ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 306 ชื่อเสียงที่ได้มาหลังจากเสียชีวิต
หลังอวี้หลงแต่งงานแล้ว หลินหลันคิดอยู่ว่าหยินหลิ่ว หรูอี้ และคนอื่นๆ ล้วนตั้งใจทำงานขยันขันแข็ง จึงยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มแรงงานคนเป็นการชั่วคราว ทว่ายามนี้หยินหลิ่วใกล้จะแต่งงานออกไปแล้ว หรูอี้ก็ใกล้ถึงวัยอันสมควรแล้วด้วยเช่นกัน จิ่นซิ่วยังเด็กกว่าหน่อย แต่ก็อีกแค่สามปีเท่านั้น แม่โจวยิ่งแล้วใหญ่ ด้วยอายุที่สูงวัยขึ้นเรื่อยๆ จะให้นางเหน็ดเหนื่อยลำบากเพียงนี้ หลินหลันก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน
หลินหลันเป็นคนหนึ่งที่ช่างจดจำเรื่องราวเก่าๆ แม้นางรู้ดีว่าคนที่แม่โจวเลือกมาจะต้องยอดเยี่ยมเป็นแน่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนแปลกหน้า หากต้องทำความเข้าใจกันไปจนถึงขั้นเข้าอกเข้าใจได้อย่างหรูอี้และคนอื่นๆ ก็จำเป็นต้องใช้เวลาไปอีกพักใหญ่ ทว่าเรือนหลั้วเซี๋ยจายจะไม่นำสาวใช้ชุดใหม่เข้ามาก็ไม่ได้เช่นกัน
ช่วงเช้าตรู่ หลินหลันเอ่ยถึงเรื่องนี้ในยามที่ไปเยี่ยมติงหลั้วเหยียน ติงหลั้วเหยียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง นางจึงกล่าวขณะจัดเก็บเสื้อผ้าของลูกน้อย “ทางเรือนหลั้วเซี๋ยจายควรรับคนเข้ามาตั้งนานแล้ว บ้านเรือนใหญ่โต รวมแม่ครัวและคนงานทำเรื่องจิปาถะถะทั่วไปมีเพียงเก้าคนเอง นี่มันเพียงพอที่ไหนกัน อย่าว่าแต่เจ้าที่เป็นถึงนายหญิงสะใภ้รองแห่งจวนหลี่เลย ต่อให้เป็นคุณหนูในครอบครัวร่ำรวยทั่วไป มีผู้ใดบ้างที่ไม่มีสาวใช้คอยห้อมล้อมปรนนิบัติ เมื่อก่อนด้วยสภาพการณ์ในจวนตกระกำลำบาก ก็เลยอดทนประคับประคองกันไปก่อน ยามนี้เจ้าเป็นถึงภรรยาของราชเลขากรมคลัง ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ตนเองลำบากเช่นนี้ ในเมื่อยามนี้ภายในจวนขาดแคลนกำลังคน ก็ให้แม่เหยาช่วยจัดการเรื่องนี้เสีย ให้นายหน้าจัดหาสาวใช้ที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาและมีไหวพริบดีมาให้ จากนั้นเจ้าก็เลือกเสียก่อน ส่วนที่เหลือก็ให้ทำงานอยู่ภายในจวน”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะต้องสร้างภาพลักษณ์เหล่านั้นมาทำไมกันเจ้าคะ ยิ่งมากคนก็ยิ่งหาความสงบมิได้ แค่เพียงพอต่อการใช้งานก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มเชิงตำหนิ “เจ้านี่นะ! สนใจแต่ความสงบเงียบของตนเอง ไม่นึกถึงข้ารับใช้ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกันสายตัวแทบขาด คนในเรือนเจ้าผู้ใดบ้างมิใช่ได้เงินเดือนหนึ่งเดือน ทว่าแผนการทำงานช่างราวกับสำหรับสองคนทำ ด้านนอกที่เขาไม่รู้เรื่องรู้ราว ยังจะคิดได้ว่าเจ้าไม่เห็นใจข้ารับใช้บ้างเลย!”
