ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 296 อยากหย่าร้าง
สุราสามจอกลงสู่ท้อง ภายใต้การซักไซ้ไล่ความของโม่จื่อโหยว หลินเฟิงจึงระบายความกลัดกลุ้มในใจออกไป “หลินเฟิง ขอพูดประโยคบาดหูซึ่งเจ้าคงไม่ปลื้มใจที่จะได้ยินมันสักเท่าใด ทว่ามันเป็นความจริงอันใหญ่หลวง ข้าคิดว่าเรื่องนี้ จะโทษท่านพ่อเจ้ามิได้จริงๆ จะโทษคงต้องโทษโชคชะตาที่กลั่นแกล้ง เจ้าลองคิดดูนะ หากเป็นตัวเจ้าเอง ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เจ้าจะทำเช่นไรหรือ เจ้ากล่าวโทษที่ท่านพ่อเจ้าไม่ตามหาพวกเจ้า ทว่าใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาลเพียงนี้ เจ้าจะให้เขาไปตามหาพวกเจ้าจากแห่งหนใดหรือ เจ้ากล่าวโทษท่านพ่อเจ้าว่าไม่ควรแต่งงานมีภรรยาใหม่ แต่ท่านป้าใหญ่เจ้าบอกกล่าวเขาว่าพวกเจ้าตายไปตั้งนานแล้ว ท่านพ่อเจ้าได้เจอผู้ที่เหมาะสมจะแต่งงานด้วย ไม่ว่าเป็นผู้ใดหน้าไหน ล้วนกล่าวตำหนิท่านพ่อเจ้าไปไม่ได้ ในเมื่อบุรุษสูญเสียภรรยาไปแล้วนั่นก็คือพ่อม่าย การแต่งภรรยาหรือรับอนุภรรยาไม่ใช่เรื่องไร้คุณธรรม ใต้หล้านี้เจ้าเคยเห็นบุรุษคนไหนที่ภรรยาเสียชีวิตแล้วไม่แต่งงานใหม่บ้างหรือ เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อจะได้มีผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลหลินพวกเจ้ามิใช่หรือ” โม่จื่อโหยวกล่าวด้วยความจริงใจ
หลินเฟิงชะงักไป เขาครุ่นคิดตามคำพูดของโม่จื่อโหยวที่ฟังดูมีเหตุมีผล ทว่ายังคงรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนมารดาอยู่ดี
“กล่าวอย่างนี้ ก็เท่ากับเขาไม่ผิดเลยสักนิดหรือ” หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่อาจทำใจยอมรับได้
โม่จื่อโหย่วและหวังต้าไห่สบตากัน จากนั้นหวังต้าไห่จึงกล่าวขึ้น “จะบอกว่าท่านพ่อเจ้าไม่ผิดเลยสักนิดก็ไม่ได้เช่นกัน ทว่ายังไม่จัดเป็นความผิดถึงขั้นทำให้พวกเจ้าไม่อาจไปมาหาสู่กันได้ทั้งชีวิตจนแก่ตาย ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้ายืนหยัดฝั่งมารดาเป็นส่วนใหญ่ พวกเจ้ามองปัญหาจากจุดยืนของตนเอง ดังนั้นถึงได้โกรธเคืองเพียงนี้ ทว่าขืนพวกเจ้าทำเช่นนี้ต่อไป มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า มีแต่คนนอกจะตำหนิเจ้าและหลินหลันว่าอกกตัญญูแล้วหันไปเห็นใจท่านพ่อเจ้า”
