ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 289 ปรึกษาหารือกันดีๆ
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะเป็นเช่นนี้ นั่นมิใช่บิดาที่พลัดพรากจากกันไปหลายปีหรอกหรือ มีบิดาแล้วทำไมต้องไม่ยอมรับด้วย ตัวเจ้าเองปฏิบัติอย่างไม่มีเหตุมีผลแล้วยังมาว่ากล่าวข้า” เหยาจินฮวาร้องไห้สะอึกสะอื้น
“นี่ เจ้าไม่เข้าใจสถานการณ์ ก็ช่วยพูดจาเพ้อเจ้อที่นี่ให้มันน้อยๆ หน่อย” หลินหลันเกลียดการที่มีคนมากล่าวว่าการไม่ยอมรับบิดามันเป็นความไม่มีเหตุผลมากที่สุด หากเหยาจินฮวาไม่ใช่ภรรยาของพี่ชาย ไม่ใช่มารดาของฮานเอ๋อร์ นางคงไล่ตะเพิดให้ออกไปตั้งนานแล้ว ไม่เจอะไม่เจอจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดใจ
นางเฝิงเห็นสีหน้าไม่เป็นมิตรของหลินหลัน จึงกล่าวด้วยความเกรงใจ “หลินหลัน เจ้าอย่าโมโหไปเลย พี่สะใภ้เจ้านางเพราะคิดถึงลูก ก็เลยร้อนรนใจ…”
ฮึ! ร้อนรนใจ เหยาจินฮวานางร้อนรนใจที่จะเป็นนายหญิงสะใภ้ใหญ่ของจวนแม่ทัพเสียมากกว่า
เหยาจินฮวาเห็นหลินหลันก้าวออกมาเผชิญหน้า ความเดือดดาลที่อัดอั้นภายในใจก็ค้นพบช่องทางแห่งการปลดปล่อย นางเดินพุ่งเข้าไปเบื้องหน้าและชี้หน้าหลินหลันขณะเอ่ยถาม “เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่พยายามยุยงให้หย่าร้างกัน ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ต้องเป็นเจ้าแน่นอนที่ยุยงพี่ชายเจ้า จะได้ให้พี่ชายเจ้าหย่าร้างกับข้า เมื่อก่อนพี่ชายเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้…”
หลินหลันปัดมือของนางทิ้งในทีเดียว และกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “จะบอกเจ้าตามจริงเลยแล้วกัน หากมิได้เห็นแก่ฮานเอ๋อร์ ข้าก็คิดที่จะทำเยี่ยงนั้นจริงๆ ไม่รู้จักดูสารรูปของตนให้ดีๆ เสียบ้าง รูปร่างหน้าตาไม่ไปวัดไปวาก็แล้วไป แต่ยังขี้เกียจสันหลังยาว บ้าอำนาจและละโมบโลภมาก วันๆ รู้จักแต่สองมือเท้าสะเอว วางหมาดบาตรใหญ่ ตะคอกใส่พี่ชายข้าครั้งแล้วครั้งเล่า สามีที่ไหนจะเป็นเบี้ยล่างสตรี สามีเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าต่างหาก มารดาเจ้าไม่เคยสอนหลักสี่คุณธรรม สามคล้อยตามหรอกหรือ เจ้าทำให้ท่านแม่ข้าโกรธเกรี้ยวจนตาย แล้วยังคิดจะขายข้าอีก บัญชีนี้ข้ายังไม่ได้สะสางกับเจ้าเลย! เจ้ายังกล้ามาถามข้าอีกหรือ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตบตีและขับไล่เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ก็ย่อมได้”
