ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 294 พูดปดมดเท็จ
หลี่หมิงเจ๋อชนสุราคารวะรอบวงหนึ่งรอบแล้วขอปลีกตัวออกมาก่อนเพื่อไปดูแลหลั้วเหยียนและบุตรชาย
เฉินจื่ออวี้บ่นอุบอิบ “พี่ใหญ่ท่านผู้นี้ช่างเป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่ายจริงๆ แตกต่างจากแม่เลี้ยงท่านสิ้นเชิง และไม่เหมือนท่านพ่อของท่านด้วยเช่นกัน หาได้ยาก ช่างหาได้ยากนัก!”
หลี่หมิงอวินนำจอกสุราเต็มเปี่ยมกระแทกลงเบื้องหน้าเขา “ดื่มสุราเถอะเจ้าน่ะ ไยถึงพูดไร้สาระมากมายเพียงนี้”
หนิงซิ่งชูจอกสุราขึ้น “มาๆๆ ดื่ม พวกเราพี่น้องต่อให้มีเวลาก็ไม่ได้พบปะสังสรรค์กัน จะได้พบปะสังสรรค์กันครั้งต่อไปเมื่อใดก็ไม่รู้”
เฉินจื่ออวี้มองค้อนใส่เขา “พูดอันใดน่ะ พวกเราทั้งสามล้วนอยู่ในเมืองหลวง จะพบปะสังสรรค์กันมันยากเย็นนักหรือ แค่บอกกล่าวกันมา ไม่ว่าอยู่แห่งหนใด ข้าพร้อมมาถึงทุกเมื่อ”
หลี่หมิงอวินคาดเดา “หนิงซิ่ง เจ้าต้องออกจากเมืองหลวงใช่หรือไม่”
หนิงซิ่งดื่มสุราครึ่งจอกหมดในคราเดียว เผยสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก หลังเงียบไปชั่วขณะหนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “สถานการณ์หลักๆ ข้ายังไม่อาจบอกได้ในตอนนี้ เพียงแต่ได้รับคำสั่งลับมาแล้ว พี่ใหญ่ พี่รอง ปีนี้อาจไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก พวกท่านเองก็ต้องระมัดระวังตัวเอาไว้หน่อยด้วย”
เฉินจื่ออวี้หุบยิ้ม “นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือ พี่ชายเจ้าอย่างข้าเพิ่งกลับมาเมื่อวาน ไม่เห็นจะรู้เรื่องอันใดเลย! ในเมื่อหลวงเกิดอันใดขึ้นหรือ”
หลี่หมิงอวินชำเลืองตามาเขา “ข้าว่าสมองเจ้านี่หนักเอาการเลยทีเดียว ใต้เบื้องพระบาทฮ่องเต้ นอกจากเรื่องตัวปัญหานั่นแล้วยังจะเกิดอันใดขึ้นได้อีกหรือ”
เฉินจื่ออวี้กะพริบตาปริบๆ เหม่อลอยอยู่เนิ่นนานพอแล้ว แล้วจึงเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “ท่านหมายถึง…”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า สภาพอารมณ์รู้สึกถึงความหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ระยะนี้มักมีสัญญาณต่างๆ นานาแสดงให้เห็นว่า ฮ่องเต้ต้องการลงมือแล้ว เริ่มจากเรื่องของฉินเฉิงว่างเป็นอันดับแรก พยานบุคคลเสียชีวิตคาห้องขังอย่างไร้เหตุไร้ผล ฮ่องเต้อาศัยเหตุผลที่ว่าหลักฐานไม่เพียงพอจึงไม่ได้ไต่สวนเชิงลึก เพียงแต่เพิกถอนตำแหน่งงานของฉินเฉิงว่าง ให้เขาออกจากฝ่ายหน่วยงานทหาร และให้ครุ่นคิดพิจารณาถึงความผิดของตัวเองที่เคยกระทำ บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักเริ่มถกเถียง ทว่าฮ่องเต้ทำเป็นหูทวนลม แรกเริ่มเขายังคิดว่าพยานบุคคลถูกคนถูกตระกูลฉินส่งมาจัดการ แต่แล้วประโยคเดียวของจิ้งปั๋วโหว์ก็คลายความสงสัยของเขา จิ้งปั๋วโหว์กล่าวว่า “ทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าดูพยานบุคคลคือกองทัพรักษาพระองค์ฮ่องเต้ ต่อให้ตระกูลฉินมีพวกสอดแนมคอยช่วยเหลือ ก็ไม่มีปัญญาถึงขั้นนี้…” ด้วยความหมายในคำบอกกล่าว นี่เป็นการกล่าวได้ว่าฮ่องเต้เป็นผู้ปลิดชีพเอง เรื่องที่สอง ก่อนหน้าที่ฉินอู่หยางจะแต่งงานกับองค์ชายเจิ้นหนาน ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งสตรีอีกท่านหนึ่งแห่งตระกูลฉินเป็นพระสนมชั้นสูงและให้ความโปรดปรานอย่างยิ่ง เรื่องที่สาม ก็คือเรื่องเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แม่ทัพฉู่ซึ่งเดิมทีดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาหนิงซิ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้คุมและจัดการในพื้นที่มณฑลกวางตงและกวางซี แม่ทัพฉู่สนับสนุนองค์ชายสี่มาโดยตลอด ฮ่องเต้ส่งเขาล่วงหน้าไปสองเมืองกวางตงและกวางซี มันมีนัยยะอันใดหรือ ลองใช้ความคิดไตร่ตรองสักหน่อยก็จะเข้าใจได้ นั่นเพื่อควบคุมอำนาจของอ๋องเจิ้นหนาน อีกประการก็คือไท่โฮ่วป่วยจนเข้าสู่อาการสาหัส สำนักหมอหลวงจนปัญญา จึงเห็นได้ว่าเหลือเวลาอีกไม่นานวันแล้ว
เฉินจื่ออวี้พยักหน้าอย่างพอเข้าใจ “เช่นนั้นคงต้องระมัดระวังเข้าไว้จริงๆ” อย่างอื่นไม่กลัว กลัวก็แต่ตระกูลฉินจะก่อกบฏ ต้องทนทุกข์ทรมานโดยไม่มีเหตุผล
เดิมทีเป็นการสังสรรค์อย่างสุขสำราญใจ ด้วยหัวข้อสนทนาอันตึงเครียดนี้ ทั้งสามคนต่างไม่มีกะจิตกะใจพูดหยอกล้อกันเสียแล้ว เฉินจื่ออวี้พาเผยจื่อชิ่งมาด้วย จึงไม่สะดวกปล่อยให้คนเขารอคอยนานเกินไป การพบปะสังสรรค์จึงสิ้นสุดลงแต่หัววัน
หลินหลันเห็นหมิงอวินกลับมาแล้ว แล้วยังบ่นโอดครวญเบาๆ “พวกเจ้าพี่น้องนานๆ จะได้เจอะเจอกันที เหตุใดถึงไม่อยู่พูดคุยกันในนานหน่อย ข้ากับจื่อชิ่งยังพูดคุยกันไม่พอเลย พวกเจ้าก็เลิกราเสียแล้ว”
หลี่หมิงอวินหลุดหัวเราะเบาๆ พลางเปลี่ยนชุด “เจ้าก็ไม่เห็นใจคนเขาสามีภรรยาเพิ่งพบเจอกันหลังแยกจากไปเนิ่นนาน”
หลินหลันรับเสื้อผ้าที่เขาถอดมาไว้แล้วส่งให้หยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไปก็ใช่ จื่อชิ่งโชคร้ายมากพอตัวเช่นกัน เพิ่งแต่งงานแท้ๆ จื่ออวี้ก็ต้องออกไปทำหน้าที่ทูตถึงเกาลี่ พอจากไปก็กินเวลาเป็นปี คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวเกลียดที่สุดก็คือการแยกจากกัน แต่อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาว่าการไปเป็นทูตครั้งนี้ของจื่ออวี้กลับสุขสบายไม่น้อยทีเดียว”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จื่อชิ่งบ่นกับเจ้าแล้วหรือ”