หลินหลันเบิกตาโต และเอ่ยแก้ต่าง “มีที่ไหนกันเจ้าคะ นายหญิงที่ใจกว้างเพียงนี้อย่างข้า ถือว่าพบเจอได้น้อยคนนักนะเจ้าคะ”
ติงหลั้วเหยียนหลุดหัวเราะ แล้วกล่าว “ใช่ๆๆ เจ้าใจกว้างมากที่สุด ช่วยตระเตรียมงานแต่งให้สาวใช้คนหนึ่งจนแทบจะเทียบเท่าคุณหนูแล้ว ข้าเลยติดร่างแหไปตามๆ เจ้า หงซางของข้านี่ก็เลือกคนแล้ว ข้ายังกลัดกลุ้มอยู่เลยว่าจะเตรียมสินเดิมให้นางเท่าไหร่ถึงจะดี!”
“พวกเราไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างทารุณเสียหน่อย นี่ก็แค่เป็นความตั้งใจส่วนตัวที่อยากทำให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง มีอันใดให้น่าลำบากใจกันเจ้าคะ หยินหลิ่วแต่งกับศิษย์พี่ของข้า ข้าเห็นแก่หน้าศิษย์พี่ ข้าจะมัวตระหนี่ถี่เหนียวอยู่ก็มิใช่เรื่อง ใช่หรือไม่เจ้าคะ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
ติงหลั้วเหยียนยิ้มเล็กยิ้มน้อย หลินหลันใจกว้างมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อย สองปีมานี้นำเงินส่วนของตนเองมาเพิ่มเติมไม่รู้เท่าใดเพื่อรักษาบ้านนี้ไว้ให้คงอยู่ ทำให้นางเกิดความละอายใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“พอเอ่ยถึงเรื่องที่หยินหลิ่วจะแต่งงาน ข้าก็นึกถึงเรื่องของหมิงจูขึ้นมาได้ ข้าว่านางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า หากท่านพ่อสามีกลับมา นางจะไปเป็นแม่ชีจริงๆ แม้ว่าเมื่อก่อนนางกระทำเรื่องเหลวไหล ทั้งยังนิสัยเอาแต่ใจไม่น้อย ทว่าปัจจุบันนางก็ปรับปรุงนิสัยได้แล้ว อยู่ในความสงบไม่มีปากมีเสียง ซึ่งก็ใกล้เคียงกับการเป็นแม่ชีเข้าไปเรื่อยๆ เช่นกัน เฮ้อ…จะว่าไป นางก็เป็นคนที่น่าสงสารเหลือเกิน” น้ำเสียงของติงหลั้วเหยียนอ่อนลง พร้อมกับสีหน้าที่หดหู่อย่างเห็นได้ชัด
หากเอ่ยถึงหมิงจูเมื่อก่อน หลินหลันจงเกลียดจงชังนางยิ่งนัก ทว่าอย่างที่ติงหลั้วเหยียนกล่าว หมิงจูในยามนี้ ช่างน่าสงสารไม่น้อยจริงๆ จะให้หมิงจูยอมให้อภัยพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย ไม่สู้ตัดสินใจไปเป็นแม่ชีจะดีเสียกว่า หลินหลันจึงรู้สึกเลื่อมใสนางในประเด็นนี้อยู่เล็กน้อย
“ถึงอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวสามีของพวกเรา เราคงไม่อาจมองดูนางเข้าสู่ประตูแห่งความว่างเปล่า และเผชิญความอ้างว้างเดียวดายหน้าตาเฉยไปได้กระมัง น้องสะใภ้ เจ้ามีความนึกคิดมากมาย ช่วยคิดหาวิธีให้เป็นไปด้วยดีทั้งสองฝ่ายได้หรือไม่” ติงหลั้วเหยียนกล่าวขอร้องด้วยความเศร้าใจ
