าหาคู่รักไม่ได้พบเจอกันในระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาจะรู้สึกดีเสียยิ่งกว่าคู่บ่าวสาวใหม่หลังได้พบกันอีกครั้ง แต่ดันยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้หญิงชรา เฮ้อ…หลินหลันปิดเปลือกตาลง ปรับจังหวะลมหายใจให้สมดุล และพยายามขจัดความนึกคิดวุ่นวายทั้งหมด
ในขณะที่หลินหลันใกล้จะหลับ เขากลับพลิกตัวมาแล้วโอบกอดนางแนบแน่น ขนตาที่งอนยาวของนางสั่นไหวเล็กน้อยเสมือนแปรง ปลุกเขาให้ตื่นตัวขึ้นอย่างง่ายดาย เขาก้มลงประทับจุมพิตลงบนพวงแก้มของนางแผ่วเบา และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หลันเอ๋อร์ หลับแล้วหรือไม่”
หลินหลันขานรับอย่างสะลึมสะลือ “หลับแล้ว…”
ท่ามกลางความมืดมิด หมิงอวินฉีกยิ้มขึ้นมา นอนหลับแล้วยังจะให้คำตอบได้อีกหรือ กลีบปากที่กำลังร้อนผ่าว เริ่มเคลื่อนจากใบหน้าของนาง ขบเม้มติ่งหูที่อ่อนนุ่มของนาง และกัดมันเบาๆ มือข้างหนึ่งสอดแทรกเข้าไปใต้เสื้อผ้าของนาง ไล้ไปตามเอาคอดของนางขึ้นไปเรื่อยๆ กอบกุมตำแหน่งที่อวบอิ่มและอ่อนนุ่มบริเวณหน้าอกนั่น ฟอนเฟ้นมันอย่างเบามือ และใช้ปลายนิ้วสัมผัสส่วนซึ่งไวต่อความรู้สึกเป็นครั้งคราว
ความตั้งใจที่จะนอนหลับของหลินหลันมลายหายไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ง่ายเลยกว่าจะสะกดเพลิงในกายให้สงบลงได้ แต่แล้วก็ถูกเขาจุดมันติดขึ้นในชั่วพริบตา นางรู้สึกปรารถนาแต่ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย “นี่…นี่มันไม่ดีกระมัง…”
“หลันเอ๋อร์ ตรงนี้ของเจ้าใหญ่ขึ้นมากเลยทีเดียว” ลมหายใจของเขาค่อยๆ หนักหน่วงขึ้นมา ขณะเดียวกันนิ้วมือก็เริ่มปลดเปลื้องเชือกผูกเสื้อของนาง ไม่ทันไรเสื้อผ้าท่อนบนของนางก็หายไป เขากอบกุมความอวบอิ่มข้างหนึ่ง พลางก้มศีรษะลงแล้วประทับจุมพิตลงไป
“เจ้ากล่าวว่า เจ้าอดกลั้นได้…” หลินหลันผลักเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาใช้ปลายลิ้นอุ่นละเมียดละไมสิ่งขนาดเล็กที่ชูชันขึ้นมาพลางกล่าวพึมพำ “หากข้าอดกลั้นได้ ข้าก็มิใช่บุรุษแล้วละ…” เวลานี้เขาคิดเพียงแค่ต้องการนางเท่านั้น เพื่อช่วยขจัดความนึกคิดอันกลัดกลุ้ม เขากอบกุมมือของนางกดลงไปยังความแข็งแกร่งบนกายเขา ให้นางเข้าใจว่าเขามีความปรารถนามากเพียงใด
หลินหลันถูกความร้อนผ่าวของร่างกายเขาแผดเผา ลมหายใจก็ค่อยๆ อลหม่าน จนกลายเป็นลมหายใจหอบเล็กน้อย “เช่นนี้มันไม่ดีจริงๆ…”
เขาปลดเปลื้องอาภรณ์ของทั้งสองอย่างรวดเร็ว มือไม้ลูบไล้ท้องน้อยของนางแล้วเคลื่อนต่ำลงไป เขาจับสองขาเรียวของนางแยกออกจากกัน เมื่อฝ่ามือหนาสัมผัสความชุ่มชื้น ภายในใจก็รู้สึกสุขสันต์ยิ่งนัก เขาปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางจุมพิตนาง “มิต้องกลัว ทุกๆ เรื่องมีข้าอยู่ทั้งคน! อีกอย่าง ในบ้านหลังนี้ล้วนเป็นคนที่เชื่อถือได้ ไม่มีผู้ใดกล้าปากสว่างหรอก…”
“แต่ว่า…แต่…”