“นั่นสิ! แข็งข้อจนเป็นปัญหาเช่นนี้ ไม่ได้เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น ในกองทัพท่านแม่ทัพหลินได้รับความเชื่อมั่น ความยำเกรง และเป็นผู้สูงศักดิ์อย่างยิ่ง คงต้องถูกผู้คนนินทาให้ร้ายลับหลังเป็นแน่ หลินหลันกับหลี่หมิงอวินยิ่งแล้วใหญ่ ชื่อเสียงของพวกเขาทั้งสองต่างเป็นที่รู้จักภายนอก ยิ่งจะได้รับความสนใจจากผู้คน หากมีคนหยิบยกเรื่องนี้ไปพูดพร่ำเพรื่อ คงส่งผลกระทบใหญ่โตต่อหมิงอวิน พวกเรายึดมั่นหลักกตัญญูเป็นอันดับแรก ทั่วทั้งใต้หล้าบิดามารดาคือผู้เป็นใหญ่ อีกทั้งแม่ทัพหลินก็ยอมก้มหัวให้เพียงนี้แล้ว ข้าว่านะ ยอมๆ รับไปก็สิ้นเรื่อง? เสนอเงื่อนไขขึ้นมาให้ท่านพ่อเจ้าไตร่ตรองด้วยตนเอง หากเข้ากับท่านพ่อเจ้าไม่ได้ อย่างมากในภายภาคหน้าก็ไปมาหาสู่กันให้น้อยหน่อยก็พอ” โม่จื่อโหยวกล่าวเสนอแนะ
“พวกท่านคิดว่าข้าควรรับเขาเป็นบิดาจริงๆ หรือ” หลินเฟิงรู้สึกคล้อยตามเล็กน้อย ตามจริงคำพูดเหล่านี้ น้องเขยก็เคยพูดกับเขาเช่นกัน เพียงแต่น้องเขยกล่าวอย่างค่อนข้างอ้อมค้อม เรื่องประเภทนี้ จะพูดสุ่มสี่สุ่มห้าคงไม่ได้ ดังนั้น ส่วนใหญ่เป็นข้อสรุปของการพูดคุยระหว่างเขาและน้องสาว น้องสาวใจแข็งกว่าเขาอย่างยิ่ง ตอนนี้ได้ฟังการวิเคราะห์แยกแยะของโม่จื่อโหยวและหวังต้าไห่ในฐานะคนนอก หลินเฟิงเริ่มสงสัยว่าตนเองดื้อรั้นเกินไปหรือไม่ ว่ากันตามจริง ตั้งแต่ตาเฒ่าป่าวประกาศไปทั่ว สายตาที่พี่ๆ น้องๆ ในค่ายทหารมองเขาก็แปรเปลี่ยนไป แต่ละคนล้วนนอบน้อมยำเกรงเขา ประจบประแจงเขา ทำให้เขารำคาญเสียยิ่งกว่าอะไรดี
โม่จื่อโหยวตบบ่าของหลินเฟิงเบามือ “น้องหลินเฟิงเอ๊ย! เชื่อฟังข้าไม่มีผิดพลาดแน่นอน บางครั้งน้องสาวเจ้าก็เป็นเสมือนเส้นเอ็นหนึ่งเส้น ทีกับผู้อื่นใจกว้างและผ่อนปรนได้ แต่พอเรื่องราวมาตกอยู่ที่ตนเอง นางก็คิดเล็กคิดน้อยไปหมด เจ้าควรโน้มน้าวนางบ้างถึงจะถูก”
หวังต้าไห่กล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “นิสัยศิษย์น้องนั้น เรื่องใดที่ตัดสินใจแล้วก็จะแน่วแน่กู่ไม่กลับ คิดจะโน้มน้าวนาง ข้าว่ายากทีเดียวเชียวละ…”
สีหน้าโม่จื่อโหยวเจื่อนลงเล็กน้อยเช่นกัน หากคิดจะโน้มน้าวให้ศิษย์น้องเปลี่ยนความคิด นั่นถือเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องเผชิญความเสี่ยงดูจริงๆ ศิษย์น้องผู้นี้ ลองได้โกรธเกรี้ยวขึ้นมา อย่าว่าแต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องเลย แม่แต่พี่ชายแท้ๆ ก็คงตัดขาดได้ “ศิษย์พี่พูดถูก แต่ก็ขึ้นอยู่กับใครเป็นคนโน้มน้าว บางคนอาจโน้มน้าวไม่ได้ หรือโน้มน้าวได้ก็ไม่แน่ว่านางจะเชื่อฟัง บางคนโน้มน้าวแล้ว ไม่แน่ว่าจะได้ผลอย่างยิ่งก็เป็นได้”
หลินเฟิงและหวังต้าไห่เอ่ยปากถามเป็นเสียงเดียวกัน “ใครหรือ”