หลินหลันครุ่นคิด คงต้องเป็นเพราะหมิงเจ๋อห่วงใยน้องสาวคนนี้อย่างยิ่ง เลยมาพร่ำพรรณนาความรู้สึกเศร้าโศกต่อหน้าติงหลั้วเหยียนไว้ไม่น้อยเป็นแน่
“วิธีการที่จะให้เป็นไปด้วยดีทั้งสองฝ่าย พูดเหมือนง่ายดายเลยนะเจ้าคะ หมิงจูตัดสินใจแล้วว่าไม่ขอรับคนผู้นี้เป็นบิดาอีกแล้ว ทว่าตอนนี้พี่ใหญ่และหมิงอวินเป็นขุนนางในราชสำนัก จะไม่สนชื่อเสียงก็คงมิได้ หากไม่ให้พ่อสามีกลับมา…” หลินหลันกล่าวด้วยความลำบากใจ
“ก็นั่นน่ะสิ หากพูดน่าเกลียดหน่อย ในใจพี่ใหญ่เจ้าจะไม่โกรธแค้นได้หรือ ครอบครัวที่อยู่กันดีๆ เกือบถูกเขาทำลายจนสิ้นซากไปเสียแล้ว” ติงหลั้วเหยียนถอนหายใจด้วยความจนปัญญา
หลินหลันครุ่นคิดชั่วขณะ แล้วกล่าว “หรือไม่ช่วยหมิงจูหาครอบครัวสามีที่พึ่งพิงได้เถอะเจ้าค่ะ!”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ทว่าเจ้าก็รู้อยู่ว่าหมิงจูนาง...จะมีผู้ใดเขาต้องการสตรีที่ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้หรือ ต่อให้พวกเราปิดบังไว้แล้วให้นางแต่งเข้าไป หากหมิงจูไม่ตั้งครรภ์เสียที เกรงว่าการใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวสามีก็คงไม่สุขสบายไปได้เช่นกัน”
“หรือว่า…หาสักคนที่มีบุตรชายบุตรสาวแล้ว ก็คงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับปัญหาทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูลหรอกกระมัง” หลินหลันบ่นพึมพำ
ติงหลั้วเหยียนตกตะลึงไปชั่ววูบ คิ้วงามที่คลายออกจากกันก่อนหน้าขมวดชนกันอีกครั้ง “ความหมายของเจ้าคือ ให้หมิงจูแต่งกับพ่อหม้ายหรือ ข้าเกรงว่าหมิงจูที่มีความทะนงตนเพียงนั้นจะไม่ตอบตกลงน่ะสิ”
หลินหลันกล่าว “แต่ทางเดียวที่หมิงจูมีคือการแต่งกับใครสักคนที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องทายาทสืบตระกูลนะเจ้าคะ! แต่งกับพ่อหม้ายแล้วอย่างไรหรือ ขอเพียงสามีรักใคร่เอ็นดูนาง ก็จะได้มีชีวิตที่สุขสบายเช่นเดียวกัน นี่ถึงเป็นทางออกระยะยาวอย่างไรล่ะ” หลินหลันอดนึกถึงนางเฝิงขึ้นมาไม่ได้ขณะกล่าว นางเฝิงก็แต่งกับพ่อหม้ายเช่นกัน ทว่าตาผู้เฒ่านั่นรักและโปรดปรานนางเสียยิ่งอะไรดี ข้างกายไม่มีอนุภรรยาโผล่มากวนใจแม้แต่คนเดียว เมื่อคิดดูเช่นนี้ ภายในใจจึงเกิดความรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาเสียดื้อๆ ท่านแม่ผู้น่าสงสาร…บางทีหมิงอวินอาจพูดถูก ความรู้สึกระหว่างตาผู้เฒ่ากับท่านแม่อาจมีเพียงสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา หาได้รักใคร่ซึ่งกันและกันมากมายไม่