เขาจัดการปิดปากนางด้วยสัญชาตญาณดิบ สยบความไม่สบายใจของนางกลืนกลับเขาไปในท้องด้วยจุมพิตอ้อยอิ่ง ปลายลิ้นหยอกเย้ากลีบปากของนางให้เผยอขึ้น แล้วตวัดพันเกี่ยวกับลิ้นอุ่นของนาง ปลายนิ้วมือที่อยู่บริเวณส่วนล่างก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปในส่วนอ่อนนุ่มที่ชุ่มชื้นนั่น จนกระทั่งมันคืบคลานเข้าไปในส่วนลึกสุด
“หลันเอ๋อร์ ทำให้ข้าคิดถึงแทบแย่แล้ว เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่…”
หลินหลันถูกเขาดึงสติสัมปชัญญะเตลิดเปิดเปิง ทั่วทั้งเรือนร่างร้อนผ่าวประดุจเปลวเพลิง แล้วยังจะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้อีกเสียที่ไหนกัน นอกเสียจากส่งเสียงเรียกชื่อเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง “หมิงอวิน หมิงอวิน...”
หลี่หมิงอวินไม่อาจยับยั้งได้อีกแล้วเช่นกัน จึงพลิกตัวขึ้นคร่อมเรือนร่างนาง แล้วค่อยๆ นำความแข็งแกร่งของตนเองแทรกเข้าสู่ร่างกายของนาง เขาเอ่ยถามนางด้วยความกังวลเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงความเกร็งและสั่นเทิ้มของนาง “เจ็บหรือไม่”
หลินหลันขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า
หลี่หมิงอวินรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง เขาค่อยๆ ขยับกายเคลื่อนไหวเนิบช้า ชำแรกเข้าไปอย่างตื้นเขินในตอนแรกเริ่ม จากนั้นถอนออกอย่างใจเย็น ไม่ได้อยู่ด้วยกันเนิ่นนานเพียงนี้ นางต้องการช่วงของการทำความคุ้นเคยสักหน่อย เขาจะรีบร้อนจนเกินไปไม่ได้ จนกระทั่งเสียงกระเส่าของนางค่อยๆ เล็ดรอดออกมา หลี่หมิงอวินไม่อาจมัวคำนึกมากมายเพียงนั้นได้อีกแล้ว เขาเคลื่อนไหวอย่างหุนหัน คิดเพียงแค่อย่างมุ่งเข้าสู่ด้านใน ลึกเข้าไปอีก ให้ไปถึงหัวใจของนาง วิญญาณของนาง และโอบรัดพันเกี่ยวกับไว้เช่นนี้ อย่างไร้ที่สิ้นสุด…
ไม่รู้เช่นกันว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด หลินหลันรู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งตัว แม้แต่คำอ้อนวอนล้วนพูดไม่ออกเสียแล้ว เขาถึงได้ยอมผละออก เรือนร่างทั้งสองคนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
“หลันเอ๋อร์ เมื่อครู่ทำให้เจ้าเจ็บหรือไม่” หลังเรี่ยวแรงของหลี่หมิงอวินค่อยๆ กลับคืนมา พอนึกถึงความดุดันเมื่อครู่ขึ้นมาได้จึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
หลินหลันผลักเขา “เจ้าทับข้าจนหายใจไม่ออกแล้ว”
หลี่หมิงอวินหัวเราะเบาๆ จากนั้นโอดกอดและพลิกตัวนาง “เช่นนั้นให้เจ้าทับข้าบ้างแล้วกัน”
หลินหลันทุบกำปั้นลงไปที่เขาสองที กล่าวตำหนิ “ไม่เอาหรอก ข้าจะไปอาบน้ำ เหงื่อท่วมตัวแล้ว ไม่สบายตัวจะแย่”
นัยน์ตาเขาเป็นประกายความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาชั่ววูบ “ไว้อีกประเดี๋ยวค่อยไป”
หลินหลันรู้สึกถึงสิ่งนั้นที่ยังคงอยู่ในร่างกายของนางเริ่มมีสัญญาณแห่งการฟื้นตัวและเคลื่อนไหวอย่างไม่ยอมเชื่อฟัง นางจึงใช้มือยันแผงอกของเขาเพื่อชันตัวขึ้นตรง ต้องการลงจากเรือนร่างเขา “มิได้ ข้าไม่ไหวแล้ว”
