ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 281 สร้างครอบครัว
หลี่หมิงอวินตื่นตระหนกไปพักใหญ่ เขาเดินเข้าไปอย่างใจเย็น ลูบคลำคิ้วของนางที่กำลังขมวดอยู่เล็กน้อย กล่าวอย่างอ่อนโยน “ขอโทษด้วย เป็นข้าเองที่มองข้ามไป วันหลังจะระมัดระวังให้มากขึ้น จะไม่ทำให้เจ้าต้องดื่มยาขมๆ เพียงนี้อีก”
หลินหลันดึงมือของเขาลง แล้วก้มหน้าผากลงไปซบอยู่ที่แผงอกของเขา พลางพึมพำด้วยความเขินอายเบาๆ “รอพ้นช่วงไว้ทุกข์ไปแล้ว ข้าคิดว่า…ข้าก็ควรมีลูกได้แล้วละ”
นัยน์ตาของหลี่หมิงอวินทอประกายความสุขขึ้นมาทันใด เขาโอบกอดนางไว้อย่างอ่อนโยน อมยิ้มมุมปาก “อืม…ไว้ถึงเวลา ข้าจะพยายามสุดความสามารถ”
หลินหลันทุบกำปั้นลงไปที่เขาหนึ่งที บ่นใส่ “พยายามสุดความสามารถอันใดของเจ้าหรือ”
หลี่หมิงอวินก้มลงข้างใบหูนาง กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ “ถึงเวลาเจ้าก็รู้เอง…”
หลินหลันถูกเขาทำให้หน้าแดงก่ำ ถึงขั้นต้องออกแรงผลักเขาด้วยความเขินอาย “ไม่สนใจเจ้าแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมพี่สะใภ้สักหน่อย”
หลี่หมิงอวินเห็นท่าทางเขินอายของนางก็หัวเราะร่า
หลินหลันหันกลับมาจ้องเขาเขม็ง “เจ้าเบาเสียงหน่อย ให้คนอื่นได้ยินเข้าจะไม่ดี และคงได้คิดว่าเจ้าอกกตัญญูอีกด้วย!”
หลี่หมิงอวินรีบเก็บเสียงทันทีทันใด หันมาอมยิ้มน้อยๆ มองนางเดินพ้นประตูออกไป
จากนั้นไม่นานนัก หนิงซิ่งและหลินเฟิงก็มาเยือนถึงจวน ทั้งสองคนไปปักธูปเพื่อแสดงการไว้อาลัยแด่หญิงชราเป็นอันดับแรก หลี่หมิงอวินให้ตงจึไปบอกกล่าวนายหญิงสะใภ้รองที่เรือนเวยอวี่สักหน่อย จากนั้นทั้งสามคนจึงไปพูดคุยกันที่ห้องหนังสือด้านนอก
“พี่ใหญ่ ต้องการให้ข้าส่งคนอีกสักจำนวนหนึ่งมาอารักขาความปลอดภัยของจวนหลี่หรือไม่” หนิงซิ่งกล่าว
หลี่หมิงอวินส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก มีจ้าวจัวอี้อยู่คงไม่มีปัญหาอะไร”
หนิงซิ่งเลิกคิ้วขึ้นและกล่าว “เจ้าเด็กหนุ่มนี่ ข้าไม่มั่นใจเท่าใดนักหรอก มอบภาระงานสำคัญเยี่ยงนี้ให้เขา แต่เขาดันปล่อยให้เกิดเรื่องจนได้ ไว้อีกเดี๋ยวข้าจะเล่นงานเขา คอยดูเหอะ”
หลี่หมิงอวินอมยิ้ม “นี่จะโทษเขาก็มิได้เช่นกัน ในเมื่อคนใต้บัญชาเขาทั้งหมดมีอยู่เพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้น แล้วจะคอยดูแลรอบด้านครบถ้วนได้อย่างไร ได้เท่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว เจ้าเองก็อย่าได้ดุดันเกินไปเลย อีกทั้งตอนนี้ตระกูลฉินก็ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามแล้วเช่นกัน เพราะหากจวนหลี่เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ตระกูลฉินพวกเขาก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยแรกโดยปริยาย”
