ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 298-1 โชคดี
ผู้คนที่อยู่ในบ้านต่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป หลินหลันทำได้เพียงพยายามตั้งสติให้มั่นคงแข็งแกร่งเข้าไว้ และกำชับจ้าวจัวอี้ให้เตรียมพร้อมรับมือเพิ่มยิ่งขึ้น หมิงอวินอยู่ด้านนอก เป็นตายร้ายดีไม่อาจรับรู้ได้ แต่อย่างไรก็จะให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดภายในบ้านไม่ได้เป็นอันขาด
จ้าวจัวอี้และหลี่หมิงเจ๋อออกไปวางแผนการอารักขาความปลอดภัย ติงหลั้วเหยียนปลอบประโลมหลินหลันอีกสองสามประโยค แล้วจึงขอปลีกตัวไปดูแลเฉิงเซวียน หลังหลินหลันกลับเข้าไปในห้อง ก็หย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตา สภาพจิตใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและหวาดกลัว
กุ้ยซ่าวเกรงว่านายหญิงสะใภ้รองจะหิว จึงให้อวิ๋นอิงนำโจ๊กธัญพืชแปดชนิดมาให้นายหญิง
อวิ๋นอิงถือมาจนถึงปากประตู แต่ถูกหรูอี้ห้ามไว้ “เหตุใดถึงเอาโจ๊กธัญพืชมาล่ะ”
อวิ๋นอิงกล่าว “กุ้ยซ่าวให้นำมาให้น่ะ”
หรูอี้กล่าวกระซิบเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้านี่ก็จริงๆ เลย เมื่อวานเอ้อร์เส้าหน่ายนายเพิ่งกล่าวไปว่า วันนี้จะรอเอ้อร์เส้าเหยียกลับมารับประทานโจ๊กธัญพืชด้วยกัน ยามนี้เอ้อร์เส้าเหยียไปอยู่แห่งหนใดแล้วยังไม่อาจทราบได้ เอ้อร์เส้าหน่ายนายเห็นของสิ่งนี้ จะไม่เศร้าเสียใจไปใหญ่หรอกหรือ รีบไปเปลี่ยนเอาอย่างอื่นมาเถอะ”
อวิ๋นอิงขานรับทันควัน “ขอบใจพี่หรูอี้มากที่เตือน ข้าจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้ละ”
หรูอี้เรียกรั้งนางอีกครั้ง “ถือโจ๊กไปห้องปีกตะวันตกให้คุณชายน้อยซานเอ๋อร์แล้วกัน!”
แม่โจวและหยินหลิ่วเห็นนายหญิงสะใภ้รองมีสีหน้าเป็นกังวล ทั้งสองคนไม่รู้เช่นกันว่าควรปลอบประโลมอย่างไร จึงทำได้เพียงอยู่เป็นเพื่อนอย่างเงียบๆ เท่านั้น
หรูอี้นำโจ๊กข้าวฟ่างเข้ามาให้ วางลงเบื้องหน้านายหญิงสะใภ้รองที่นั่งอยู่บนเตียงเตาอย่างระแวดระวังแล้วเกลี้ยกล่อม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ อย่างน้อยก็รับประทานอะไรเสียหน่อย อย่าปล่อยให้ท้องหิวจนทำลายสุขภาพเลยนะเจ้าคะ”
หลินหลันมองดูโจ๊กข้าวฟ่างพุทราจีนเนื้อเนียนละเอียดที่ร้อนจนมีควันลอยกรุ่น ทว่าในใจนางรู้สึกกังวลจะแย่ จึงไม่อยากรับประทานอาหารเลยแม้แต่น้อย “เอาวางไว้ก่อนเถอะ!”
