ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 303-2 วันก่อนวันส่งท้ายปีเก่าที่หนาวเหน็บ
หลินจื้อย่วนรู้สึกขุ่นเคือง จึงกล่าวตำหนิ “ดูเจ้าทำเข้าสิ นิสัยเสียๆ เช่นนี้ เจ้าปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ก็ช่าง ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นบุตรสาวข้า ข้าก็ไม่อาจถือสาอันใดเจ้าได้เช่นกัน ทว่าเจ้า…เจ้าก็ถือว่าเป็นผู้ชาญฉลาดคนหนึ่ง เหตุใดถึงไม่รู้จักขอร้อง พูดจาดีๆ ให้องค์รัชทายาทให้อภัยสักครั้ง หรือผลักภาระมาที่ข้าก็ย่อมได้เช่นกัน แต่ดูเจ้าสิ เจ้าดันพูดอันใดออกไป! เกิดองค์รัชทายาทถือโทษเอาความเจ้าขึ้นมาจริงๆ เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าได้อย่างไรหรือ”
ความเดือดเนื้อร้อนใจของหลินจื้อย่วนไม่ใช่การเสแสร้ง ความห่วงใยก็ไม่ใช่การโกหก หลินหลันมองเห็นมันอยู่ในสายตา โดยเฉพาะเมื่อได้ยินประโยคที่ว่า ให้ผลักภาระไปที่ตัวเขา จึงอดซาบซึ้งใจเล็กน้อยไม่ได้ นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “ท่านไม่จำเป็นต้องเดือดเนื้อร้อนใจไปหรอก หากองค์รัชทายาทต้องการลงโทษข้า แล้ววันนี้จะยังปล่อยให้ข้ากลับบ้านอีกหรือ อีกทั้งตั้งแต่นางเฝิงไปขอพบหานกุ้ยเฟย องค์รัชทายาทก็รับรู้แล้วว่าข้าต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ตอนนั้นองค์รัชทายาทก็ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด ซึ่งก็เท่ากับการอนุญาตอย่างเงียบๆ…ต่อให้เขาต้องการลงโทษข้า ก็ต้องมิใช่เพื่อเรื่องนี้ ในยามนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้จะคิดได้หรือไม่”
เห็นหลินหลันมีสีหน้าสงบนิ่งปานนี้ หลินจื้อย่วนจึงใจเย็นลง คิดๆ ดูคำพูดของหลินหลันนี้ก็มีเหตุผลเช่นกัน เพียงแต่จิตใจของฮ่องเต้ยากคาดเดา ใครจะรู้ว่าองค์รัชทายาทจะพลิกแพลงอันใดหรือไม่
“แล้วถ้าเกิดฮ่องเต้คิดไม่ได้…” หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยความไม่มั่นใจ
หลินหลันเผยสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก “ตราบใดที่ฮ่องเต้ไม่ออกโรงป่าวประกาศสละบัลลังก์ให้องค์รัชทายาท บรรดาอ๋องเจ้าเมืองต่างๆ ที่หวังตะครุบบัลลังก์ฮ่องเต้มาเนิ่นนานจักต้องก่อการกบฏเป็นแน่ ทีนี้ก็จะมิใช่ข้าแต่เพียงผู้เดียวที่เผชิญหายนะ แต่เป็นทั่วทั้งใต้หล้า”
หลินจื้อย่วนตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนทรุดตัวลงนั่งด้วยความหดหู่อย่างอดไม่ได้ จากนั้นพยักหน้าแล้วกล่าว “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุมีผล หากกล่าวถึงเรื่องก่อการกบฏ เจิ้นหนานอ๋องก็คือคนแรก”
หลินหลันนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยถาม “มีข่าวคราวของแม่ทัพหนิงซิ่งบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนกล่าว “ณ ตอนนี้เขากำลังปราบปรามฝ่ายเก่าอย่างจงโหย่วโหว์ที่เมืองจิ่นโจว วันนี้มีรายงานทางทหาร กล่าวว่าจับเป็นแกนนำผู้ร้ายได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