“ก็ไม่ถึงขั้นบ่นหรอก แค่เอ่ยว่าจื่ออวี้อ้วนขึ้นไม่น้อยเชียว หากลำบากตรากตรำ มีหรือจะมีเนื้อมีหนังเพิ่มขึ้น? เจ้าดูตัวเจ้าสิ ออกไปในฐานะทูตเช่นเดียวกัน พอจ้าไปอยู่แถวตอนเหนือ น้ำหนักก็หายไปอย่างน้อยๆ สี่ห้ากิโลเห็นจะได้ นี่อย่างไรความแตกต่าง” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นั่นจะเทียบกันได้ที่ไหน คนเขาชะตาชีวิตดี ชะตาชีวิตของข้ามันต้องฝ่าฟัน” หลี่หมิงอวินกล่าวเชิงดูหมิ่นตนเอง
“ข้าว่านะ เป็นขุนนางลำบากเพียงนี้ สู้ไม่เป็นจะดีเสียกว่าอีก! ผลกำไรของทางด้านซานซีนั่นในปีนี้ก็มากถึงหนึ่งแสนหกหมื่นตำลึงเงิน ผนวกกับค่าเช่าห้องแถวสิบแปดห้อง หกแสนสองหมื่นตำลึงเงิน แล้วยังมีผลกำไรที่ได้จากแปลงที่ดินไร่สวนอีก ชีวิตพวกเราก็สุขสบายเสียยิ่งอะไรดีแล้ว” หลินหลันจับหลี่หมิงอวินกดลงนั่งบนม้านั่ง ช่วยเขาปล่อยมวยผม จากนั้นหวีผมให้อย่างเบามือพลางเอื้อนเอ่ย เพราะเหตุการณ์ของตระกูลฉินในปีนี้ หุยชุนถางของนางจึงเปิดทำการได้ไม่กี่วัน มิเช่นนั้น ผลกำไรของหุยชุนถางก็เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาเลยเช่นกัน
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วขณะกำลังนึกถึงคำพูดของหนิงซิ่ง
หลินหลันเห็นเขาไม่หือไม่อือจึงกล่าวอย่างหดหู่อีกครั้ง “แต่ข้ารู้ดีว่าบรรดาบุรุษอย่างพวกเจ้าชื่นชอบการประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง นี่คือการแสดงออกถึงความสามารถของพวกเจ้า และเป็นการแสดงถึงคุณค่าในตนเอง ข้ามิได้ต้องการขัดขวางเจ้า เพียงแต่หวังว่าเจ้าจะไม่เหน็ดเหนื่อยเพียงนั้น ถึงจะทำเพื่อผู้อื่น แต่ก็จะปล่อยปละละเลยตนเองไปมิได้…”
หลี่หมิงอวินยังคงเหม่อลอย หลินหลันโน้มตัวลงไปชำเลืองมองเขา แล้วยื่นมือไปโบกไปมาเบื้องหน้าเขา “เฮ้อ! ข้าพูดคุยกับเจ้าอยู่ เจ้าเหม่อลอยอันใดหรือ”
หลี่หมิงอวินดึงสติกลับมา และกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “อ้อ! ฟังอยู่ๆ!”
หลินหลันยื่นมือไปผลักเขาหนึ่งที และพึมพำด้วยความไม่พอใจ “ทำเป็นขอไปทีชัดๆ”
หลี่หมิงอวินจับมือของหลินหลัน ดึงนางมานั่งลงบนตักของตนเอง หลินหลันใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที กล่าวตำหนิ “ทำอะไรน่ะ หยินหลิ่วยังอยู่ทั้งคน!”