“เช่นนั้นก็ได้ เรื่องนี้ พวกเราเก็บใส่ใจไว้หน่อยแล้วกัน ดูๆ ว่าพอจะมีคนที่เหมาะสมหรือไม่ ส่วนหมิงจู ข้าจะไปพูดเกลี้ยกล่อมนางเอง” ติงหลั้วเหยียนคิดไปคิดมา ก็มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นแล้วเช่นกัน
“จริงสิ ข้าได้ยินหมิงอวินเอ่ยว่า เรื่องราวของท่านพ่อท่านมีการพลิกผัน” หลินหลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
บนใบหน้าติงหลั้วเหยียนปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง นางพยักหน้าและส่งเสียง อืม “รบกวนท่านใต้เท้าเจียงแห่งกรมราชทัณฑ์ พยายามช่วยท่านพ่อข้าสะสางเรื่องราวจนบริสุทธิ์แล้วละ จะว่าไป ใต้เท้าเจียงก็เห็นแก่หน้าน้องรองด้วยเช่นกัน หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ท่านพ่อข้าก็จะออกมาได้แล้ว ส่วนเรื่องกลับไปรับตำแหน่งขุนนางดังเดิมนั่น คงเลิกคิดไปได้เลย ขอเพียงได้กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีมากแล้ว”
หลังตระกูลติงได้รับการเพิกถอนคำสั่งห้ามต่างๆ นานา ติงฮูหยินก็แวะเวียนมาที่จวนอยู่หลายครั้ง หลินหลันได้เจอะเจอบ้างเช่นกัน ซึ่งนางปฏิบัติต่อหลินหลันอย่างเกรงใจเสียยิ่งอะไรดี แต่นั้นก็เพราะอยากขอร้องหมิงอวินให้ช่วยสามีของนางเท่านั้นเอง หลินหลันจึงบอกกล่าวหมิงอวินเป็นการเฉพาะว่า จะให้ช่วยเหลือก็ช่วยได้ ทว่าให้ติงฮูหยินไปขอร้องหมิงเจ๋อด้วยตนเอง หากไม่ใช้โอกาสนี้โต้กลับนางเสียบ้าง ไม่สั่งสอนติงฮูหยินคนหัวสูงผู้นี้ให้ดีๆ ชั่วทั้งชีวิตของหมิงเจ๋อก็เลิกคิดเชิดหน้าชูตาได้เต็มที ดีไม่ดีคนเขายังจะเข้าใจเป็นว่ามันคือสิ่งที่ควรกระทำอยู่แล้ว
“เช่นนั้นก็ดี พี่สะใภ้จะได้สบายใจด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ติงหลั้วเหยียนอมยิ้มเล็กน้อย จากนั้นนำเสื้อผ้าเด็กเล็กที่จัดเรียงเรียบร้อยแล้วส่งให้หลินหลัน แล้วกล่าว “ข้าได้ยินว่าจื่อชิ่งตั้งครรภ์แล้ว ของเหล่านี้ข้าทำขึ้นมาใหม่ ทำเผื่อของเจ้าไปด้วยส่วนหนึ่ง วันมะรืนพวกเราไปจวนเฉินเพื่อเยี่ยมเยียนนางกันเถอะ” ติงหลั้วเหยียนรู้ดีว่าหลินหลันไม่ถนัดงานเย็บปักถักร้อยเท่าใด จึงช่วยทำในส่วนของนางรวมไปด้วยเสียเลย
หลินหลันชำเลืองมองเสื้อผ้าตัวเล็กๆ เหล่านั้น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ช่างเข้าอกเข้าใจข้าจริงๆ ตกลงเจ้าค่ะ วันมะรืนข้าต้องไปช่วยตรวจจับชีพจรให้จื่อชิ่งพอดีเชียว พี่สะใภ้ไปพร้อมข้าเลยแล้วกันเจ้าค่ะ!”