หรูอี้กล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เดี๋ยวโจ๊กเย็นแล้วจะไม่อร่อยนะเจ้าคะ”
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย รับประทานสักคำก็ยังดี วันนี้ตลอดทั้งวันท่านยังไม่ได้ทานอันใดเลยนะเจ้าคะ ตอนนี้เอ้อร์เส้าเหยียไม่อยู่ ทั้งบ้านหลังนี้ต่างก็ฝากความหวังไว้ที่ท่าน ดังนั้นท่านต้องรักษาสุขภาพร่างกายถึงจะถูกนะเจ้าคะ” แม่โจวกเกลี้ยกล่อมด้วยความปวดใจ
หลินหลันถอนหายใจแล้วหยิบช้อนขึ้นมาคนโจ๊กข้าวฟ่าง แต่แล้วก็วางมันลง เอ่ยถามด้วยสีหน้าหดหู่ “ซานเอ๋อร์และฮานเอ๋อร์ล่ะ”
หรูอี้กล่าวตอบ “คุณชายน้อยซานเอ๋อร์อยู่ในห้องคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์เจ้าค่ะ ข้าน้อยเพิ่งแวะไปดู แม่นมกล่อมคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์หลับไปแล้ว ส่วนคุณชายน้อยซานเอ๋อร์เอ่ยว่าจะอ่านตำราสักหน่อยแล้วค่อยงีบหลับเจ้าค่ะ”
หลินหลันพยักหน้าอย่างใจลอย หรูอี้ชะงักไปชั่วครู่ก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้ง “คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ให้ข้าน้อยมาบอกกล่าวเอ้อร์เส้าหน่ายนายว่า ตอนนั้นเขายังหนีเอาตัวรอดจากคนร้ายที่จับตัวไปได้ เอ้อร์เส้าเหยียฉลาดกว่าเขาหลายร้อยเท่าตัว ดังนั้นจะต้องกลับมาได้อย่างปลอดภัยแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลินหลันอมยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว “เขารู้จักปลอบใจผู้อื่นเป็นหมือนกันหรือเนี่ย”
แม่โจวกรอบดวงตาแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “คุณชายน้อยซานเอ๋อร์เป็นผู้มีบุญ ที่คุณชายน้อยซานเอ๋อร์พูดจะต้องสัมฤทธิ์ผลเป็นแน่เจ้าค่ะ”
หยินหลิ่วกล่าว “นั่นสิเจ้าคะ! เอ้อร์เส้าเหยียเองก็มีการเตรียมตัวป้องกันแต่เนิ่นๆ ไม่มีทางถูกพวกเขาจับตัวไปได้หรอกเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียจะต้องมีวิธีที่ปกป้องตนเองได้เป็นแน่เจ้าค่ะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “พวกเจ้ามิต้องปลอบใจข้าแล้วละ ถึงอย่างไรก็ได้แค่รอคอยต่อไป!”
หลินหลันฝืนรับประทานโจ๊กเข้าไปสองคำแล้วให้แม่โจวไปพักผ่อนเสียก่อน แม่โจวอายุมากแล้ว ไม่ควรอยู่จนดึกดื่น แม่โจวจึงถอยออกไป หลินหลันบอกกล่าวหยินหลิ่วให้นำสร้อยลูกประคำที่ท่านลุงเยี่ยมอบไว้มาให้ ปกติแล้วนางไม่สวดภาวนา ทว่ายามนี้ นอกจากขอให้พระคุ้มครองก็ไม่มีวิธีอื่นใดแล้วจริงๆ แม้เป็นเพียงการอ้อนวอนพระพุทธเจ้าในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ขอให้พระพุทธองค์โปรดเห็นแก่ความซื่อสัตย์จริงใจของนาง ช่วยคุ้มครองหมิงอวินให้ปลอดภัยด้วยเถิด หากพระพุทธองค์ยินยอมรับคำภาวนาอ้อนวอน นางยินดีที่จะกินเจชั่วชีวิตเพื่อเป็นการตอบแทน