หลินหลันเผยรอยยิ้มขมขื่น “เกรงก็แต่ว่า เขายังไม่รู้ว่าทางราชสำนักกำลังจะเตะผู้นำออกจากบัลลังก์อยู่แล้วสินะเจ้าคะ”
“องค์รัชทายาทจัดการส่งคนสนิทของเขาไปจัดการปัญหาอันจะเกิดขึ้นในภายหลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้างกายหนิงซิ่งจึงมีคนขององค์รัชทายาทด้วยเช่นกัน หากหนิงซิ่งมีใจแปรพรรค เกรงว่าคงยากจะรอดพ้นได้” หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม
หลินหลันตระหนกตกใจ “เช่นนั้นเราจำเป็นต้องหาวิธีส่งข่าวคราวให้หนิงซิ่งถึงจะเป็นการดี ให้เขาเตรียมรับมือแต่เนิ่นๆ”
หลินจื้อย่วนกล่าว “เรื่องนี้ข้าคิดได้นานแล้ว จึงได้ส่งคนไปก่อนหน้านี้ ให้หนิงซิ่งอย่าได้ผลีผลามลงมืออันใด”
หลินหลันได้ยินดังกล่าวจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แล้วก็พ่นลมหายใจหนักออกมาอีกครั้ง “ดังนั้น หากทางด้านฮ่องเต้นี้ไม่มีข่าวคราวอีก ใต้หล้านี้คงได้โกลาหลไม่เป็นท่าของจริงสินะเจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนตบหน้าอกของตนหนึ่งที “โกลาหลก็ให้มันโกลาหล อย่างมาก ข้าจะนำคนออกไปนอกเมืองหลวง ครอบครัวเราพากันไปยังพื้นที่ตอนเหนือเสียก็สิ้นเรื่อง”
หลินหลันกลอกตามองบนใส่เขา “แล้วอย่างไรหรือ ท่านคิดจะไปเป็นโจรท้องถิ่น ณ พื้นที่ตอนเหนือหรือไร อย่าลืมไปสิว่าชาวทู่เจวี๋ยน่ะจงเกลียดท่านเข้ากระดูกดำ เมื่อถึงตอนนั้น ท่านจะถูกศัตรูหมายปองรอบด้าน ก็คงได้แค่รอวันตายเท่านั้น!”
หลินจื้อย่วนชักสีหน้าสลด “ข้าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย”
“พูดเรื่อยเปื่อย ท่านเห็นปวงประชาเป็นอันใดไปแล้วหรือยามนี้แม้แต่บรรดาปวงประชาก็ไม่กล้าพูดอะไรเรื่อยเปื่อยเหล่านี้ ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของประเทศชาติบ้านเมือง ระวังหายนะจะมาเยือนเพราะปากของท่านเถอะเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวเชิงตำหนิ
หลินจื้อย่วนหาได้แย่แสไม่ “นี่มิได้อยู่ด้านนอกเสียหน่อย อยู่ด้านนอกท่านพ่อเจ้าอย่างข้าระมัดระวังเสียยิ่งอะไรดี”
“อยู่ที่นี่ก็มิได้เช่นกัน ท่านไม่กลัวตาย แต่ข้าจะติดร่างแหไปกับท่านด้วย! ท่านรีบกลับไปเถอะ! ข้าอยากพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ” หลินหลันเอ่ยปากขับไล่แขกผู้มาเยือน
ไม่ง่ายเลยกว่าหลินจื้อย่วนจะได้มาเยือนสักครั้ง ตั้งใจว่าจะได้อยู่พูดคุยกับบุตรสาวให้มากเสียหน่อย จึงกล่าวถาม “เอ่อ…ได้ยินว่าพี่สะใภ้เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย เจ้ากับนางเข้ากันได้ดีแล้วหรือยัง ข้าได้ยินว่าพี่สะใภ้เจ้ามักรังแกเจ้าเสมอในอดีต ต้องการให้พ่อไปอบรมนางสักหน่อย ให้นางประพฤติตนอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่”