หลี่หมิงอวินมองดูบริเวณโดยรอบ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีที่ไหนกัน”
หลินหลันเงยหน้ามองดูรอบๆ ปรากฏว่าหยินหลิ่วไม่อยู่แล้วจริงๆ ด้วย สาวน้อยคนนี้ช่างรู้งานเสียเหลือเกิน เมื่อใดก็ตามที่หมิงอวินอยู่ พวกนางก็จะแอบออกไป ตราบใดที่ไม่ส่งเสียงเรียกก็จะไม่เข้ามา
“หลันเอ๋อร์…” หลี่หมิงอวินโอบกอดนาง และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พรุ่งนี้เจ้าไปบ้านท่านลุงทีสิ! ให้พวกเขาอย่ามัวตั้งหน้าตั้งตาจะค้าขายในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ให้รีบปิดทำการร้านโดยเร็วหน่อย”
หลินหลันกล่าวสวนทันควัน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
หลี่หมิงอวินมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด “ตอนนี้ยังไม่อาจมั่นใจได้แน่ชัด ก็ถือว่ากันไว้ดีกว่าแก้แล้วกัน!”
ค่ำคืนนี้หลินเฟิงรีบกลับมายังเมืองหลวง เขาเกรงว่าตนไม่อยู่ หลายวันนี้เหยาจินฮวาจะก่อกวนไม่เลิกรา ดังนั้นเมื่อจัดการธุระเสร็จสิ้นจึงกลับมาหาเหยาจินฮวาทันที เหยาจินฮวากลับไม่อยู่ในโรงเตี๊ยม เด็กบริการในร้านเอ่ยว่าเหยาจินฮวาออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ยังไม่เห็นกลับมา
นี่ก็มืดค่ำแล้ว เหยาจินฮวายังจะไปไหนได้อีกหรือ หลินเฟิงนึกถึงจวนหลี่เป็นอันดับแรก บางทีจินฮวาอาจไปหาฮานเอ๋อร์ ดังนั้นจึงมายังจวนหลี่ หลังถามไถ่ผู้คุมประตู ผู้คุมประตูกล่าวว่าเมื่อหลายวันก่อนนางแวะเวียนมาตลอด มาดูคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์แล้วก็กลับไป วันนี้ไม่เห็นแวะมา
จินฮวาไม่คุ้ยเคยกับผู้คนและพื้นที่ในเมืองหลวง นอกจากจวนหลี่ก็มีเพียงไปจวนแม่ทัพ หลินเฟิงถึงกับหน้าบึ้งตึงทันที หากเหยาจินฮวาไปจวนแม่ทัพจริง เขาจะไม่ยอมให้อภัยนางเป็นแน่
หลินเฟิงกลับไปยังโรงเตี๊ยมอีกครั้ง ทว่าเหยาจินฮวายังคงไม่กลับมา หลินเฟิงจึงมุ่งไปยังจวนแม่ทัพ และรอคอยอยู่ด้านนอกประตูจวน ผลปรากฏว่าไม่นานนักก็เห็นเหยาจินฮวาเดินออกมาจากจวนแม่ทัพด้วยสีหน้าเบิกบานแล้วขึ้นรถม้าที่จวนแม่ทัพเตรียมไว้ให้นาง
หลินเฟิงกำหมัดแน่นด้วยความเดือดดาล เขากระโดดขึ้นลอบติดตามไป และปล่อยให้เหยาจินฮวาเดินกลับเข้าโรงเตี๊ยมล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งฝีก้าว
วันนี้เหยาจินฮวาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แม่โจวส่งโฉนดบ้านหนึ่งแผ่นมาให้แต่เช้าตรู่ แล้วยังมีเงินสามร้อยตำลึงเงินให้นางเอาไว้ตกแต่งบ้านด้วยตนเอง พอนางได้โฉนดมาก็รีบไปดูทันที บ้านหลังใหญ่โตสภาพใหม่เอี่ยม ทำเลพื้นที่ก็ดีงามเช่นกัน ลานบ้านกว้างขวาง ในบ้านสว่างโล่ง คานห้องสลักลวดลายงดงาม แล้วยังมีสวนดอกไม้ขนาดย่อมอีกหนึ่งสวน แม้ความโอ่อ่าเทียบไม่ได้กับจวนหลี่และจวนแม่ทัพ แต่เทียบกับบ้านทรุดโทรมที่พักอาศัยอยู่ก่อนหน้า มันต่างกันราวฟ้ากับดินเห็นๆ
เหยาจินฮวาถามไถ่คนที่อยู่ใกล้เคียงเกี่ยวกับราคาบ้านในแถวเดียวกันนี้อีกด้วย บ้านหลังใหญ่เพียงนี้ราคามากถึงสองแสนกว่าตำลึงเงิน สร้างความตระหนกตกใจให้นางอยู่พักใหญ่ สองแสนตำลึงเงิน นั่นมันเงินมากมายอย่างยิ่ง หากเอามากองรวมกันแทบจะกลายเป็นภูเขาขนาดย่อมก็ว่าได้! ด้วยราคาที่แพงขนาดนี้ทำให้เหยาจินฮวารู้สึกพึงพอใจต่อบ้านหลังใหม่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม จากนั้นนางก็เริ่มทำการตกแต่งบ้านเพิ่มเติม เดินวนเวียนอยู่ในตลาดพักหนึ่งก็พบว่าสามร้อยตำลึงเงินซื้อได้เพียงของใช้เครื่องเรือนต่างๆ ภายในบ้านอย่างธรรมดาทั่วไปได้ไม่เท่าไร อย่างดีหน่อย ก็พวกเครื่องเรือนซึ่งทำจากไม้หวางฮวาหลี และยังไม่พอให้ทำชุดโต๊ะเก้าอี้ด้วยซ้ำ นางจึงอดกล่าวตำหนิหลินหลันว่าตระหนี่ถี่เหนียวไม่ได้ บ้านก็อุตส่าห์ให้กันแล้ว จะเพิ่มเครื่องเรือนเข้ามาให้อีกหน่อยจะเป็นไรไปหรือ เดิมคิดจะไปขอเงินจากหลินหลันเพิ่มอีกหน่อย แต่เกรงว่าหลินหลันจะไปบอกกล่าวพี่ชายนาง จึงทำให้นางนึกถึงจวนแม่ทัพขึ้นมาได้ ถึงอย่างไรหลินเฟิงก็ไม่ไปมาหาสู่กับบิดาเขาอยู่แล้ว หลินเฟิงจึงไม่มีทางรับรู้ไปได้ คราวนี้นางเพียงแค่เอ่ยปาก พ่อสามีก็ให้เงินนางมาเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน แล้วยังกล่าวว่าหากนางไม่พอใช้ค่อยไปขอเพิ่ม เหยาจินฮวาตบอกที่เต็มไปด้วยตั๋วเงินสิบใบ ทั้งพึงพอใจทั้งดีอกดีใจ ตลอดชั่วชีวิตนี้ของนางล้วนไม่เคยเห็นตั๋วเงินที่ใหญ่เพียงนี้มาก่อน หนึ่งหมื่นตำลึงเงินเชียวนะ! หากเหมือนเมื่อก่อน ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อย ต่อให้เก็บไปทั้งชีวิตก็ไม่มีทางเก็บได้สักเท่าไร ยามนี้เพียงแค่เอ่ยปากก็ตกถึงมือแล้ว ตอนแรกยังคิดว่าแต่งกับคนยากจนโง่เขลา เป็นความหายนะแท้ๆ ใครจะรู้ว่าดันดีเพียงนี้
เหยาจินฮวาฮัมเพลงเบาๆ ขณะเดินกลับไปยังห้องหมายเลยห้า ทันทีที่ผลักประตู ก็เห็นหลินเฟิงนั่งอยู่ด้านใน เหยาจินฮวาตระหนกตกใจ อ้ำๆ อึ้งๆ ถาม “เจ้า…เหตุใดเจ้าถึงกลับมาวันนี้ล่ะ เจ้ากลับมาเมื่อใดหรือ”
สายตาหลินเฟิงฉายความเย็นชา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าไปไหนมาหรือ”
เหยาจินฮวาพยายามครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว นางยิ้มแห้งๆ ระหว่างปิดบานประตู จากนั้นค่อยๆ เดินเข้าไปเบื้องหน้าหลินเฟิง และช่วยรินน้ำชาให้เขา พลางจีบปากจีบคอพูดว่า “เจ้าจะแวะมาก็ไม่บอกข้าไว้แต่เนิ่นๆ มิเช่นนั้นข้าก็จะรอไปดูบ้านพร้อมกับเจ้า” เมื่อเอ่ยถึงบ้าน เหยาจินฮวาเผยท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “หลินเฟิงอ่า! ข้าจะบอกเจ้าให้ บ้านที่น้องสาวเจ้ามอบให้ไม่เลวเลยทีเดียว ลานบ้านกว้างขวาง แต่ละห้องก็ใหญ่โต ทั้งยังมีแสงอาทิตย์ทั่วถึง แล้วยังมีสวนดอกไม้ขนาดย่อมอีกด้วย! เพียงแต่ด้านในไม่มีเครื่องเรือน น้องสาวเจ้าให้เงินพวกเราไว้สามร้อยตำลึงเงิน ให้พวกเราไปเพิ่มเติมเครื่องเรือนด้วยตนเอง…”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ข้าถามว่าเจ้าไปไหนมา”
เหยาจินฮวากะพริบตาปริบๆ มองเขาอย่างใสซื่อ “เมื่อครู่ที่ข้าพูดเจ้ามิได้ฟังหรอกหรือ ข้าไปดูบ้านมา จากนั้นก็ไปดูเครื่องเรือน รีบๆ จัดวางให้เข้าที่เข้าทาง พวกเราจะได้เข้าอยู่อาศัยในเร็ววันมิใช่หรือ ต้องพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมทุกวันมันอะไรกัน”
หลินเฟิงจ้องมองนางด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าไปดูเครื่องเรือน ดูไปถึงจวนท่านแม่ทัพเลยหรือ หรือเจ้าต้องการจะขนเครื่องเรือนจากบ้านท่านแม่ทัพ?”
ในใจเหยาจินฮวาลนลานขึ้นมาทันใดทีทันใด เหตุใดหลินเฟิงถึงรับรู้ว่านางไปจวนแม่ทัพ? พ่อหนุ่มนี่คงไม่ได้กำลังหลอกนางอยู่กระมัง? เหยาจินฮวาแสดงสีหน้าใสซื่อยิ่งขึ้น “เจ้าพูดอะไรน่ะ ข้าจะไปจวนแม่ทัพทำไมกัน! ข้าจะไปขอเครื่องเรือนของจวนแม่ทัพได้อย่างไรกันล่ะ”
หลินเฟิงตบโต๊ะ แล้วลุกขึ้นยืนทันที “เหยาจินฮวา เจ้ายังจะพูดปดมดเท็จตีหน้าซื่ออีกหรือ ข้าเห็นกับตาว่าแม่หวังส่งเจ้าออกมาจากจวน เจ้ายังกล้าหลอกข้า? บอกมานะ เจ้าไปจวนแม่ทัพทำไม เงินที่น้องข้าให้ไว้มันน้อยเกินไปแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้ไปขอเงินที่จวนแม่ทัพอีก?”
เหยาจินฮวาร่นถอยสองฝีก้าวด้วยความตระหนกตกใจ นางแตะบริเวณหน้าอก พยายามทำให้สงบนิ่ง และกล่าวเสียงดังสู้ “เจ้า…เจ้าจะดุดันเพียงนี้ทำไมกัน เอะเอะก็โวยวายใส่ข้า ข้าเป็นเมียเจ้านะ มิใช่ข้าทาสใต้คำสั่งเจ้า”
หลินเฟิงชี้นิ้วไปทางนาง เดือดดาลจนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหน เขากัดฟันแน่น กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “ข้าเคยเตือนเจ้าไว้หลายครั้งแล้วแท้ๆ ว่าพวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับจวนท่านแม่ทัพ แต่เจ้าก็ยังไปอีก เจ้าไม่กลัวอับอายขายขี้หน้า แต่ข้าไม่ต้องการอับอายขายหน้า”