“ถึงจะว่าอย่างนี้ก็เถอะ แต่ใครจะรู้ได้ว่าเขาจะก่อเรื่องเลวทรามลับหลังขนาดที่ต้องให้ตายกันไปข้างหนึ่งอีกหรือไม่” หนิงซิ่งยังคงกังวลใจ
“นั่นสิ! จะอย่างไรก็ต้องระมัดระวังรอบคอบไว้หน่อยถึงจะดี” หลินเฟิงกล่าวเสริม
หลี่หมิงอวินหัวเราะหมิ่นตนเอง “ตระกูลฉินนั่นก็ช่างให้ความสำคัญในตัวข้าเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ขุนนางทูตพิเศษขั้นห้าผู้หนึ่งเท่านั้น ตระกูลฉินเขาเป็นถึงวงศ์ตระกูลที่ยืนยาวมานานเป็นร้อยปี และยังเป็นถึงครอบครัวซึ่งอยู่เบื้องหลังองค์ชายผู้สูงส่ง ไยจำเป็นต้องเดือดเนื้อร้อนใจกับคนอย่างข้า ในเมื่อพยานบุคคลถูกกุมขังไว้ในเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้ว ต่อให้พวกเขาคิดจะก่อเรื่องใดๆ กับข้าอีกก็ไร้ความหมายเสียแล้ว ยามนี้ ที่พวกเขาต้องกังวลคือฮ่องเต้และองค์ชายสี่ และกังวลว่าจะจัดการเรื่องเน่าเฟะนี้เช่นไร”
แม้พี่ใหญ่จะยืนหยัดเยี่ยงนี้ ทว่าหนิงซิ่งได้แอบตัดสินใจแล้วว่า ไว้กลับไปจะส่งคนจำนวนหนึ่งมาคอยอารักขาพี่ใหญ่และพี่สะใภ้อย่างลับๆ
“จริงสิ เช้าวันนี้ผู้อาวุโสตระกูลข้าส่งข่าวคราวมาว่าฮ่องเต้อาจให้ข้าควบคุมจัดการค่ายเป่ยซานด้วย พี่ใหญ่ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นอย่างไรหรือ” นี่ต่างหากที่เป็นประเด็นหลักการมาเยือนของหนิงซิ่ง
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักก่อนกล่าวออกมา “ค่ายกองทัพเป่ยซานตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ใกล้เมืองหลวง มีความแข็งแกร่งและดูแลจัดการปัญหาต่างๆ ได้โดยง่าย การที่ฮ่องเต้มอบหมายให้เจ้าเป็นผู้ควบคุม ประการแรกเป็นเพราะเชื่อใจในตัวเจ้าและอยากบ่มเพาะเจ้า ประการที่สอง บางทีอีกไม่นานฮ่องเต้อาจต้องการลงมือบางอย่าง เพียงแต่…หลายปีมานี้ ตระกูลฉินทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับกองทัพเป่ยซานไม่น้อย และบ่มเพาะคนสนิทซึ่งไว้ใจได้ไว้จำนวนไม่น้อย นอกจากหม่าโหยวเหลียง คงยังมีคนที่ตระกูลฉินแอบแทรกแซงไว้อีกไม่รู้จำนวนเท่าใด การที่เจ้าเข้าไปกะทันหันเยี่ยงนี้ เป็นการยากยิ่งที่จะกอบกุมอำนาจใหญ่สุดได้อยู่มือ ข้าว่า เรื่องนี้ เจ้าลองขอความเห็นจากผู้อาวุโสตระกูลเจ้าจะดีกว่า ให้ฮ่องเต้อย่าเพิ่งรีบร้อนออกคำสั่ง และให้ส่วนราชการทหารเป็นผู้เสนอคนที่เหมาะสมมาเป็นตัวเลือก”
หนิงซิ่งเบิกตาโต กล่าวด้วยความประหลาดใจ “พี่ใหญ่ ความหมายของท่านคือ…ข้าไม่ควรไปใช่หรือไม่”
หลี่หมิงอวินจ้องเขาเขม็ง “สมองเจ้านี่นะ ทียามสู้รบละปราดเปรื่องเสียยิ่งอะไรดี เจ้าลองคิดดู หากฮ่องเต้ให้ส่วนราชการทหารเสนอคนที่เหมาะสมมาเข้าร่วมคัดเลือก ตระกูลฉินจะยอมพลาดโอกาสนี้หรือ ตระกูลฉินจะทำใจปล่อยอำนาจทางกองทัพเป่ยซานได้หรือ”
หลินเฟิงเข้าใจได้เป็นคนแรก “อ้อ…นี่เป็นการถือโอกาสค้นพบอำนาจมืดของตระกูลฉินสินะ”
หนิงซิ่งตบหน้าผากของตนเอง และกล่าวขึ้นทันทีทันใด “จริงด้วย! กลยุทธ์นี้ยอดเยี่ยมไปเลย ข้าจะกลับไปพูดคุยกับผู้อาวุโสวันนี้ละ”
หลี่หมิงอวินชำเลืองตามองเขาอีกครั้ง “และคอยดูความประสงค์ของฮ่องเต้ หากพระองค์คิดจะให้เจ้าเข้าไปรับหน้าที่ ค่อยให้ท่านผู้อาวุโสเข้าไปกราบทูล
หากฮ่องเต้มีแผนการของพระองค์เองอยู่แล้ว…เช่นนั้นก็เลิกเอ่ยถึงเรื่องจะไปได้เลย”
หนิงซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน “ถูกต้องๆ นั่นเป็นถึงฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาสามารถเชียวนะ”
ระหว่างพูดคุยกัน ตงจึงเข้ามารายงานว่านายหญิงสะใภ้รองกำลังรอหลินเฟิง ณ โถงรับแขกส่วนหน้า
หลี่หมิงอวินกล่าวต่อหลินเฟิงด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่รีบไปเถอะ! หลันเอ๋อร์กำลังรออยู่น่ะ!”
หลินเฟิงยกสองมือขึ้นคารวะพร้อมกล่าวลา จากนั้นเดินไปยังโถงรับแขกส่วนหน้ากับตงจึ
สองพี่น้องไม่ได้เจอะเจอกันนาน จึงอดดีใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้
“พี่ใหญ่ ตอนนี้นับวันยิ่งมีมาดความเป็นแม่ทัพขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะเจ้าคะ!” หลินหลันเห็นพี่ชายผ่านประสบการณ์ท่ามกลางกองกำลังทหาร เดิมทีรูปลักษณ์ก็สุขุมหล่อเหลาอยู่แล้ว เมื่อผ่านการฝึกฝนมากๆ เข้ายิ่งดูสงบนิ่งและเชี่ยวชาญมากขึ้น เรียกได้ว่าองอาจห้าวหาญอย่างยิ่ง เมื่อนึกถึงเหยาจินฮวาที่รูปลักษณ์แสนธรรมดาทั้งยังไร้ความรู้ความสามารถ ตลอดจนท่าทีในการปฏิบัติตัวต่อสังคมผู้นั้น หลินหลันอดรู้สึกหดหู่ใจแทนพี่ชายไม่ได้ หากท่านแม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะโดดเด่นมีหน้ามีตาดังเช่นวันนี้ ยังจะให้สตรีปากร้ายอย่างเหยาจินฮวาเช่นนั้นเข้ามาในครอบครัวอีกหรือไม่
หลินเฟิงเผยด้านที่ซื่อๆ และอ่อนโยนต่อหน้าผู้เป็นน้องสาวเท่านั้น เขากล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเจื่อน “น้องพี่ เลิกหยอกล้อข้าได้แล้ว ข้าเป็นเช่นไรเจ้าเองก็รู้ดีที่สุด หากมิใช่น้องเขยและแม่ทัพหนิงช่วยสนับสนุน ข้าจะมีวันนี้ได้ที่ไหนกัน”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่นั่นก็จำเป็นต้องอาศัยความกล้าหาญและเอาจริงเอาจังของพี่เองด้วยมิใช่หรือ ข้าได้ยินพี่จ้าวเอ่ยว่า ยามนี้พี่ใหญ่ค่อนข้างมีหน้ามีตาในกองทัพทีเดียวเชียว สถานที่อย่างกองทัพทหาร แต่ไหนแต่ไรมาก็ต้องอาศัยอำนาจแห่งประกาศิตในการพูดจา หากเจ้ามีความสามารถ ผู้คนก็จะเชื่อในตัวเจ้า และให้ความเคารพเจ้า ดังนั้นท่านพี่ไม่จำเป็นต้องดูถูกตนเองไปหรอกเจ้าค่ะ”