“เมื่อก่อนใช้ชีวิตอย่างไม่มีท่านพ่อท่านแม่ ลำบากยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ผ่านมาแล้ว ภายหลังจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใดเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวตอบเขาอย่างเย็นชา ตาผู้เฒ่า คิดว่าช่วยเหลือนางนิดๆ หน่อย นางก็ต้องรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณ จนยอมรับเขาเป็นบิดาหรือ ไม่มีทางเสียหรอก
“เป็นพ่อเองที่ติดค้างเจ้า หลังจากนี้พ่อจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดรังแกเจ้าอีก ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น” หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยความประหม่า
หลินหลันรู้สึกอึดอัดใจ เขาไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจคำพูดของนาง แต่ยังคงแสร้งไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนั้นหรือ คำก็บิดา สองคำก็บิดา ช่างมีหนังหน้าที่หนาพอตัวเลยทีเดียว
“คือว่า ให้พ่อได้เจอะเจอฮานเอ๋อร์ได้หรือไม่ เนิ่นนานมากแล้วที่ไม่ได้เจอะเจอ คะนึงถึงจะแย่” หลินจื้อย่วนปั้นหน้าหนากล่าวขอร้อง
หลินหลันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นจำเป็นต้องถามพี่ชายข้า ท่านรีบกลับไปเถอะเจ้าค่ะ! ข้าเหนื่อยมากแล้วจริงๆ”
หลินจื้อย่วนจนปัญญา จึงทำได้เพียงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวลา แต่ยังอดกำชับยกใหญ่อีกครั้งไม่ได้ ว่าต้องระมัดระวังเข้าไว้อะไรทำนองนี้
เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เป็นวันก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ยิ่งใกล้สิ้นปีมากขึ้นเท่าใด ในใจหลินหลันยิ่งร้อนรุ่ม ยิ่งระยะเวลายืดเยื้อออกไป ก็ยิ่งไม่ดีต่อแนวโน้มสถานการณ์ ตั้งแต่นายหญิงบอกกล่าวคำพูดเหล่านั้นไว้ แม่โจวจึงคอยสังเกตสีหน้าอาการของนายหญิงสะใภ้รองในทุกๆ วันเป็นพิเศษ เห็นนายหญิงสะใภ้รองหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดทั้งวัน ในใจนางก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง เพราะเกรงว่าเรื่องราวที่นายหญิงสะใภ้รองกังวลจะกลายเป็นจริง
แม้จะเป็นวันก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ทว่าบรรยากาศในเมืองหลวงต่างเงียบเหงา ร้านค้าเปิดทำการเพียงไม่กี่ร้าน แล้วยังเป็นของที่ค้างมานานแล้วอีกด้วย ดังนั้นการจะเลือกซื้อของสดใหม่ตามท้องถนน จึงเป็นอะไรที่พบเห็นได้น้อยนัก มีเพียงความเงียบเชียบหลงเหลือเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนที่เดินผ่านไปมายังไม่มากเท่าเจ้าหน้าที่ทหารลาดตระเวนเลยด้วยซ้ำ ทางราชสำนักจัดพิธีไว้อาลัยระดับประเทศชาติบ้านเมือง เพื่อแสดงถึงความเศร้าโศกและคะนึงถึง ผู้ใดจะกล้าฉลองปีใหม่อย่างรื่นเริงสำราญใจในเวลาเช่นนี้อีกหรือ