เขายิ้มกรุ้มกริ่ม ตราตรึงนางไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย และชันเอวขึ้นสุดทาง “มันอาลัยอาวรณ์เกินกว่าจะออกมาน่ะสิ หลันเอ๋อร์ ในนี้ของเจ้าช่างเยี่ยมยอดจริงๆ…”
ทั้งสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปจนถึงครึ่งคืน หลินหลันเหนื่อยจนไม่อยากขยับแม้กระทั่งนิ้วมือ หลี่หมิงอวินจึงลุกขึ้นไปตักน้ำอุ่นมาและช่วยเช็ดตัวให้นาง จากนั้นถึงได้โอบกอดนางนอนหลับไปอย่างสุขสม
การนอนหลับครั้งนี้สนิทกว่าครั้งไหน ไร้ความฝันใดๆ ตลอดทั้งคืน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลี่หมิงอวินลืมตาแล้วมองดูคนที่อยู่ในอ้อมกอด ถอนหายใจออกมาด้วยความพึงพอใจ จ้องมองนางเช่นนั้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วถึงค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง
หลังล้างหน้าบ้วนปาก และเปลี่ยนชุดเป็นที่เรียบร้อย เขาสั่งการหยินหลิ่วและคนอื่นๆ อย่าได้รบกวนนายหญิง ส่วนตนเองมุ่งหน้าไปโถงบรรพบุรุษเพื่อปักธูปให้หญิงชรา จากนั้นเดินเล่นไปยังแต่ละบริเวณอีกหนึ่งรอบเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ความปลอดภัยในจวน แม้ว่าตอนนี้ตระกูลฉินตกอยู่ในสภาพเอาตัวเองไม่รอด แต่จะประมาทไม่ได้เช่นกัน
ยามที่หลินหลันลืมตาขึ้นก็สายมากแล้ว ขณะมองดูแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา หลินหลันรีบกระวีกระวาดลุกขึ้นนั่ง ทว่าร่างกายกลับรู้สึกถึงความปวดเมื่อยฉับพลัน เสมือนถูกคนทุบตีจนน่วม
“ตื่นแล้วหรือ นอนหลับสบายหรือไม่” ด้านนอกม่านมุ้ง หลี่หมิงอวินเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
หลินหลันเลิกม่านมุ้งเปิดออก เห็นหลี่หมิงอวินอยู่ในชุดเรียบร้อย สีหน้าท่าทางดูสดชื่นเสียยิ่งอะไรดี กำลังนั่งเอนกายอ่านหนังสือบนเก้าอี้ตัวยาวอย่างสบายใจเฉิบ
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ปลุกข้า” หลินหลันกล่าวด้วยความหงุดหงิด นางไม่เคยตื่นสายเพียงนี้ คราวนี้บรรดาข้ารับใช้คงได้รู้แน่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แค่คิดๆ ดูก็น่าอับอายขายหน้าจะแย่แล้ว
หลี่หมิงอวินหัวเราะขึ้นมาเบาๆ จากนั้นวางหนังสือลงแล้วก้าวลงจากเก้าอี้ตัวยาวและเดินเข้ามา เขาใช้ตะข้อเกี่ยวม่านทั้งสองด้านรวบไว้ด้านข้างพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เห็นเจ้าหลับสนิทเพียงนี้ แล้วข้าจะทำใจปลุกเจ้าได้อย่างไรกัน”
หลินหลันมองค้อนใส่เขา กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็นเพราะเจ้าคนเดียว ข้าไม่มีหน้าออกไปแล้ว”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างประจบประแจง “ก็ได้ๆ เป็นข้าเองที่ทำไม่ถูก แต่นี่มันก็ไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิดเสียหน่อย ทุกคนเขาก็เข้าใจได้ทั้งนั้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์นี่นา!”