หลังออกมาจากเรือนเวยอวี่ อวิ๋นอิงกำลังยืนรออยู่ที่ปากประตู แล้วกล่าวว่าพี่ชายของนายหญิงสะใภ้รองมาเยือน
หลินหลันจึงเดินมุ่งไปยังโถงรับแขกส่วนหน้า และได้พบหลินเฟิง “ท่านพี่ ยามนี้ท่านควรจะอยู่ที่สำนักลาดตระเวนประจำเมืองมิใช่หรือ เหตุใดถึงมาที่นี่ได้ล่ะเจ้าคะ”
หลินเฟิงกล่าว “ก็ตาผู้เฒ่า…ก็แม่ทัพหลินบังคับให้ข้ามาบอกกล่าวเจ้าว่า ได้ทูลขออวยยศให้ท่านแม่แล้ว พรุ่งนี้ฮ่องเต้ก็จะประกาศให้พวกเราเข้าวังด้วย เดิมทีเขาจะส่งคนมาแจ้งให้เจ้าทราบ แต่ข้ายับยั้งไว้ แล้วมาด้วยตนเองจะดีกว่า น้องพี่ เจ้าว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ”
หลินหลันกล่าวอย่างหงุดหงิด “ชื่อเสียงที่ได้หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว มันก็แค่การกระทำให้คนที่มีชีวิตอยู่ได้มองเห็นเท่านั้น ที่เขาทำเช่นนี้ก็ด้วยคิดจะเอาใจพวกเรา และก็เพื่อทำให้ตัวเขาเองสบายใจ”
หลินเฟิงดูลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “จะพูดอย่างนั้นก็ถูก แต่เขาไม่ได้ทูลขออวยยศให้นางเฝิง แต่ทูลขออวยยศให้ท่านแม่พวกเราเท่านั้น…น้องพี่ ข้าคิดว่า การที่พวกเราดื้อดึงเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องดีนักเช่นกัน”
หลินหลันหรี่ตามองเขา “ท่านใจอ่อนแล้วหรือ เหยาจินฮวาคงพร่ำบ่นข้างหูท่านทุกวันใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หลินเฟิงรีบโบกมือเป็นระวิงทันที “เปล่าสักหน่อย ตอนนี้เหยาจินฮวาไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องของจวนแม่ทัพแม้แต่คำเดียว ข้าเพียงแค่คิดว่า การที่เขาทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นความจริงใจโดยแท้จริงอย่างหนึ่ง”
หลินหลันนิ่งเงียบ ตามจริงเรื่องที่เขาทำเพื่อนางในยามที่หมิงอวินตกอยู่ในอันตราย คำพูดเหล่านั้นที่เอื้อนเอ่ยก็ทำให้นางซาบซึ้งใจอยู่เล็กน้อยเช่นกัน นางเคยคิดอยู่ว่า เรื่องจะไปมาหาสู่กันอย่างคนสนิทสนมคงไม่ขอเอ่ยถึง จากนี้หากพบเจอกันก็ให้ความเกรงใจสักหน่อยเป็นพอ ทว่าจะให้นางยอมรับบิดาผู้นี้ เรียกเขาว่าท่านพ่อ นั่นมันเป็นอะไรที่สร้างความลำบากใจให้แก่นางเกินไป นางไม่อาจก้าวข้ามสิ่งกีดขวางในใจนี้ได้!
“อีกอย่าง เท่าที่ข้ารู้มา เขาป่าวประกาศที่บ้านเกิด ตัดขาดความสัมพันธ์พี่น้องกับป้าใหญ่ เขายังกล่าวอีกว่า เมื่อมีพระราชโองการแต่งตั้งมาแล้ว จะต้องไปเฟิงอานสักครั้ง เพื่อเคลื่อนย้ายกระดูกของท่านแม่มายังเมืองหลวง น้องพี่ เจ้าว่าทั้งหมดที่เขาทำนี้ ขืนพวกเราดื้อดึงต่อไป เกรงว่าจะพานให้คนนอกกล่าวว่าพวกเราเอาได้” หลินเฟิงสังเกตสีหน้าของน้องสาว ขณะกล่าวอย่างระมัดระวัง
เห็นทีว่าจิตใจของพี่ใหญ่จะเอนเอียงไปทางตาผู้เฒ่าเสียแล้ว หลินหลันจึงถอนหายใจออกมาบางเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง แล้วกล่าว “ท่านพี่ หากท่านเกรงกลัวว่าด้านนอกจะพากันติฉินนินทา ท่านจึงจะยอมรับ ท่านก็ยอมรับไปเถิด ทว่าข้าหวังว่าหลังอัญเชิญป้ายวิญญาณของท่านแม่มาแล้ว ท่านจะรับมาไว้ในบ้านของตนเอง เช่นนี้แล้ว ฉลองเทศกาลใดๆ ข้ายังไปไหว้คารวะที่บ้านท่านได้”