หลี่หมิงเจ๋อรอกระทั่งจัดวางภาระงานส่วนต่างๆ ในบ้านเรียบร้อยแล้วถึงกลับห้อง ติงหลั้วเหยียนกล่อมเฉิงเซวียนนอนหลับไปแล้ว เมื่อเห็นเขากลับมาจึงรีบให้หงซางยกอาหารมื้อดึกมา
“พวกเราส่งคนออกไปถามดูอีกครั้งดีหรือไม่” ติงหลั้วเหยียนหย่อนตัวลงนั่งตรงข้ามหมิงเจ๋อ
หลี่หมิงเจ๋อถอนหายใจแล้วกล่าว “จะไปถามจากแห่งหนใดหรือ ท่านพี่จ้าวเอ่ยว่า ยามนี้ด้านนอกอันตรายมาก ทั้งยังมีกฎอัยการศึกที่รุนแรง ยามนี้เที่ยวออกไปเดินเพ่นพ่านด้านนอก ดีไม่ดีจะถูกเข้าใจว่าเป็นตัวก่อปัญหาก็เป็นได้”
“พวกเราจะรอกันอยู่อย่างนี้น่ะหรือ” ในใจติงหลั้วเหยียนเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
“รอก่อนแล้วกัน! ไม่เช่นนั้นยังมีวิธีใดอีกหรือ ตอนนี้ทำได้เพียงสวดขอพรต่อพระพุทธเจ้าและบรรพบุรุษ ให้ช่วยปกปักษ์เท่านั้นแล้วละ” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่หมิงเจ๋อก็วางชามลง “ข้าจะไปสวดขอพรที่โถงบรรพบุรุษเดี๋ยวนี้เลยแล้วกัน”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวแล้วเดินจากไปทันที ติงหลั้วเหยียนไม่ทันได้รั้งเขาไว้ด้วยซ้ำ จากนั้นหงซางก็เข้ามาเก็บถ้วยชามพลางกล่าว “ต้าเส้าหน่ายนายบอกกับต้าเส้าเหยียแล้วหรือไม่เจ้าคะ”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสลด “จะบอกอย่างไรล่ะ ข้ายังไม่ทันเอ่ยปาก เขาก็เดินไปเสียแล้ว”
หงซางครุ่นคิดก่อนกล่าวขึ้น “หรือไม่…ข้าน้อยลองกลับไปสอดส่องดูสักหน่อย?”
ติงหลั้วเหยียนรีบกล่าวทันควัน “ไม่ได้เป็นอันขาด ด้านนอกประกาศกฎอัยการศึกเคร่งครัด ต่อให้เป็นจ้าวจัวอี้ที่มีตำแหน่งติดตัวเช่นนั้น ก็ไม่อาจเดินไปทั่วได้ตามอำเภอใจ เจ้าเป็นเด็กสาวตัวคนเดียวยิ่งแล้วใหญ่”
“แต่ว่า…”
“ไม่ต้องแต่แล้ว ตอนนี้กลับไปสอดส่องดูก็ไม่อาจช่วยให้สถานการณ์เปลี่ยนไปได้ อีกทั้งพวกเราก็ไม่อาจช่วยอันใดได้ รอวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ!” ติงหลั้วเหยียนส่ายหน้า ก่อนกล่าวขึ้นมา แม้นางเป็นกังวลใจต่อสถานการณ์ทางบ้านมารดาอย่างยิ่ง แต่ไม่อาจให้คนไปเสี่ยงอันตรายสุ่มสี่สุ่มห้าได้
หลินหลันกำลังฟังเสียงนาฬิกาหยดน้ำ อยากจะให้ฟ้าสางโดยเร็วไวในชั่วพริบตา การอดทนเฝ้ารอเช่นนี้ช่างสร้างความทรมานยากเกินจะทน หยินหลิ่วเกลี้ยกล่อมนางอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ล้วนไม่อาจทำให้นางคล้อยตามได้ จึงทำได้เพียงนั่งอยู่เป็นเพื่อนจนถึงฟ้าสาง
จ้าวจัวอี้ออกไปถามหาข่าวคราวอีกครั้ง ไม่นานนัก ตงจึก็กลับมาพบนายหญิงสะใภ้รองด้วยสภาพคราบโลหิตเปรอะเปื้อนเต็มร่าง
หลินหลันเห็นสภาพเขาที่ชวนตื่นตระหนกปานนี้ เสียงกึกก้องจึงดังขึ้นในสมอง ตามด้วยดวงใจที่จมดิ่งลง น้ำเสียงสั่นเครืออย่างไม่อาจควบคุมได้ “ตงจึ เจ้า…นี่เจ้ามาจากไหน แล้วเอ้อร์เส้าเหยียล่ะ”
เห็นได้ชัดว่าตงจึตกใจกลัวอย่างยิ่ง เขากล่าวด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ให้ได้ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ ข้าน้อยเกือบเอาชีวิตกลับมามิได้แล้วขอรับ”