นัยน์ตาเหยาจินฮวาปรากฏความหวาดเกรงขึ้นมาชั่ววูบ ไม่ทันไรก็ยืดอกผายขึ้นมาอีกครั้ง และกล่าวอย่างกำเริบเสิบสาน “เจ้าลองตบตีข้าดูสิ? เอาสิ ตบเลยสิ…ข้าตะคอกใส่พี่ชายเข้าแล้วจะทำไมหรือ พี่ชายเจ้าก็ชอบให้ข้าปฏิบัติต่อเข้าเยี่ยงนี้ เขายินดี แล้วเจ้าจะเป็นเดือดเป็นร้อนไปทำไม อย่าคิดว่าเจ้าแต่งกับบุรุษที่มีเงินมีฐานะแล้วจะดีเลิศประเสริฐศรีกว่าผู้อื่นเขา วางตนเป็นเจ้าคนนายคน และดูถูกเหยียดหยามพี่สะใภ้ ท่านแม่เจ้าสอนเจ้าประสาอันใดหรือ”
“เหยาจินฮวา เจ้าอย่าให้มันมากเกินไป” หลินเฟิงตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว สตรีผู้นี้ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าท่า
เหยาจินฮวาตะคอกอย่างตะลีตะลาน “เป็นน้องสาวเจ้าต่างหากที่เกินไป มีน้องสามีที่ไหนกันพูดจากับพี่สะใภ้เยี่ยงนี้ เจ้าในฐานะพี่ชายก็ไม่รู้จักควบคุมเสียบ้าง เอาแต่ใส่อารมณ์มาที่ข้า ข้าเหยาจินฮวาไม่มีรูปลักษณ์ที่งดงามและไร้ความสามารถใดๆ แต่จะดีจะร้ายข้าก็เป็นสตรีที่ให้กำเนิดบุตรเจ้า ถึงจะไร้ความสามารถแต่ก็ทนยากลำบากมาด้วยกัน พวกเจ้าแต่ละคนกลับปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงนี้ ข้า…ข้าไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว…”
เหยาจินฮวามองซ้ายมองขวา สองด้านล้วนเป็นกำแพง ไม่ดีนักหากจะพุ่งชน จึงพุ่งศีรษะชนแผงอกของหลินเฟิง
“นี่…ทำแบบนี้แล้วมันจะได้อันใด…ไอหยา หลินหลัน เจ้าก็อย่าเติมน้ำมันในกองไฟเลย รีบเกลี้ยกล่อมเร็วเข้าเถอะ!” นางเฝิงเอ่ยด้วยความร้อนรนใจ
หลินหลันสบถฮึอย่างเย็นชา ก่อนกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หลินฮูหยิน เรื่องของครอบครัวพวกเรา ท่านไม่เข้าใจกระจ่างแจ้ง สถานการณ์ประเภทนี้เห็นจนชินตามาเนิ่นนานแล้วเจ้าค่ะ หากท่านเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้น เช่นนั้นก็รีบพานางจากไปเสีย ถึงอย่างไรนางก็อยากเป็นลูกสะใภ้ของท่านจนตัวสั่น”
นางเฝิงถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะเมื่อถูกพูดอย่างตรงไปตรงมา เห็นทีว่า สองพี่น้องคู่นี้จะไม่ค่อยเห็นความสำคัญของเหยาจินฮวาสักเท่าใด ตามจริงนางก็ไม่ชอบคนที่มีพฤติกรรมปากร้าย เอะอะก็ร้องห่มร้องไห้และโวยวายประเภทเหยาจินฮวาเช่นกัน มันทำให้นางนึกถึงครอบครัวป้าใหญ่ เฮ้อ! ตั้งแต่เล็กๆ หลินเฟิงและหลินหลันเติบโตจากชนบทห่างไกล จึงเป็นการยากที่จะไม่ได้รับนิสัยประเภทโผงผางตรงไปตรงมาเช่นนี้