ฉลองปีใหม่อย่างเรียบง่ายได้ เพียงแต่ต้องไม่มีโคมไฟอะร้าอร่าม ไม่มีอาหารหลากหลายอุดมสมบูรณ์ ไม่มีเสื้อผ้าชุดใหม่ที่งดงามสะดุดตา ทว่าแม่เหยายังคงนำข้ารับใช้ในจวนปัดกวาดเช็ดถู ขจัดสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่ ทำความสะอาดในจวนจนสะอาดเอี่ยม ดูใหม่ขึ้นในพริบตา ยามราตรีก็ทำพิธีบูชาเทพเจ้าตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยมีหลี่หมิงเจ๋อเป็นผู้นำ เฉิงเซวียนถือเป็นหลานชายคนโตของครอบครัวที่สองแห่งตระกูลหลี่ จึงมีแม่นมอุ้มร่วมประกอบพิธีอยู่ด้านข้าง หลังพิธีกรรมเสร็จสิ้น หลินหลันจึงให้แม่เหยาเตรียมสุราอ่อนๆ และอาหารเจจำนวนหนึ่ง ให้ทุกคนได้รับประทานพร้อมหน้าพร้อมตากัน ถือว่าเป็นการเฉลิมฉลองวันก่อนวันส่งท้ายปีเก่า
ระหว่างงานเลี้ยงทุกคนล้วนพยายามไม่เศร้าโศก ทว่าในจิตใจไม่รู้สึกถึงความสุขเลยแม้แต่น้อย จึงส่งผลไม่อาจเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าได้เช่นกัน นอกจากหยอกเย้าเฉิงเซวียน ทุกคนต่างไม่รู้ว่าควรพูดอะไร มื้ออาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันมื้อหนึ่ง แต่ด้วยจำนวนคนที่ไม่พร้อมหน้าพร้อมตา ไม่มีกะจิตกะใจ จึงพากันแยกย้ายแต่หัววัน
เมื่อกลับเข้าไปในห้อง หลินหลันเข้าไปนั่งอยู่ในห้องหนังสือ พลิกผลงานประดิษฐ์ตัวอักษรของหมิงอวินที่ทิ้งไว้ดูทีละแผ่น ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่หรูอี้จัดระเบียบรวบรวมไว้เมื่อยามทำความสะอาดในช่วงกลางวัน โดยเฉพาะของเหล่านี้ อักษรที่ถูกหมิงอวินทิ้งแล้ว แต่นางก็เก็บมันกลับขึ้นมา แล้วคลี่มันให้ราบเรียบอย่างระมัดระวัง นึกย้อนกลับไปในยามที่นางและหมิงอวินยังไม่เป็นสามีภรรยากันจริงๆ นางมักคิดแต่ว่าจะกอบโกยผลประโยชน์ได้เท่าใด และเมื่อครบกำหนดสัญญา จะได้เงินก้อนโตสักก้อน มาเปิดร้ายขายยาเล็กๆ สักร้าน ตอนนั้น ความปรารถนายิ่งใหญ่ที่สุดของนางก็คือการได้เปิดร้านขายยา จากนั้นหาบุรุษธรรมดาๆ สักคนที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้และมีอุปนิสัยโอบอ้อมอารีมาแต่งงานเป็นคู่ครอง คาดไม่ถึงเลยว่าการแต่งงานจอมปลอมของนางและหมิงอวินจะกลายเป็นเรื่องจริง ต่างฝ่ายต่างมีความรักลึกซึ้งให้กันและกัน ยามนี้ นางมีเงินทองมากมายเพียงนั้นแล้ว อยู่อาศัยในบ้านหลังใหญ่โต สวมเสื้อผ้าเนื้อดีงดงาม เบื้องบนปราศจากแม่สามีผู้ชั่วร้ายที่คอยรังควาน เบื้องล่างปราศจากน้องสาวสามีก่อกวน จึงคิดว่าความยากลำบากได้ผ่านพ้นไปแล้ว และจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียที แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดมากมายเพียงนี้ นางยังไม่ทันได้มีบุตรของนางกับหมิงอวินด้วยกันเลยด้วยซ้ำ…
หลินหลันรู้สึกปวดร้าวในใจ ดวงตาสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าว หากยังไม่สายเกินไป หากยังมีโอกาส นางจะไม่ยอมให้หมิงอวินไปข้องเกี่ยวกับราชสำนักเป็นอันขาด นางยินยอมกลับไปยังเฟิงอาน แค่อยู่อาศัยกันในกระท่อมที่หมู่บ้านเจี้ยนซี ใช้ชีวิตชมนกชมไม้ไปวันๆ พอตกเย็นก็ไปริมน้ำตกปลา ฤดูร้อนที่เรียบง่าย เพลิดเพลินไปกับธรรมชาติ ขณะดื่มสุราหมักดอกท้อ สดับฟังบทกลอนที่เขารังสรรค์ ฤดูใบไม้ร่วงค่อยพากันไปปีนเขา และชื่นชมหิมะขาวในฤดูหนาว นั่นมันสุขสบายปานสรวงสวรรค์ มีอิสระไร้ความกังวล เช่นนั้นต่างหากคือชีวิตที่นางต้องการ!