แม่โจวกล่าวด้วยความร้อนรนใจ “เจ้ารีบพูดมาเร็วเข้าสิ! เอ้อร์เส้าหน่ายนายร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว”
ตงจึใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้า จากนั้นกล่าวด้วยอาการตื่นกลัว “เมื่อวานอันตรายมากจริงๆ ขอรับ เอ้อร์เส้าเหยียให้ข้าน้อยไปบอกกล่าวบรรดาใต้เท้าที่กรมคลัง ให้พวกเขารีบพากันออกไปจากกรมคลัง จากนั้นค่อยกลับมารายงานเอ้อร์เส้าหน่ายนาย ผลปรากฏว่าข้าน้อยเพิ่งเดินเข้าพื้นที่หน่วยงานกรมคลัง พวกกบฏก็บุกเข้ามาเสียแล้ว พวกมันเห็นใครก็ฟาดฟันทันทีไม่เลือกหน้า ไม่นานนัก ทั่วทั้งบริเวณก็เต็มไปด้วยคนนอนเกลื่อนกลาด โชคดีที่ข้าน้อยมีไหวพริบ ก็เลยนอนลงรวมกับกองคนที่เสียชีวิต แล้วนำเลือดพวกเขามาป้ายตัว และแกล้งตาย นี่ถึงได้เอาชีวิตรอดมาได้ขอรับ จากนั้นทหารม้าฝ่ายลาดตระเวนก็เข้ามา แล้วเกิดการฟาดฟันกันอีกระรอก ข้าน้อยอาศัยจังหวะนั้นหนีเข้าไปในห้องลับของทางกรมคลัง ข้าน้อยได้ยินว่าด้านนอกไร้ความเคลื่อนไหวแล้ว เดิมทีคิดจะกลับจวนทันที แต่บรรดาใต้เท้าที่อยู่รวมในห้องลับไม่ให้ข้าน้อยออกมา ด้วยเกรงว่าพวกกบฏจะบุกเข้ามาโจมตีอีกครั้ง ข้าน้อยจึงทำได้เพียงอดทนไว้ รอจนกระทั่งรุ่งเช้าขอรับ…”
ทุกคนได้ยินดังกล่าวถึงกับหวาดผวา หลินหลันเป็นห่วงเพียงความปลอดภัยหมิงอวินเท่านั้น จึงกล่าวซักถาม “แล้วเอ้อร์เส้าเหยียล่ะ เขาอยู่แห่งหนใด”
ตงจึผ่อนน้ำเสียงเนิบช้าลง “เอ้อร์เส้าเหยียอยู่ในพระราชวังขอรับ เอ้อร์เส้าเหยียให้ข้าน้อยเป็นคนมาบอกกล่าวเอ้อร์เส้าหน่ายนายว่าสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงคราวนี้จะไม่ดำเนินไปยาวนานจนเกินไป ทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุมของฮ่องเต้ เขาอยู่ในพระราชวังด้วยความปลอดภัยอย่างยิ่ง ให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายระมัดระวังทางบ้านให้แน่นหนา อย่าออกจากบ้าน รอเรื่องราวจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะกลับมาขอรับ”
ดวงใจที่แขวนลอยไว้ตลอดทั้งวันทั้งคืนของหลินหลัน ในที่สุดก็ได้ปล่อยวางลงเสียที ยังดีที่มันเป็นแค่สถานการณ์ชวนตื่นตระหนกฉากหนึ่งเท่านั้น “ข้าก็ว่าแล้วว่าน้องรองจะต้องไม่เป็นไร” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความดีใจ
แม่โจวกล่าวเชิงตำหนิ “ตงจึ ดูเจ้าทำเข้าสิ มัวชักช้าเสียเวลาไปนานเนเพียงนี้ ทำให้ทุกคนร้อนรนใจกันแทบแย่”
หลินหลันถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความโล่งอก “แม่โจว ท่านก็อย่าได้ตำหนิตงจึเลย กว่าตงจึจะเอาชีวิตรอดมาได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เช่นกัน ตงจึ เจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหาอะไรกินแก้ตื่นกลัวเสียหน่อย”