หลินเฟิงลูบศีรษะด้วยความเคอะเขิน และฉีกยิ้มเก้ๆ กังๆ
“จริงสิ เมื่อเดือนหกได้รับจดหมายของเหล่าไท่ไทตระกูลเยี่ย เอ่ยถึงพี่สะใภ้และหลานชายคนโต กล่าวว่าหลานชายคนโตกำยำแข็งแรงแล้ว และชาญฉลาดอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อเลย! จึงตั้งชื่อเล่นนามว่าหานเอ๋อร์ พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านก็มีหน้ามีตาแล้ว มั่นคงแล้ว ควรจะรับพี่สะใภ้กับหลานชายคนโตมาอยู่ด้วยแล้วหรือไม่เจ้าคะ” หลินหลันกล่าวเสนอแนะ แม้นางไม่ชื่นชอบเหยาจินฮวาเท่าใดนัก ทว่าหานเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตของพี่ชาย และเป็นหลานชายของตระกูลหลิน เด็กในวัยนี้ง่ายต่อการอบรมสั่งสอน หานเอ๋อร์อยู่กับเหยาจินฮวาตลอด หากไปเรียนรู้นิสัยประเภทเหยาจินฮวาจนกลายเป็นนิสัยติดตัว นั่นคงได้จบสิ้นกันพอดี
หลินเฟิงถอนหายใจยาว กล่าวว่า “ข้ากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่เช่นกัน จะว่าไปก็จากบ้านมาเกือบสองปีแล้ว ก็คิดถึงพวกเขาอยู่เช่นกัน”
“เช่นนั้นก็รับพวกเขามาเลยสิเจ้าคะ! ระยะนี้ข้าจะช่วยท่านดูๆ บ้านที่เหมาะสมแล้วซื้อไว้ก่อนให้เรียบร้อย พี่ใหญ่เองก็จะได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคง ไว้ภายภาคหน้าพี่ใหญ่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงใหญ่โตก็ค่อยเปลี่ยนเป็นจวนก็ย่อมได้” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
หลินเฟิงรู้สึกลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย “ทว่า…ตอนนี้ข้าไม่ได้มีเงินทองมากมายเพียงนั้น เรื่องซื้อบ้านเอาไว้ค่อยว่ากันวันหลังเถอะ!”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเอ่ยว่า ข้าจะเป็นคนซื้อเจ้าค่ะ”
หลินเฟิงยิ่งรู้สึกละอายแก่ใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม “จะได้อย่างไรกัน นี่มันต้องใช้จ่ายเงินจำนวนไม่น้อยเชียวนะ มิได้หรอก มิได้”
หลินหลันเลิกคิ้วอย่างไม่พึงพอใจเล็กน้อย “พี่ใหญ่พูดอะไรน่ะเจ้าคะ ข้ามีท่านเป็นพี่ชายเพียงคนเดียว ให้บ้านสักหลังหนึ่งจะเป็นไรไปหรือ อีกอย่างข้าก็มิใช่ว่าไม่มีเงินเสียหน่อย” เมื่อเห็นพี่ชายเตรียมเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง หลินหลันจึงรีบจ้องเขม็งใส่ “ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ ปฏิเสธก็คือการตัดพี่ตัดน้องกับข้า