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ดึกมากแล้ว นอนเถอะเจ้าค่ะ!” หยินหลิ่วยกน้ำชามาให้ พลางกล่าวเร่งเร้าเสียงบางเบา
“หยินหลิ่ว ไว้รอพ้นปีใหม่แล้ว ข้าจะให้คนเลือกฤกษ์ดีให้ และช่วยจัดงานแต่งให้เจ้ากับศิษย์พี่ห้า” หลินหลันเก็บตัวอักษรฝีมือหมิงอวิน แล้วกล่าวอย่างเศร้าสร้อย
หยินหลิ่วกล่าวสวนขึ้นทันที “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ข้าน้อยยังอยากอยู่เป็นเพื่อนท่านให้นานอีกหน่อยเจ้าค่ะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขืนมัวชักช้าต่อไป เช่นนั้นก็เท่ากับข้าขัดคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับคนเขาแล้ว อีกอย่าง ต่อให้เจ้าไม่รีบร้อน ทว่ามีคนเขารีบร้อนอยู่ ข้าไม่อยากได้ยินคนเขาพร่ำบ่นคะนึงถึงอยู่เรื่อย”
หยินหลิ่วถึงกับหน้าแดงก่ำขึ้นมา บนใบหน้าเสมือนเคลือบเอาไว้ด้วยประกายสว่างสดใส ภายใต้แสงเทียนสีนวล ช่างดูงดงามสะดุดตาเป็นพิเศษ
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ รอเอ้อร์เส้าเหยียกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะนะเจ้าคะ!” หยินหลิ่วก้มลงไปจุดธูปหอม ปกติแล้วนายหญิงสะใภ้รองไม่ชอบจุดธูปหอม ทว่าตอนนี้ ล้วนเคยชินกับการสูดดมกลิ่นธูปหอมเพื่อสงบจิตสงบใจ จึงจะฝืนหลับลงไปได้ หยินหลิ่วได้แต่ถอนหายใจอย่างเงียบๆ นางตัดสินใจไว้แล้วว่า หากคุณชายรองไม่กลับมาแล้ว เช่นนั้นนางก็จะไม่แต่งงานไปชั่วชีวิต เพื่อจะได้อยู่เป็นเพื่อนนายหญิงสะใภ้รอง เพียงแต่นางไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำพูดออกไปในยามนี้ ด้วยเกรงว่าจะสร้างความเศร้าใจให้แก่นายหญิง
หลินหลันเหม่อลอยไปเล็กน้อย หมิงอวินจะกลับมาเมื่อใด จะกลับมาได้หรือไม่ บางทีอาจเป็นพรุ่งนี้ อาจเป็นมะรืน หากก่อนปีใหม่ไม่กลับมา เกรงว่าก็คงไม่กลับมาอีกแล้วกระมัง ทันใดนั้นหัวใจของนางก็หดเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง