ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 293-2 หงุดหงิดใจ
ทันทีที่หลี่หมิงเจ๋อเดินจากไป หลี่หมิงอวินก็กำหมัดทุบลงไปบริเวณเดิมอีกครั้ง “พ่อหนุ่มน้อย มีความสามารถไม่ธรรมดาเลยนี่! ได้ขึ้นเป็นถึงขุนนางทูตจนได้ กลับมาครานี้ คาดว่าตำแหน่งขุนนางซื่อหลางแห่งหงหลู[1]คงไม่หนีเจ้าไปไหนเป็นแน่”
เฉินจื่ออวี้กุมหัวไหล่ด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง “พี่ใหญ่ ท่านก็ช่างรุนแรงเกินไปแล้ว นับวันยิ่งเหมือนไอ้เด็กหนุ่มหนิงซิ่งนั่นเข้าไปใหญ่แล้ว”
“ไหนว่ามาสิ บอกเล่าสิ่งที่พบเห็นและได้ยินมาที่เกาลี่ให้ข้าฟังหน่อย” หลี่หมิงอวินเชิญชวนให้เขานั่งลง
“เออนี่ ท่านไม่รู้อะไร เดิมทีข้าคิดว่าการไปครั้งนี้เป็นหน้าที่ต้องไปลำบากตรากตรำ คาดไม่ถึงว่าดันเป็นหน้าที่ที่สุขสบายเสียยิ่งอะไรดี! ทุกวันที่ข้าอยู่เกาลี่ หากมิใช่ได้กินดื่มอย่างดี ก็ได้เที่ยวเล่นสบายใจ สำราญใจเกินบรรยาย…” เฉินจื่ออวี้เริ่มคุยโวโอ้อวดอย่างภาคภูมิใจ
ในเรือนเวยอวี่ เผยจื่อชิ่งและหลินหลันกำลังหยอกเย้าเด็กทารกที่เพิ่งกินอิ่มแล้วกำลังนอนอยู่ในเปลไกว
“นี่! เจ้าดูเขาสิ รู้จักพ่นบ้วนฟองนมกับเขาด้วย! ช่างน่าเอ็นดูเกินไปแล้ว” เผยจื่อชิ่งมองดูเด็กทารกที่ผิวพรรณอ่อนนุ่ม รู้สึกถูกอกถูกใจเสียยิ่งอะไรดี หันกลับไปพูดคุยกับติงหลั้วเหยียนที่นอนอยู่บนเตียง “หลั้วเหยียน เด็กคนนี้ช่างเหมือนเจ้าเหลือเกิน ดูดวงตานี้สิ แล้วก็คิ้วนี่ เสมือนถอดแบบเจ้าออกมาเลย”
ติงหลั้วเหยียนเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นมารดา แม้ว่าสภาพทางสติและอารมณ์ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เสียทีเดียว แต่คนทั้งคนก็ฉายแววแห่งความเป็นมารดาออกมาให้เห็น ยิ่งดูอ่อนโยนและสงบนิ่งยิ่งขึ้น นางอดเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยไม่ได้ “ข้ายังหวังให้บุตรชายหน้าตาเหมือนท่านพ่อของเขาด้วยซ้ำ”
เผยจื่อชิ่งกล่าวเชิงไม่เห็นด้วย “ทำไมหรือ สตรีอย่างพวกเราอุ้มท้องอย่างทุกข์ยากมาเกือบสิบเดือน คลอดออกมาแล้วยังไม่เหมือนตนเองอีก เช่นนั้นก็ขาดทุนแย่สิ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้ารีบๆ ให้กำเนิดสักคนที่เหมือนเจ้าเสียสิ”
เผยจื่อชิงหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที นางชำเลืองมองหลินหลัน “ข้าว่า เป็นเจ้าต่างหากที่ควรรีบมีสักคนได้แล้ว พวกเจ้าแต่งงานกันมาเกือบสามปีแล้วแท้ๆ”
หลินหลันเม้มริมฝีปาก “ข้าไม่รีบร้อนเสียหน่อย ข้ามีหลานชายแล้วด้วย! เจ้าต่างหาก พวกเจ้าตระกูลเฉินไม่มีบุตรหลานมาเพิ่มเติมนานมากแล้ว ท่านผู้อาวุโสตระกูลเฉินคงตั้งหน้าตั้งตารออย่างใจจดจ่อแล้วล่ะ!”