“น้องพี่ ป้ายวิญญาณของท่านแม่ ข้าต้องอัญเชิญเข้าสู่บ้านข้าอยู่แล้ว เพียงแต่ที่เจ้าเอ่ยว่าข้าจะยอมรับเขาเป็นบิดา ก็ยอมรับไปเถิด มันหมายความว่าอันใดหรือ ข้าเคยเอ่ยไว้แล้วว่าเรื่องนี้พวกเราพี่น้องจะต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียว เจ้าไม่ยอมรับข้าก็ไม่ยอมรับเช่นกัน” หลินเฟิงวางมาดจริงจัง พร้อมกับท่าทีแน่วแน่เด็ดขาดอย่างยิ่ง
ทว่าหลินหลันเข้าใจดีว่า ในจิตใจของหลินเฟิงไม่ได้แน่วแน่เด็ดขาดแต่อย่างใด ที่เขาพูดเช่นนี้ ก็แค่กลัวว่านางจะโกรธเคืองเท่านั้นเอง
“ท่านพี่ ข้าเข้าใจความลำบากใจของท่าน ท่านเป็นขุนนางในราชสำนัก ต้องคำนึงถึงเรื่องต่างๆ มากมายด้วยเช่นกัน ไม่เหมือนข้าที่เป็นแค่สตรีธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ต้องเกรงกลัวชาวบ้านจะติฉินนินทาว่าไร้คุณธรรมจริยธรรม ข้าพูดจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านคิดจะยอมรับก็รับไป มิต้องสนใจข้าหรอก” หลินหลันกล่าวอย่างจริงจัง
ยิ่งหลินหลันพูดเยี่ยงนี้ หลินเฟิงยิ่งไม่สบายใจ ตอนแรกเขาอุตส่าห์รับปากไว้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับน้องสาว ยามนี้เขาดันจะยอมรับเองคนเดียว จึงทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นผู้หักหลัง
“น้องพี่ เรื่องนี้เจ้าไตร่ตรองดูอีกทีแล้วกัน ทว่าหากพรุ่งนี้ฮ่องเต้มีพระราชโองการมา เจ้าจะไปหรือไม่”
หลินหลันเลิกคิ้วพร้อมกับฉีกยิ้ม “พระราชทานยศให้ท่านแม่ข้าทั้งที ข้าจะไม่ไปได้อย่างไร แน่นอนว่าต้องไปสิเจ้าคะ” ชื่อเสียงและยศฐาอันดีงามหลังเสียชีวิตนี้ ไม่ว่าท่านแม่จะสนใจมันหรือไม่ นั่นก็เป็นสิ่งที่ท่านแม่ควรได้รับ นางจึงให้ความสำคัญกับมัน
หลินเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมานัดหมายเจ้า แล้วพวกเราค่อยเข้าวังไปพร้อมกัน”
ยามอิ๋น[1] หลี่หมิงอวินกลับบ้านตรงเวลา หลังเปลี่ยนเป็นชุดลำลองสีน้ำเงิน ถือถ้วยน้ำชาร้อนๆ ดูเหมือนผ่อนคลายสบายใจ ทว่าสีหน้ายังคงเผยให้เห็นถึงความกังวลเล็กน้อย โดยจ้องมองหลินหลันอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ
ท่าทีทั้งหมดนั้นไม่เล็ดรอดไปจากสายตาของหลินหลัน นางเพียงแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ต้องคิดให้มากมายก็พอรู้ได้ว่าหมิงอวินอยากพูดอะไร แต่เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะเริ่มเอ่ยปากอย่างไร ทว่านางไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้วจริงๆ
“หมิงอวิน เจ้าว่าเสื้อเด็กเล็กนี่สวยหรือไม่” หลินหลันคลี่ของขวัญที่ติงหลั้วเหยียนช่วยทำให้นาง
หลี่หมิงอวินพยักหน้าอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “สวย”
“แล้วก็ยังมีตัวนี้ด้วย มันทำขึ้นจากผ้าไหมที่เนื้อบางเบาที่สุด ไว้สวมใส่ช่วงฤดูร้อน คงเย็นสบายเสียยิ่งอะไรดี...” หลินหลันเอ่ยพึมพำกับตนเอง
ท้ายที่สุดหลี่หมิงอวินก็ไม่อาจอดกลั้นได้ จึงเอ่ยปากอย่างสองจิตสองใจ “แม่ทัพหลินทูลขออวยยศขั้นสี่ให้แม่ยายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
[1] ยามอิ๋น เป็นช่วงเวลาระหว่าง 15.00 – 17.00 น.