โม่จื่อโหยวยักไหล่ และแบมือขณะกล่าว “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน”
ทั้งสองพร้อมใจกันมองบนใส่เขา
“ช่างเถอะๆ เจ้าก็อย่ากลัดกลุ้มไปเลย ดื่มสุรากันเถอะ” โม่จื่อโหยวรินสุราให้หลินเฟิงเต็มจอก
วันรุ่งขึ้น หลินเฟิงไปยังจวนหลี่แต่เช้าตรู่
หลินหลันให้แม่โจวอุ้มฮานเอ๋อร์ออกมาเพื่อให้สองพ่อลูกพวกเขาได้บ่มเพาะความสัมพันธ์กัน แต่ดูเหมือนฮานเอ๋อร์จะหวาดกลัวหลินเฟิงเล็กน้อยจึงไม่ยอมให้เขาอุ้ม และปีนเกาะอยู่บนบ่าของแม่โจวแนบแน่น
หลินเฟิงเผยรอยยิ้ม ดุเบาๆ “เจ้าเด็กน้อยนี่ แม้แต่พ่อตนเองก็ทำเป็นไม่ยอมรับกันเสียแล้ว” เมื่อคำพูดหลุดออกไป หลินเฟิงกลับรู้สึกเสมือนคำพูดนี้กำลังว่ากล่าวตนเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น จึงอดยิ้มขมขื่นออกมาไม่ได้
หลินหลันตำหนิ “ฮานเอ๋อร์เพิ่งจะอายุเท่าใดเอง เดี๋ยวพอเด็กน้อยรู้ความและพวกเจ้าคุ้นเคยกันแล้วก็ค่อยๆ ดีขึ้นเองละ”
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นสิเจ้าคะ ฮานเอ๋อร์ช่างว่าง่าย ฮานเอ๋อร์ นี่คือท่านพ่อของท่าน เรียกท่านพ่อเร็วเข้าสิเจ้าคะ!”
ฮานเอ๋อร์มองไปยังหลินเฟิงอย่างหวาดระแวง ยังคงไม่เอ่ยปาก หลินเฟิงมองดูฮานเอ๋อร์อย่างรอคอย หวังว่าฮานเอ๋อร์จะเรียกเขาว่าท่านพ่อสักคำ
สถานการณ์อึดอัดเล็กน้อย หลินหลันจึงพยายามสร้างบรรยากาศกลมเกลียว “แม่โจว ท่านอย่าไปบังคับเขาเลย เด็กเล็กต้องค่อยๆ สอนไป พาฮานเอ๋อร์ไปกินมื้อเช้าเถอะ!”
แม่โจวอุ้มซานเอ๋อร์เดินจากไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
หลินหลันเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงมาแต่เช้าตรู่เพียงนี้ กินมื้อเช้ามาแล้วหรือไม่”
“กินมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อคืนพี่พักอยู่กับศิษย์พี่โม่” หลินเฟิงนั่งลงแล้วบีบนวดขมับที่รู้สึกปวดตึบเล็กน้อย
หลินหลันกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดท่านถึงไปอยู่กับศิษย์พี่โม่? แล้วพี่สะใภ้ล่ะ”
หลินเฟิงถอนหายใจด้วยความหดหู่ “น้องพี่ พี่สะใภ้เจ้าผู้นี้…จะพูดอย่างไรดีล่ะ ตอนนี้ข้ารู้สึกเกินกว่าจะทนรับได้แล้วจริงๆ”
หลินหลันครุ่นคิด พลางหย่อนตัวลงนั่งเช่นกัน จากนั้นเอ่ยถามเสียงบางเบา “ท่านทะเลาะกับพี่สะใภ้แล้วหรือ”
“พี่สะใภ้เจ้าเอาแต่ทำให้ข้าโกรธเกรี้ยว เมื่อวานเจ้าเพิ่งส่งโฉนดบ้านไปให้นาง นางก็วิ่งแจ้นไปจวนแม่ทัพ เพื่อขอเงินตาเฒ่า…ขอเงินพวกเขาหนึ่งหมื่นตำลึงเงินเพื่อมาซื้อเครื่องเรือนอะไรพวกนั้น เจ้าว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดนางถึงได้ละโมบโลภมากเพียงนั้นนะ?”