“เจ้าจะจับข้าไว้ทำไม ในเมื่อเจ้าจงเกลียดข้าเพียงนี้ ก็นำฮานเอ๋อร์มาคืนข้าเสีย ข้าจะพาฮานเอ๋อร์จากไป และไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าอีก เจ้าก็ถือเสียว่าพวกเราสองแม่ลูกตายไปแล้ว…” เหยาจินฮวาฉุดกระชากหลินเฟิง ทั้งน้ำมูกน้ำตาเช็ดถูบนเรือนร่างของเขา
เช่นนี้มันช่างน่าอับอายขายหน้าเกินไปแล้ว หลินเฟิงกัดฟันแน่น คว้าแขนของเหยาจินฮวาไว้อย่างแรงแล้วลากออกไปด้านนอก “ต้องการอาละวาดก็ออกไปอาละวาด วันนี้สุดจะทนแล้ว จะอาละวาดเป็นเพื่อนเจ้าเลยแล้วกัน”
หลี่หมิงอวินรีบเดินเข้าไปเกลี้ยกล่อม “พี่ใหญ่ อย่าทำเช่นนี้เลย เช่นนี้มันแก้ปัญหามิได้หรอกขอรับ…”
“หมิงอวิน เจ้าอย่าเข้าไปยุ่ง ให้พี่ใหญ่ได้จัดการด้วยตนเองเถอะ” หลินหลันกล่าวหะห้าม นานๆ ทีพี่ชายจะได้เอาคืนสักครั้ง ภรรยาประเภทนี้ก็ควรจะถูกดัดนิสัยตั้งนานแล้ว เหยาจินฮวาก็คือสตรีผู้โง่เขลาที่ควรได้รับการดัดนิสัยสามเวลาต่อวันก็ว่าได้
“ตระกูลหลินพวกเจ้าไม่มีคนดีๆ สักคน ไม่มีเลยสักคน…” เหยาจินฮวาขัดขืนไม่ยอมออกไป
หลินเฟิงใช้มืออุดปากของนางตามสัญชาติญาณ คาดไม่ถึงว่าเหยาจินฮวาจะกัดเข้ามาหนึ่งที บนนิ้วมือจึงเป็นรอยลึกห้อเลือดทันที
นางเฝิงเดิมทีคิดจะตามออกไป แต่เมื่อนึกไตร่ตรองดูอีกที นางตามออกไปก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน สถานะของนางเดิมทีก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่แล้ว ไม่เข้าไปแทรกแทรงจะดีเสียกว่า
“หลินหลัน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข้าอยากโน้มน้าวนางว่าอย่ามาเลย แต่ไม่อาจโน้มน้าวได้…” นางเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน
หลินหลันเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แสดงถึงความห่างเหิน “หลินฮูหยินรบกวนท่านกลับไปบอกกล่าวท่านแม่ทัพใหญ่ว่า อย่าได้คิดเปลี่ยนแปลงอันใดอีกเลย ต่างฝ่ายต่างทำเสมือนว่าไม่มีตัวตนอยู่ก็สิ้นเรื่อง ขอให้เขาโปรดหยุดใช้ลูกไม้ต่างๆ นานาได้แล้ว มิเช่นนั้น ข้าจะยิ่งเกลียดเขา”
นางเฝิงถึงกับชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้นอย่างเศร้าสร้อย “เช่นนั้น…พวกเรายังเป็นสหายกันหรือไม่”
มุมฝีปากของหลินหลันโค้งขึ้นเล็กน้อย จะว่าเสียดายไม่สู้กล่าวว่าเป็นการเหยียดหยันตนเองเสียจะดีกว่า “เมื่อก่อนใช่ ตอนนี้ ท่านคิดว่ายังเป็นได้อีกหรือไม่เจ้าคะ”
นางเฝิงรู้สึกอึดอัดใจจนสับสน ตั้งแต่รู้จักหลินหลัน นางก็ปฏิบัติด้วยความจริงใจเสมอมา รู้สึกว่าหลินหลันเป็นสหายที่สามารถให้ใจได้ ทว่าตอนนี้ ระหว่างพวกนางกลับเทียบไม่ได้แม้แต่คนแปลกหน้าด้วยซ้ำ
เห็นนางฝีเผยสีหน้าอารมณ์ผิดหวังเศร้าโศก ในใจหลินหลันเองก็รู้สึกรับไม่ไหวเช่นกัน นางอยู่ในเมืองหลวง เรียกได้ว่าเชื่อมมิตรไมตรีกับสหายด้วยหัวใจ และมีเพียงนางเฝิงและเฉียวอวิ๋นซีเท่านั้น เฉียวอวิ๋นซีดีต่อนาง เกินกว่าครึ่งเป็นเพราะนางเคยช่วยชีวิตบุตรของนางไว้ จึงมีบุญคุณในส่วนนี้อยู่ ทว่านางเฝิง ช่วยเหลือนางโดยไม่หวังสิ่งใดมาโดยตลอด นางเคยคิดว่าจะเป็นสหายกับนางเฝิงไปทั้งชีวิต ยามนี้ เพราะการปรากฏตัวของตาผู้เฒ่านั่น ทำให้ทั้งหมดนี้พังทลายไม่เหลือชิ้นดี
“ข้าเองก็รู้เช่นกันว่า พวกเราไม่อาจกลับไปเป็นเช่นเมื่อก่อนได้แล้ว ทว่าในใจข้า ยังคงเห็นเจ้าเป็นสหายอยู่ดี…ข้าขอตัวลาก่อนละ” นางเฝิงกล่าวด้วยเสียงบางเบา จากนั้นหันหลังอย่างเนิบช้าแล้วเดินจากไป
หลินหลันอดทนไม่มองไปยังแผ่นหลังของนางที่เดินจากไป อดทนความเจ็บปวดที่อยู่ภายในใจ นางไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุมีผล ไม่ใช่คนที่เมื่อไม่ชอบใครคนใดคนหนึ่ง แล้วจะพาลไปถึงคนรอบข้างของใครคนนั้นด้วย นางรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่อาจโทษนางเฝิงได้ หากจะกล่าวโทษคงโทษได้เพียงตาผู้เฒ่าคนนั้น ทว่า…นางและนางเฝิงถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่อาจเดินไปด้วยกันได้
หลี่หมิงอวินแอบถอดถอนหายใจ เขาโอบเอวคอดของหลินหลัน พลางโน้มน้าว “ตรงนี้ลมแรง เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะไปดูพี่ใหญ่สักหน่อย ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นอันใดขึ้นมาจริงๆ”
“หยินหลิ่ว ประครองเอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับห้องที” หลี่หมิงอวินหันไปสั่งการ
หยินหลิ่วขานรับ แล้วเดินเข้ามาประครองนายหญิงสะใภ้รอง
หลินหลันไม่เอ่ยกำชับด้วยความไม่วางใจ “เจ้าอย่าช่วยเหยาจินฮวาพูดเชียวนะ นางผู้นั้น ให้ท้ายเข้าหน่อยก็จะกำเริบเสิบสาน ครั้งนี้ไม่กำราบนางให้อยู่หมัด นางก็จะก่อร่างสร้างความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้ม “เข้าใจแล้วขอรับ ฮูหยิน”
หลินเฟิงฉุดกระชากเหยาจินฮวาออกจากจวนหลี่ พลางกล่าวตักเตือน “หากเจ้ายังคิดจะใช้ชีวิตสุขสบายกับข้า ก็ช่วยสงบเสงี่ยมไว้หน่อย ขืนก่อปัญหาอีก อาละวาดขึ้นมาอีก ก็อย่าโทษที่ข้าโยนเจ้าทิ้งไว้ข้างทางแล้วกัน”
เหยาจินฮวาตบศีรษะอย่างไม่พึงพอใจ “สารเลว เจ้าทำข้าเจ็บแล้ว ปล่อยมือเร็วเข้า”
หลินเฟิงขมวดคิ้ว “แล้วเจ้าจะยังอาละวาดอีกหรือไม่”
เหยาจินฮวากล่าวอย่างโอดครวญยิ่งกว่าครั้งไหนๆ “เจ้าพูดกับข้าดีๆ แล้วข้าจะโวยวายหรือ”
ขณะนี้เองหลินเฟิงถึงได้ยอมปล่อยมือ
“เจ้าดึงข้าออกมา แล้วฮานเอ๋อร์จะทำเช่นไร” เหยาจินฮวาไม่กล้าโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง นางดึงเสื้อผ้าที่ยับเยิน ชำเลืองมองหลินเฟิงแวบสายตาหนึ่งและเอ่ยถาม
“ฮานเอ๋อร์มีน้องข้าดูแลอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก” หลินหลันหันไปพูดจากับผู้คุมประตูบ้าน “ช่วยจูงม้าของข้าออกมาที”
ผู้คุมประตูบ้านขานรับทันควัน แล้วไปจูงม้าออกมา
เหยาจินฮวาได้ยินดังกล่าวจึงเกิดความร้อนใจ “น้องสาวเจ้าตัวนางเองยังไม่เป็นแม่คนด้วยซ้ำ! แล้วจะเลี้ยงเด็กได้อย่างไรหรือ มิได้ จะให้ฮานเอ๋อร์อยู่กับนางไม่ได้ ฮานเอ๋อร์เกิดมาก็ไม่เคยอยู่ห่างจากข้ามาก่อนเลย! ทุกค่ำคืนล้วนต้องให้ข้ากล่อมเขาถึงจะยอมนอน…”
หลินเฟิงชำเลืองมองนางอย่างเย็นชา “นำลูกให้เจ้า เจ้าจะได้อุ้มไปเอาใจตาผู้เฒ่านั่นที่จวนแม่ทัพน่ะหรือ”
“ถุยๆๆ มีใครเขาพูดกับพ่อตนเองเช่นนี้บ้าง ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่” เหยาจินฮวากล่าวตำหนิ
คิ้วเข้มของหลินเฟิงเลิกขึ้น “ข้าบอกแล้วไง เขามิใช่บิดาข้า ข้าไม่มีพ่อเช่นนี้ เจ้าก็ช่วยตัดความนึกคิดที่จะรับเขาเป็นพ่อออกไปจะเป็นการดีที่สุด มิเช่นนั้น เจ้าเชิญไปตามทางของเจ้า ข้าก็จะเดินไปตามทางของข้า”
ผู้คุมประตูบ้านยังไม่ทันจูงม้าออกมา กลับปรากฏนางเฝิงเดินออกมาก่อน
เหยาจินฮวารีบเปลี่ยนสีหน้าทันทีทันใด และเอ่ยเชิงประจบประแจง “ฮูหยิน ท่าน…กลับก่อนเถอะเจ้าค่ะ! ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาเอง เดี๋ยวเกลี้ยกล่อมเขา…”
หลินเฟิงหันหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์ เหยาจินฮวาจึงกระตุกแขนเสื้อของเขาอย่างออกแรง พลางเอ่ยด้วยเสียกระซิบกระซาบ “เจ้าทำเช่นนี้มันไม่ค่อยมีมรรยาทนะ”
นางเฝิงยิ้มขมขื่น “ก็ดีเหมือนกัน พวกเจ้าพูดคุยกันดีๆ ระหว่างสามีภรรยาไม่มีอะไรที่ไม่สามารถปรึกษาหารือกันได้หรอก”
“ใช่ ใช่เจ้าค่ะ ปรึกษาหารือกันดีๆ พวกเราจะปรึกษาหารือกันให้ดีๆ เลยเจ้าค่ะ” รอยยิ้มของเหยาจินฮวาดูประจบสอพลออย่างมาก แล้วยังจงใจทำท่าทางสนิทสนมด้วยการคลอเคลียหลินเฟิง
หลินเฟิงเกือบชอกช้ำภายในด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ว่าได้ สตรีผู้นี้ช่างพลิกหน้าได้รวดเร็วเสียยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือเสียอีก ช่างเกินเยียวยาแล้วจริงๆ
ทันทีที่นางเฝิงเดินจากไป หลินเฟิงก็เริ่มดุดันใส่ “ข้าถามหน่อยเถอะ เหตุใดเจ้าถึงได้ต่ำตมเยี่ยงนี้นะ? ทำไมต้องทำท่าทำทางแบบนี้กับคนเขาได้ นางเป็นแม่แท้ๆ ของเจ้าหรือเป็นผู้ให้เงินทองเจ้าหรือไร”