เผยจื่อชิ่งกล่าวสวนทันควัน “ข้าว่าเป็นเจ้าเองต่างหากที่คิดเป็นตุเป็นตะ ท่านผู้อาวุโสยังมิได้พูดอันใดสักหน่อย ไยเจ้าต้องมากังวลใจไปด้วย”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยร้อยยิ้ม “พวกเจ้าทั้งหมดนั่นล่ะ รีบๆ มีบุตรกันได้แล้ว! ลูกๆ ของพวกเราจะได้มีเพื่อนเล่นด้วยมิใช่หรือ”
หลินหลันกล่าวเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ “ตั้งชื่อเรียบร้อยแล้วหรือ”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ใช่แล้ว! ยึดตามลำดับวงศ์ตระกูล อักษรรุ่นถัดไปคือเฉิง หมิงเจ๋อเลยร่างชื่อเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้วจำนวนสองสามชื่อ เมื่อคืนเลยเลือกกันว่า ให้ชื่อหลี่เฉิงเซวียน”
เผยจื่อชิ่งกล่าว “ชื่อนี้ไพเราะดี เฉิงเซวียน เซวียนเอ๋อร์ เสี่ยวเซวียนเอ๋อร์” เผยจื่อชิ่งเอ่ยขณะหันไปหยอกเย้าเด็กน้อย เด็กน้อยหดคอ และหาวปากกลม พอใช้แรงเข้าหน่อย ดวงหน้าน้อยๆ ก็แดงระเรื่อขึ้นมา ท่าทางเด็กน้อยช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
หยินหลิ่วขึ้นมาบนเรือน รายงานว่าแม่ทัพหนิงมาถึงแล้วเช่นกัน คุณชายใหญ่จัดโต๊ะเลี้ยงฉลองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเชิญทุกคนไปดื่มสุราร่วมกัน
เผยจื่อชิ่งขมวดคิ้ว “เขายังจะกินอีกหรือ ขืนกินขนาดนี้คงได้กลายเป็นคนอ้วนพอดี”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อะไรกัน จื่ออวี้ของเจ้าอ้วนขึ้นแล้วหรือ เขาภาคภูมิใจในตนเองถึงขั้นกล่าวว่าเป็นที่สองในเมืองหลวงเชียวนะ!”
เผยจื่อชิ่งยิ้มเจื่อน “เจ้าก็ช่างไปฟังเขาคุยโว หยินหลิ่ว เจ้าช่วยไปบอกกล่าวแทนข้าทีว่าให้เขาอย่าดื่มมากเกินไป”
หลินหลันคว้ามือของเผยจื่อชิ่งมาจับไว้ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าก็อย่าได้กังวลใจไปเพียงนี้เลย ไว้กลับไปเจ้าค่อยให้เขาวิ่งตามรถม้ากลับจวน ก็ถือว่าเป็นการลดน้ำหนักไปในตัวก็สิ้นเรื่อง? ไปๆ พวกเราไปหาอะไรกินกันหน่อยเถอะ กินกันไปคุยกันไป”
ติงหลั้วเหยียนหยอกล้อ “พวกเจ้าต้องการกินของอร่อยๆ ก็รีบไปเร็วเข้า อย่ามัวพูดยั่วข้าให้หิวไปด้วยอยู่ตรงนี้ พวกเจ้านี่นิสัยเสียจริงๆ เชียว”
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน “พี่สะใภ้อย่าใจร้อนไปเลยเจ้าค่ะ ไว้ท่านครบเดือนแล้ว อยากกินอะไรอร่อยๆ ก็ได้กินแน่นอนเจ้าค่ะ” หลินหลันจูงมือเผยจื่อชิ่งลงเรือนขณะกล่าว
ทั้งสองคนเพิ่งลงจากเรือนชั้นบน ยังไม่ทันพ้นจากเรือนเวยอวี่ ป้าจางก็มารายงานว่ามีคนมาขอพบนายหญิงสะใภ้รองที่ด้านนอกประตู กล่าวว่าเป็นผู้ดูแลจวนของท่านแม่ทัพ
หลินหลันเลิกคิ้ว “คนของจวนแม่ทัพมาทำอันใดหรือ ข้าไม่ขอออกไปเจอ”
ป้าจางกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “คนผู้นั้นกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเจ้าค่ะ ขอให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายพบเจอเขาสักครั้งเจ้าค่ะ”
เผยจื่อชิ่งเอ่ยถามเสียงกระซิบ “เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือ”
หลินหลันรู้ดีว่าเผยจื่อชิ่งถามถึงคำพูดที่ตาเฒ่านั่นป่าวประกาศไปทั่วเหล่านั้น ภายในใจยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ไม่จริง ข้ามิได้ชะตาที่ชีวิตดีเพียงนั้นเสียหน่อย ท่านพ่อข้าตายไปตั้งนานแล้ว”
เผยจื่อชิ่งเห็นท่าทีหงุดหงิดใจของนางเช่นนั่น ก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้คงเป็นความจริงแน่นอน ตามจริงนางคิดจะมาถามไถ่หลินหลันตั้งนานแล้ว ในเมื่อด้านนอกพากันแพร่งพรายต่อๆ กันเสียขนาดนั้น มีการพูดถึงกันต่างๆ นานา มีทั้งอิจฉา มีทั้งพูดให้ร้าย ที่นางเป็นกังวลมากที่สุดคือเฝิงฮูหยิน เฝิงฮูหยินและหลินหลันเป็นสหายที่ดีต่อกันเสมอมา คราวนี้ดันกลายเป็นแม่เลี้ยงของหลินหลันไปเสียแล้ว แล้วทั้งสองคนจะคบค้าสมาคมกันได้อย่างไรหรือ นั่นมันช่างเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเห็นๆ! แม้ว่าในใจจะใคร่รู้อย่างยิ่ง ทว่าก็เกรงใจเกินกว่าจะมาถามไถ่ ในเมื่อแต่ละครอบครัวล้วนมีความนึกคิดเป็นของตน
“เจ้าไปบอกเขาแล้วกันว่า วันนี้ข้าไม่ว่างจึงไม่ขอพบเจอ” หลินหลันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นคล้องแขนเผยจื่อชิ่งเดินไปยังเรือนหลั้วเซี๋ยจาย
ไม่นานนักป้าจางก็กลับมารายงานอีกครั้ง กล่าวว่าคนผู้นั้นไปแล้ว ทว่ามีคำพูดฝากให้มาบอกนายหญิงสะใภ้รอง โดยให้กล่าวว่าครอบครัวป้าใหญ่ตระกูลหลินถูกท่านแม่ทัพส่งกลับบ้านเกินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลินหลันไม่พูดจาใดๆ ด้วยความหงุดหงิด ป้าใหญ่จะไปหรือไม่ไปมันเกี่ยวอะไรกับนาง ทำไม่ต้องมาบอกกล่าวนางด้วย อ้อ เขาคิดว่าการที่ไล่ป้าใหญ่กลับไปแล้วก็ถือว่าเป็นการขจัดปัญหาแล้วหรือ ตาเฒ่านี่ไม่รู้จักแก่นแท้ของปัญหาเรื่องจริงๆ สินะ ป้าใหญ่น่าเคียดแค้นก็จริง แต่ตัวเขาเองต่างหากที่ชวนให้คนรู้สึกเคียดแค้นมากที่สุด จริงๆ เลย จะให้นางได้อยู่อย่างสงบสุขสักวันสองวันไม่ได้เลยหรือ
เผยจื่อชิ่งเห็นนางไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก จึงเอ่ยถามเสียกระซิบ “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
หลินหลันเม้มริมฝีปาก “ไม่เป็นไร ป้าจาง เจ้าออกไปเถอะ! วันหลังเรื่องของจวนแม่ทัพมิจำเป็นต้องมาบอกกล่าวข้าแล้ว คนของจวนแม่ทัพ นอกจากซานเอ๋อร์ ข้าไม่พบผู้อื่นใดทั้งนั้น”
ป้าจางขานรับแล้วถอยออกไป
เผยจื่อชิ่งนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แต่ก็ยังไม่อาจอดกลั้นได้จึงเอ่ยถาม “แล้วเจ้าก็ไม่แยแสเฝิงฮูหยินด้วยน่ะหรือ”
หลินหลันถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม “จื่อชิ่ง ตั้งแต่ข้าเริ่มรู้เรื่องรู้ราว ข้าก็คิดว่าท่านพ่อข้าตายไปแล้ว ท่านแม่ข้าเพื่อเลี้ยงดูข้าและพี่ชายให้เติบโหญ่ ต้องทนทุกข์ยากลำบากมาไม่น้อย ยามนี้จู่ๆ ดันมีพ่อคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา แล้วยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งราชสำนัก แล้วยังแต่งภรรยาใหม่ พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรชายแล้วอีกด้วย ลองเป็นเจ้า เจ้าจะยอมรับได้หรือไม่”
เผยจื่อชิ่งไม่รู้จะพูดอะไรดี นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ยากเกินรับได้อยู่เล็กน้อย ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากที่สุดคือสหายที่ดีกับตนเองดันเป็นมารดาเลี้ยงของตนเองนี่สิ
“ท่านพ่อเจ้าอาจมีปัญหาความยากลำบากอันใดหรือไม่” เผยจื่อชิ่งโน้มน้าว
หลินหลันสบถฮึอย่างเย็นชา “ไม่ว่าเขามีปัญหายากลำบากอันใด ข้าก็ไม่อาจให้อภัยเขาได้ทั้งนั้น”