ก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้หลานชายแล้วกันนะเจ้าคะ ถึงอย่างไรจะปล่อยให้พวกเขาแม่ลูกมากันแล้ว แต่ยังต้องไปเช่าห้องพักก็คงมิได้กระมัง! เช่นนั้นข้าจะกลายเป็นคนเช่นไรไปแล้วหรือ เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ละ ไว้เดี๋ยวท่านก็ส่งจดหมายไปให้พี่สะใภ้แล้วกัน อีกอย่างบุตรชายคนโตของท่านลุงตระกูลเยี่ยต้องกลับเฟิงอานพอดี ตอนที่เดินทางกลับมาก็ให้พวกเขาพาคนมาพร้อมกันด้วยเลย”
หลินเฟิงฉีกยิ้มเบิกบาน “เช่นนั้นก็รบกวนน้องพี่ด้วย”
หลินหลันลังเลใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยถาม “หลังข้าจากมา ตาคนนั้นได้ไปรบกวนท่านหรือไม่”
หลินเฟิงเอ่ยปากพะงาบๆ ด้วยความงุนงง “ตาคนไหนหรือ”
หลินหลันเบิกดวงตาโต “ท่านว่ายังมีตาคนไหนอีกล่ะ”
“เจ้าหมายถึงท่านพ่อของเราน่ะหรือ” หลินเฟิงกล่าวอย่างบริสุทธิ์ใจ
“ผุยๆ ใครกันเป็นท่านพ่อพวกเรา ท่านพ่อเราตายไปนานแล้ว เราไม่มีท่านพ่อ” หลินหลันกล่าวด้วยความหงุดหงิด
ขณะนี้เองหลินเฟิงถึงนึกขึ้นมาได้ จึงรีบแก้ไขคำพูดแทบไม่ทัน “ใช่ๆ ท่านพ่อพวกเราตายไปนานแล้ว พวกเราไม่มีท่านพ่อ ส่วนตา…ผู้เฒ่านั่นแวะเวียนมาก่อกวนข้าอยู่สามสี่ครั้ง ทว่าล้วนถูกข้าชักสีหน้าเย็นชาใส่กลับไปทุกครั้ง น้องพี่ เจ้าวางใจได้ เรื่องนี้พี่มีความนึกคิดเช่นเดียวกับเจ้า เจ้ากล่าวว่าไม่ยอมรับ เราก็ไม่ยอมรับด้วยกันนี่ละ”
หลินหลันเผยสีหน้าหดหู่ ตามด้วยทอดถอนใจ “พี่ใหญ่ มิใช่ข้าใจร้าย เพียงแต่เมื่อใดก็ตามที่ข้านึกถึงท่านแม่นั่งเย็บปักเสื้อผ้าใต้แสงเทียน ปักเย็บไปน้ำตาไหลรินไปไม่รู้กี่ค่ำคืน พอนึกถึงก่อนท่านแม่จากไปก็ยังคะนึงถึงคนผู้นั้น นึกถึงยามที่ท่านแม่โดดเดี่ยวนอนอยู่บนพื้นลำพังผู้เดียว หัวใจของข้านี้ก็…ก็เจ็บปวดแทบแย่ ข้าไม่อาจให้อภัยเขาได้จริงๆ ไม่ว่าท่านป้าจะพูดอันใดกับเขา จนก่อให้เกิดสถานการณ์เช่นทุกวันนี้ ข้าก็เกลียดเขาอยู่ดี และรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนท่านแม่ รู้สึกปวดใจแทนท่านแม่” ขณะหลินหลันเอื้อนเอ่ย นางรู้สึกอยากร้องไห้ และก็ไม่อาจกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ได้
หลินเฟิงกล่าวปลอบประโลม แม้ตนเองได้ฟังก็รู้สึกเศร้าโศกเช่นกัน “น้องพี่ อย่าเศร้าเสียใจไปเลย พวกเราก็คิดเสียว่าท่านพ่อผู้นี้ตายจากไปนานแล้วก็พอ”
หลังหลี่หมิงอวินพูดคุยกับหนิงซิ่เสร็จสิ้นก็เดินมายังโถงรับแขกส่วนหน้าเช่นกัน เขาได้ยินสองพี่น้องกำลังพูดคุยเกี่ยวกับแม่ทัพหลิน ทั้งสองคนต่างมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มขมขื่น แม่ทัพหลินอ่า แม่ทัพหลิน เห็นทีว่า การที่ท่านอยากจะให้บุตรชายบุตรสาวยอมรับ มันคงไม่ง่ายจริงๆ!