“เอ้! ที่เจ้าพูดมันก็ถูกจริงๆ นั่นละ นางก็คือผู้ให้เงินทองของพวกเรามิใช่หรือ หลินเฟิง ข้าว่าเจ้าเป็นทหารจนโง่เขลาไปแล้วใช่หรือไม่ มีบิดาที่ฐานะสูงส่งและมากด้วยอำนาจเช่นนี้ เจ้ากลับไม่ยอมรับ ต้องการตั้งตนเสมือนศัตรูที่เคียดแค้นต่อกันไปได้ เจ้าก็ไม่คิดเสียบ้างว่า เมื่อมีท่านพ่อผู้นี้แล้ว อนาคตในหน้าที่การงานของเจ้าภายภาคหน้าจะรุ่งโรจน์เพียงใด แล้วยังมีฮานเอ๋อร์ของพวกเราอีก ภายภาคหน้าก็จะได้เป็นหลานชายของท่านแม่ทัพใหญ่ การได้อยู่ในตระกูลแม่ทัพใหญ่ นั่นมันสง่างามน่าเกรงขามเพียงใด ต่อให้เจ้าไม่คิดเพื่อตัวเจ้าเอง ก็ต้องคิดถึงอนาคตภายภาคหน้าของฮานเอ๋อร์มิใช่หรือ นี่ข้าล้วนทำเพื่อเจ้าและฮานเอ๋อร์ทั้งนั้นมิใช่หรือ” เหยาจินฮวาเกลี้ยกล่อมเชิงหวังดี ทั้งที่แท้จริงแล้วมีเจนตนาแอบแฝง
“ใครเขาอยากจะพึ่งพาเขากันหรือ ข้าหลินเฟิงมีมือมีเท้าเป็นของตนเอง ตัวข้าสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ เส้นทางในหน้าที่การงานของข้าก็สามารถไขว่คว้าด้วยตนเองได้เช่นกัน ต่อให้ไม่มีบิดาผู้นี้ ข้าหลินเฟิงก็ยังตั้งตัวขึ้นมาได้เช่นกัน” หลินเฟิงกล่าวด้วยความโกรธ
เหยาจินฮวาชำเลืองมองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยัน “โฮะๆๆ… ดูความอดทนของเจ้าเข้าสิ พอได้แล้วกระมัง! อย่างเจ้าที่เป็นแค่เจ้าหน้าที่ทางการหลวงชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง ต้องอาศัยความพยายามกี่ปีถึงจะสามารถไปถึงตำแหน่งของท่านพ่อเจ้าได้ ดีไม่ดีอาจไปไม่ถึงด้วยซ้ำ!”
“เจ้าหน้าที่ทางการหลวงชั้นผู้น้อยแล้วอย่างไรหรือ เจ้าเห็นคุณค่าในตัวข้า ข้าก็ไม่ได้รั้งเจ้าไว้เสียหน่อย” หลินเฟิงกรอกตามองบนอย่างไม่สบอารมณ์
เหยาจินฮวาเผยสีหน้าบึ่งตึง แล้วกล่าวด้วยเสียงดัง “หลินเฟิง เจ้ายังไม่จบใช่หรือไม่ ตั้งแต่เราเจอหน้ากัน เอะอะเจ้าก็ไล่ข้าไป เจ้าบอกมานะ เจ้ามีคนที่ถูกตาต้องใจเข้าแล้วใช่หรือไม่ จึงจงใจอาศัยเหตุผลนี้เพื่อจะได้หย่าร้างกับข้าอย่างง่ายดาย?”
ผู้คุมประตูบ้านจูงม้าออกมา เห็นพี่ชายของนายหญิงสะใภ้ร้องกับถูกสตรีผู้นี้ชี้นิ้วใส่พลางกรนด่าทอ ภายในใจอดไม่ไดที่จะเกิดความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ เล็กน้อย จึงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านขอรับ นี่ม้าของท่านขอรับ”
หลินเฟิงรับเชือกมาไว้ แล้วจูงม้าเดินจากไป
เหยาจินฮวาเร่งรีบตามไปติดๆ “เอ้…ข้าถามเจ้าน่ะ เจ้าบอกข้ามาให้กระจ่างแจ้งเดี๋ยวนี้นะ”