หลินหลันดูถูก “พี่สะใภ้ละโมบโลภมากไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านพี่รับรู้ ข้ากะแล้วว่านางไม่ยอมถอดใจเรื่องรับพ่อสามีนั่น”
“ยอมรับหรือไม่ยอมรับนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้าก็แค่ไม่อยากจะเห็นหน้าตาละโมบโลภมากของนาง” แววตาหลินเฟิงแสดงถึงความรังเกียจ
หลินหลันกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้ เห็นทีว่าเหยาจินฮวาจะไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ เมื่อวานนางจงใจให้แม่โจวส่งเงินไปให้เหยาจินฮวาเพื่อซื้อเครื่องเรือนมาเพิ่มเติมเพียงสามร้อยตำลึงเงินเท่านั้น แต่ด้วยคนอย่างเหยาจินฮวาที่ละโมบโลภมากเพียงนั้น สามร้อยตำลึงเงินหรือจะพอยาขี้ฟันของนาง นางจึงมั่นใจว่าเหยาจินฮวาจะต้องมีความนึกคิดไปหาตาผู้เฒ่านั่นเป็นแน่ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่านางจะลงมือรวดเร็วเพียงนั้น และความแตกรวดเร็วเพียงนี้ด้วยเช่นกัน ตาผู้เฒ่านั่นช่างใจกว้างเสียจริง ควักเงินทีให้ตั้งหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน หนึ่งหมื่นตำลึงเงินสำหรับนางเป็นเพียงเศษเงินก็ว่าได้ แต่สำหรับผู้ที่รู้จักแต่การรบราฆ่าฟันศัตรูมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าสำหรับตาผู้เฒ่านั่นจะเป็นการมอบเงินให้เพื่อหวังผลประโยชน์อันใดตอบแทนกันแน่ หนึ่งหมื่นตำลึงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
“การจะเปลี่ยนสันดานคนถือเป็นเรื่องยากยิ่ง นี่ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนี้ท่านยังต้องได้กลัดกลุ้มอีกแน่” หลินหลันกล่าวอย่างนุ่มนวล
“หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ฮานเอ๋อร์ ข้า…ข้าก็อยากหย่าร้างกับนางจริงๆ” หลินเฟิงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว คำพูดเหล่านี้ เขาทำได้เพียงพูดกับน้องสาวเท่านั้น
ดวงตาหลินหลันลุกวาว แต่ไม่ทันไรก็กลับคืนสู่ปกติ “ท่านพี่ ท่านคิดอย่างนี้จริงหรือ”
หลินเฟิงไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ ด้วยความหงุดหงิดใจ
“เฮ้อ! พี่สะใภ้ผู้นี้ แม้มิใช่สตรีชั่วร้ายอะไรมากมาย แต่ความประพฤติน่ารังเกียจทั้งหมดล้วนเกิดจากความโลภมาก จิตใจคนเรายากเกินหยั่งถึง ด้วยความละโมบโลภมากไร้ที่สิ้นสุด ข้าก็แค่กังวลว่าด้วยนิสัยเช่นนี้ของนาง ไม่ช้าก็เร็วคงได้ทำร้ายท่านไปด้วย หากพวกเราเป็นชาวบ้านสามัญชนก็แล้วไป หากนางละโมบโลภมาก หนักหน่อยก็พยามตระหนี่ถี่เหนียวกับนาง แต่ในเมื่อเป็นท่านพี่ ตอนนี้ท่านเป็นที่รู้จัก เส้นทางหน้าที่การงานในภายภาคหน้าไร้ขีดจำกัด หากข้างกายมีคนผู้นี้ ไม่ช้าก็เร็วคงต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นเป็นแน่” หลินหลันกล่าวด้วยความกังวลใจ
เห็นสีหน้าของพี่ชายบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ หลินหลันจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “นี่ยังเป็นเพียงแค่ประการแรก หากฮานเอ๋อร์อยู่กับนาง และเลียนแบบนิสัยเช่นนั้นของนาง นั่นคงได้เป็นปัญหาวุ่นวายของจริง”
หลินเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “เจ้าพูดสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ตรึกตรองอยู่พอดีเช่นกัน แต่ว่า…นั่นจะทำอะไรได้หรือ ข้าเองก็ไม่อยากให้ผู้คนกล่าวว่าประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้วก็ลืมผู้ที่ลำบากมาด้วยกัน อีกอย่าง ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่ของฮานเอ๋อร์”
หลินหลันพยักหน้ากล่าวอย่างเห็นด้วย “ที่ท่านพี่พูดก็มีเหตุผลเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงอดทนไว้ ตัวท่านพี่เองก็คอยระมัดระวังไว้หน่อย อย่าในนางจูงจมูกเอาได้ เรื่องเล็กๆ จะเออออตามนางไปก็คงไม่เป็นไร แต่หากเป็นเรื่องใหญ่ ท่านจะต้องตัดสินใจด้วยตนเองเท่านั้น”
ในเมื่อพี่ชายมีความนึกคิดเช่นนี้ และเหยาจินฮวาก็ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นหาความผิดให้นาง ตัวนางเองก็หาเรื่องใส่ตนให้ผู้อื่นเขารังเกียจได้เช่นกัน รอวันใดวันหนึ่งที่พี่ชายหมดความอดทน นางคอยเติมไฟอีกแรง ทำให้พี่ชายหย่าร้างกับเหยาจินฮวาไปเสีย หากไม่มีฮานเอ๋อร์ นางก็คงจะคิดวิธีทำให้เหยาจินฮวาถูกเฉดหัวส่งเสียยามนี้เลย นางอดทนต่อเหยาจินฮวามาเนิ่นนานพอตัวแล้ว ตั้งแต่เหยาจินฮวาทำให้มารดาโกรธเกรี้ยวจนกระอักเลือด นางก็เก็บงำความนึกคิดนี้เอาไว้ นั่งสตรีชั่วร้ายผู้นี้ ไม่มีสิทธิ์มาเป็นสะใภ้ของตระกูลหลินด้วยซ้ำ
“น้องพี่ หลังจากนี้ข้าอาจไม่ได้แวะมาเยี่ยมเจ้าสักระยะหนึ่ง ทางด้านพี่สะใภ้เจ้านั่น อย่างไรก็คงต้องให้เจ้าช่วยดูๆ ไว้หน่อย อย่าให้นางก่อเรื่องขายหน้าขึ้นมาอีกจะเป็นการดี” หลินเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ท่านพี่ หน้าที่ที่ท่านมอบหมายนี้ ไม่แน่ว่าข้าจะสามารถทำได้สมบูรณ์แบบ พี่สะใภ้เห็นข้าก็ทำหน้าตาเขียวปั๊ดใส่ แล้วจะให้ข้าไปคอยดูนางได้อย่างไรหรือ มีแต่จะทะเลาะกันขึ้นมาเปล่าๆ” หลินหลันเม้มริมฝีปากก่อนกล่าวขึ้น
หลินเฟิงกล่าวอย่างหดหู่ “ข้าก็รู้ว่านี่มันค่อนข้างสร้างความลำบากใจให้เจ้า เฮ้อ…จะพูดอย่างไรดีล่ะ เจ้าก็ถือเสียว่าช่วยพี่สักครั้งแล้วกัน”
ทันใดนั้น หลินหลันนึกถึงที่หนิงซิ่งกล่าวไว้เช่นกันว่าระยะนี้จะไม่ได้กลับมาเมืองหลวง จึงกล่าวหยั่งเชิง “ท่านพี่ ท่านได้รับคำสั่งอะไรแล้วใช่หรือไม่”
หลินเฟิงอ้าปาก แต่แล้วก็เผยท่าทีอ้ำอึ้ง “นี่เป็นความลับทางทหาร ข้ามิอาจพูดออกไปได้ โดยสรุปคือ เมื่อข้าจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้นก็จะกลับมา”
หลินหลันยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง ค่ายกองทัพใหญ่ซีซานและเป่ยซานล้วนมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
“เช่นนั้นท่านพี่ก็ระมัดระวังตัวไว้หน่อย ต้องปกป้องตนเองให้ดีนะเจ้าคะ” หลินหลันไม่อาจพูดจากอย่างตรงไปตรงมามากเกินไปเช่นกัน จึงหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ การเคลื่อนไหวเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีอันตรายเป็นแน่ หวังว่าอย่าได้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายกับพี่ชายก็เป็นพอ
หลินเฟิงพยักหน้ากล่าว “ข้าจะระมัดระวังไว้ น้องพี่เองก็ต้องดูแลตนเองให้ดีๆ เช่นกัน ข้าไปก่อนละ ยังต้องไปตักเตือนพี่สะใภ้เจ้าสักหน่อย มิเช่นนั้นข้าคงไม่วางใจจริงๆ”