ยามราตรี หลังอาบน้ำเรียบร้อย หลี่หมิงอวินขึ้นไปนั่งอ่านหนังสือบนเตียงเดี่ยวเบาะนุ่ม พลางพึมพำระบายความรู้สึก “อยู่บ้านนี่มันสบายที่สุดแล้ว นานเพียงใดแล้วนะที่มิได้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจเพียงนี้”
หลินหลันรับหวีจากหยินหลิ่ว บอกกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “เจ้าออกไปเถอะ! มิต้องคอยปรนนิบัติแล้วละ”
หยินหลิ่วนำเครื่องประดับเก็บเข้ากล่องเครื่องประดับด้วยสีหน้าระรื่น จากนั้นย่อตัวลงคารวะและกล่าวลาก่อนถอยออกไป
หลินหลันหวีผมเป็นระยะๆ พลางมองดูเขาที่กำลังเอนกายพิงหมอนอิงใบใหญ่อย่างผ่อนคลายผ่านกระจก ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความอ่อนโยน มุมปากแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ แสดงถึงสภาพอารมณ์ที่สุขสำราญใจ ภายในใจนางก็รู้สึกมีความสุขไปด้วยอย่างน่าประหลาด การมีเขาอยู่ บ้านหลังนี้ถึงค่อยดูเสมือนบ้านขึ้นมาจริงๆ!
“วันนี้ข้าพูดคุยกับพี่ใหญ่แล้วว่า จะซื้อบ้านในเมืองหลวงให้เขาสักหลัง เพื่อได้รับพี่สะใภ้และหลานข้ามาอยู่ด้วย” หลินหลันกล่าวอย่างสบายๆ
หลี่หมิงอวินเคลื่อนสายตาออกจากหนังสือ จดจ้องไปยังผมยาวสลวยของนางและกล่าวขึ้นทันควัน “เป็นสิ่งที่พึงกระทำอยู่แล้ว ไว้เดี๋ยวข้าจะให้คนไปช่วยหาให้ ดูว่ามีบ้านหลังไหนที่เหมาะสมบ้าง ทว่า พี่สะใภ้เจ้านั่น…” หลี่หมิงอวินนึกถึงพฤติกรรมในอดีตของเหยาจินฮวาขึ้นมา อดอมยิ้มเจื่อนไม่ได้ “เกรงก็แต่ว่าเมื่อนางมาแล้ว เจ้าจะไม่เป็นอันสงบสุขอีกน่ะสิ”
หลินหลันวางหวีลงแล้วหันมา “มีอันใดให้ไม่สงบสุขหรือ เมื่อก่อนข้าก็ไม่เคยยอมนางอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งมิต้องพูดถึง หากนางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับพี่ใหญ่ก็แล้วไป แต่หากยังกล้าก่อเรื่องก่อราวขึ้นละก็ ข้าจะให้พี่ชายข้าหย่าร้างกับนางทันที”
หลี่หมิงอวินวางหนังสือลงแล้วอมยิ้มเดินเข้ามา หยิบหวีขึ้นช่วยหวีผมยาวสวยของนางให้อย่างเบามือพลางกล่าว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ใครจะกล้ารังแก่เจ้าล่ะ! ขืนทำเช่นนั้นมิเท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ”
หลินหลันเม้มริมฝีปาก “เจ้าหมายความว่าอะไร พูดอย่างกับข้าโหดเหี้ยมมากมาย”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าหมายความว่า ใครกล้ารังแกเจ้า ข้าจะเป็นคนแรกที่เล่นงาน”
หลินหลันหลุดหัวเราะออกมา ชำเลืองมองคนที่อยู่ในกระจกด้วยสายตาแสร้งตำหนิ “นี่ค่อยเข้าท่าหน่อย”
หยินหลิ่วส่งเสียงรายงานจากด้านนอก “เอ้อร์เส้าเหยีย มีคนจากจวนจิ้งปั๋วโหว์มาเจ้าค่ะ กล่าวว่าต้องการขอพบท่าน”
มือของหลี่หมิงอวินหยุดชะงักลง นี่มืดค่ำแล้ว จิ้งปั๋วโหว์ส่งคนมาหาเขา คงไม่ใช่ว่ามีเรื่องด่วนอันใดเกิดขึ้นแล้วกระมัง
หลินหลันผลักเขาหนึ่งที “เจ้ารีบไปดูเร็วเข้า”