หลินหลันคว้าหมอนหนุนใบหนึ่งเขวี้ยงออกไป ยังจะมาพูดว่าเข้าใจได้อีก เข้าใจกับเจ้าน่ะสิ! หนังหน้าของนางไม่ได้หนาขนาดเขาสักหน่อย
หลี่หมิงอวินรับหมอนไว้ได้แล้วยื่นกลับคืนไปด้วยสีหน้าระรื่น “หายโมโหหรือยัง หากยังไม่หายเช่นนั้นก็เขวี้ยงมาอีกที”
หลินหลันรับคืนมาแล้วเขวี้ยงออกไปอีกครั้งเต็มแรงอย่างไม่เกรงใจ “คืนนี้เจ้านอนในห้องหนังสือไปเลย”
“ถ้าเจ้านอนด้วยก็ย่อมได้” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันคร้านจะสนใจเขาจึงก้าวลงจากเตียงนอนแล้วสวมใส่รองเท้า อดทนต่อความปวดเมื่อยเนื้อตัวเดินเข้าห้องน้ำไป
หลี่หมิงอวินยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วเดินออกไปร้องเรียกหยินหลิ่วให้เข้าไปปรนนิบัตินาง ไม่นานนักหยินหลิ่วก็เดินออกมาพร้อมร้อยยิ้ม แล้วเดินไปห้องเก็บยาด้านหลังเพื่อค้นหายาสองสามตัวยา
หลังรับประทานมื้อกลางวันเป็นที่เรียบร้อย หลี่หมิงอวินยังคงนั่งเอนกายอ่านหนังสือบนเก้าอี้ตัวยาว ขณะที่หลินหลันกำลังเชยชมเสื้อผ้าเด็กอ่อนที่แม่โจวส่งมาอยู่ด้านนอก
“ตัวเล็กเพียงนี้เชียว ช่างน่ารักจริงๆ…” หลินหลันพลิกเสื้อผ้าที่มาดูทีละตัวอย่างสนอกสนใจ “แม่โจว ฝีมือท่านอย่างยอดเยี่ยมจริงๆ การเย็บปักที่ละเอียดเช่นนี้ เทียบเท่ากับสตรีเย็บปักแห่งโรงเย็บปักของตระกูลเยี่ยแล้วกระมัง”
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผิวพรรณของทารกบอบบาง ดังนั้นเนื้อผ้าที่เลือกใช้จึงต้องอ่อนนุ่มมากที่สุด และต้องเก็บซ่อนเส้นด้ายให้เรียบร้อย มิเช่นนั้นหากไปสัมผัสกับตัวเด็กเข้าจะรู้สึกไม่สบายตัวเอาได้เจ้าค่ะ”
“ช่างพิถีพิถันจริงๆ” หลินหลันกล่าวตามด้วยส่งเสียงจุ๊ๆ นางไม่ถนัดงานฝีมือ เคยลองหัดทำอยู่ครั้งสองครั้งภายใต้การที่หมิงอวินนำรางวัลมาหลอกล่อ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ จึงยอมแพ้แต่โดยดี
“รอให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายมีคุณชายน้อยแล้ว บ่าวก็จะทำให้หลายๆ ตัวเลยเจ้าค่ะ หนึ่งปีสี่ฤดู บ่าวจะเตรียมไว้ให้หมดเลยเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันหน้าแดงระเรื่อ กล่าวด้วยความเขินอาย “ยังเร็วเกินไปน่ะ!”
“ไม่เร็วแล้วเจ้าค่ะ หลังพ้นปีใหม่นี้ เอ้อร์เส้าหน่ายนายก็อายุสิบแปดแล้ว สตรีส่วนมากสิบห้าสิบหกปีก็เป็นแม่คนกันแล้วนะเจ้าคะ” แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันรำพึงรำพันในใจ นั่นเป็นก่อนวัยอันควรต่างหาก สิบห้าสิบหกปี ร่างกายของตนเองยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่เลย! ก็ไม่แปลกเลยที่คนยุคสมัยโบราณจะอายุไม่ยืนยาว ล้วนเป็นเพราะเร่งรีบกระทำเรื่องนี้กันไวเกินไป
หยินหลิ่วถือถ้วยยาเดินเข้ามา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ยาต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
แม่โจวกล่าวด้วยความห่วงใย “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านไม่สบายหรือเจ้าคะ”
คำพูดของแม่โจวยังไม่ทันขาดคำ หลี่หมิงอวินที่อยู่ห้องชั้นในก็เดินบุ่มบ่ามออกมา “หลันเอ๋อร์ เจ้าไม่สบายแล้วหรือ”