หลินเฟิงลุกขึ้น หลังก้าวเดินไปได้เพียงสองฝีก้าวก็หันกลับมาอีกครั้ง “ฮานเอ๋อร์คงยังต้องให้เจ้าช่วยดูแลอีกสักระยะ หากพี่สะใภ้เจ้ามาร้องจะพาตัวเขาไป เจ้าแค่โบ้ยมาที่ข้าเป็นพอ อย่าได้ให้นางพาตัวไปเป็นอันขาด” หลินเฟิงนึกถึงที่เหยาจินฮวากล่าวไว้เมื่อคืนว่าจะอุ้มฮานเอ๋อร์ไปกระโดดแม่น้ำ ในใจก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันที
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ฮานเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลหลินเรา ข้ามิปล่อยให้นางพาเขาเสียคนไปได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
หลินเฟิงรีบกลับไปยังโรงเตี๊ยม เหยาจินฮวายังคงนอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่ม ดวงตาคู่หนึ่งที่เดิมที่ก็ไม่ได้ใหญ่โตแต่อย่างใด กำลังบวมเป่งจนเหลือเพียงเส้นขีดเดียวก็ว่าได้ เพราะผลจากการร้องห่มร้องไห้เมื่อคืน เมื่อเห็นว่าหลินเฟิงกลับมาแล้ว เหยาจินฮวาจึงรู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาอีกรอบ นั่นมันหนึ่งหมื่นตำลึงเงินเชียวนะ! แต่แล้วก็ถูกเขาทำให้หายไปในพริบตาแล้ว
“เจ้ารังเกียจข้ามิใช่หรือ แล้วยังจะมาทำไมอีก” เหยาจินฮวากล่าวด้วยความโกรธเคือง จากนั้นมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มคลุมโปงอีกครั้ง ไม่แยแสหลินเฟิง
หลินเฟิงยืนอยู่หน้าเตียง พยายามทำให้ตนเองสงบนิ่งลง เอ่ยว่า “ข้ามาแต่เดี๋ยวก็ไปแล้ว มีภาระหน้าที่ต้องจัดการในกองทัพ อาจกินเวลานานพอตัว คงไม่ได้กลับมา เจ้าคงต้องเหนื่อยหน่อย รีบจัดการบ้านให้เข้าที่เข้าทางแล้วเข้าไปอาศัยเสีย น้องข้าบอกกล่าวไว้แล้วว่าเมื่อถึงเวลาจะช่วยจ้างข้ารับใช้มาไว้ให้พวกเราสักสองสามคน”
เหยาจินฮวาใจอ่อนทันทีที่ได้ยินว่าหลินเฟิงจะไปแล้ว จึงดีดตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ได้ยินเขาเอ่ยว่าให้นางจัดการบ้านหลังใหม่ให้เข้าที่เข้าทางเสียด้วย...
“ตอนนี้ข้ามีอยู่แค่สามร้อยตำลึงเงิน เจ้าจะให้ข้าจัดการข้าวของในบ้านได้อย่างไรหรือ” เหยาจินฮวาบ่นอุบอิบ
หลินเฟิงล้วงตั๋วเงินจำนวนหนึ่งออกมายื่นให้นาง “นี่เป็นเงินข้าเก็บหอมรอมริบไว้ตลอดสองปี ทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยตำลึงเงิน ข้าให้เจ้าทั้งหมดเลย หากขาดเหลืออีกนิดๆ หน่อย ก็คงเพียงพออยู่เช่นกัน” หลินเฟิงนำตั๋วเงินวางไว้บนผ้าห่ม หลังชะงักไปชั่วครู่ก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “เจ้าอย่าได้ไปจวนท่านแม่ทัพอีกเป็นอันขาด นี่เป็นการเตือนเจ้าครั้งสุดท้าย” หลินเฟิงหันหลังให้แล้วเดินจากไปทันทีที่กล่าวจบ
“เอ้…เจ้าจะไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ” เหยาจินฮวากระโดดลงจากเตียงทั้งเท้าเปล่าด้วยอยากจะตามไป ทว่าหลินเฟิงเดินพ้นประตูห้องออกไปเสียแล้ว และยังตามมาด้วยเสียงประตูปิดดังปึง
เหยาจินฮวากัดฟันด้วยความโกรธเกรี้ยว ยื่นมือไปคว้าสิ่งของบางอย่างได้ก็ปาเข้าไปที่บานประตูทันที ระหว่างนั้นนึกขึ้นมาได้ว่ามันคือตั๋วเงินจึงไปเก็บกลับมาอีกครั้ง แล้วกระทืบเท้าพร้อมด่าทอ “เจ้ามันไอ้คนใจจืดใจดำ จู่ๆ ก็ทิ้งข้าไว้ทั้งเช่นนี้น่ะหรือ ไอ้สารเลว…”