ท่าทีของหลินหลันเด็ดขาดเพียงนี้ เผยจื่อชิ่งเชื่อว่าหลินหลันต้องมีเหตุผลของนางเป็นแน่ หลินหลันไม่ใช่คนไร้เหตุผล ในทางกลับกัน นางเป็นคนที่จิตใจดี ชาญฉลาด และมีเหตุมีผลอย่างยิ่งผู้หนึ่ง การโกรธเคืองจนกลายเป็นเช่นนี้ ส่วนใหญ่คงเป็นเพราะบิดานางทำเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่งแล้วเป็นแน่ เพียงแต่คนภายนอกเหล่านั้นไม่เข้าใจด้วย จึงคาดเดาไปต่างๆ นานา และไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ท่านแม่ทัพหลินในสายตาและจิตใจของทุกคนล้วนเป็นวีรบุรุษผู้สูงศักดิ์ คนภายนอกจึงเอาแต่สนับสนุนเขาและหันมาตำหนิหลินหลัน
“หลินหลัน พวกเราก็ถือว่ารู้ใจกันมากทีเดียว ดังนั้น ข้าขอพูดกับเจ้าจากใจจริงสักสองสามประโยคแล้วกัน เรื่องนี้จะปล่อยให้ยืดเยื้อเช่นนี้มิได้ ถึงอย่างไรมันก็เป็นผลไม่ดีต่อตัวเจ้า เจ้าควรคิดวิธีจัดการปัญหานี้โดยเร็วที่สุดถึงจะดี มิเช่นนั้นก็ให้ท่านแม่ทัพหลินออกโรงเป็นฝ่ายอธิบายให้กระจ่างแจ้งเสีย เพื่อขจัดความสงสัยของผู้คน คำพูดที่เขาปล่อยออกไป ให้เขาหาวิธีกู้คืนกลับมาด้วยตนเอง” เผยจื่อชิ่งกล่าว
หลินหลันกระตุกยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มขมขื่น “อย่างเขาน่ะไม่มีทางออกโรงอธิบายหรอก ต่อให้อธิบายก็เป็นการช่วยพูดเพื่อตัวเองเสียมากกว่า มีหรือเขาจะนำความผิดพลาดของตนป่าวประกาศทั่วทั้งหล้า?”
เอ่อ! นี่มันก็จริงอยู่ เผยจื่อชิ่งนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางรู้สึกได้รับความไม่ยุติธรรมแทนหลินหลันอย่างมาก กว่าจะได้ความสงบสุขคืนมาไม่ง่ายเลย ดันมีคลื่นปัญหาใหม่เกิดขึ้นอีกระลอก หลินหลันจึงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียที
“ช่างเถอะ ไม่เอ่ยถึงเขาแล้ว จะพาลเสียอารมณ์ไปเปล่าๆ หยินหลิ่ว ไปดูหน่อยสิว่ากุ้ยซ่าวเตรียมอาหารไว้พร้อมแล้วหรือไม่” หลินหลันหันไปสั่งการหยินหลิ่วหลังสะบัดศีรษะขับไล่ความหงุดหงิดออกไปจากสมอง
เผยจื่อชิ่งพยายามหาหัวข้อสนทนามาสร้างบรรยากาศรื่นเริงด้วยเช่นกัน “จริงสิ ช่วงก่อนหน้านี้ข้าได้พบเจออู่หยางด้วย”
“เป็นอย่างไรบ้างหรือ ตอนนี้นางยังสบายดีหรือไม่” หลินหลันกล่าวด้วยความใส่ใจเช่นกัน ตระกูลฉินแม้จะน่ารังเกียจ แต่นางยังมีความรู้สึกดีๆ ต่ออู่หยางอยู่มากทีเดียว
เผยจื่อชิ่งเผยสีหน้าหดหู่และนึกตำหนิตนเอง อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะหาหัวข้อสนทนามาสร้างบรรยากาศรื่นเริง ปรากฏว่าดันพูดเรื่องไม่ควรพูดขึ้นมาอีกเสียได้
“นางไม่ค่อยสู้ดีเท่าใดนัก ผอมจนดูไม่ได้ ข้าได้ยินว่าองค์ชายเจิ้นหนานอะไรนั่นก็ไม่ใช่คนดีอะไร ในบ้านมีอนุภรรยาไม่รู้กี่สิบคน แล้วอู่หยางที่ทระนงในศักดิ์ศรีเพียงนั้น จะสสุขกายสบายใจได้หรือ”
[1]ขุนนางซื่อหลางแห่งหงหลู (鸿胪寺卿) ยศตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการ ทำหน้าที่ต้อนรับแขกที่เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นหัวเมืองตลอดจนชนเผ่าต่างๆ และคณะทูต เนื่องด้วยราชสำนักมีพิธีการที่เคร่งครัด ดังนั้นเมื่อเจ้าเมืองประเทศราชหรือทูตจากแว่นแคว้นภายนอกเดินทางเข้ามาในราชสำนักเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ขุนนางในหน่วยนี้ต้องเป็นผู้แนะนำพิธีการขั้นตอนของราชสำนักให้ทราบเพื่อความถูกต้องในการปฏิบัติ