ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 313-2 ย้ายบ้าน
หลินหลันสงสัยอย่างยิ่งว่า ยาที่บรรเทาอาการอาเจียนในสตรีตั้งครรภ์ได้ มันออกฤทธิ์ขึ้นกับสภาพจิตใจของคนเราใช่หรือไม่ เหตุใดถึงใช้กับนางไม่ได้ผลเลยสักนิด จึงยังคงมีอาการเช่นเดิม รับประทานอะไรก็อาเจียนออกมาหมด เป็นต่อเนื่องอยู่หลายวัน เรียกได้ว่าอาเจียนมากกว่ารับประทานเข้าไปด้วยซ้ำ หลินหลันอดเป็นกังวลไม่ได้ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป เด็กในครรภ์จะต้องหิวแย่แน่ รับประทานไม่ลงนั่นเป็นปัญหาแรก หลังตั้งครรภ์ จมูกก็เปลี่ยนเป็นไวต่อกลิ่นอย่างยิ่ง ใครรับประทานอะไรมา เพียงแค่นางเข้าใกล้ก็จะได้กลิ่นทั้งสิ้น ทำให้ทุกคนที่เข้ามาในห้องของนางล้วนต้องบ้วนปากเสียก่อน จะให้มีกลิ่นแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ได้ ช่วงเทศกาลตวนอู่ แต่ละบ้านล้วนเสียบใบโกฐจุฬาลัมพา มีแต่ในห้องของนางที่ไม่ได้เสียบไว้ อย่างพวกถุงหอมยิ่งต้องขจัดออกไปให้หมดจด แม้แต่กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่บนเรืองร่างหมิงอวินหลังอาบน้ำก็ได้กลิ่นไม่ได้
ด้วยความที่รับประทานอะไรไม่ลง นางจึงไม่กระปรี้กระเปร่า วันทั้งวันได้แต่นอนซมเป็นผัก พอตกกลางคืนดันตาสว่างเสียยิ่งอะไรดี ท้องไส้หิวจนปั่นป่วน รู้สึกราวกับจะบประทานวัวทั้งตัวได้ แต่พอทางห้องครัวลงมือทำข้าวปลาอาหารมาให้จริง เพียงได้กลิ่นก็อิ่มเสียแล้ว ตัวนางมีอาการแพ้ท้องรุนแรง พานให้หมิงอวินไม่ได้นอนหลับเต็มตาไปด้วยเช่นกัน กรอบดวงตาจึงดำคล้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลินหลันลูบหน้าท้องอย่างเป็นกังวล ไยลูกคนนี้ถึงทำกันได้ลงคอ คลอดออกมาจะเป็นหัวโจกจอมดื้อรั้นหรือไม่นะ
หลินหลันเกลี้ยกล่อมเขาให้ไปนอนที่ห้องปีกตะวันตกเสีย เพื่อจะได้ไม่ถูกนางรบกวน นางนอนกลางวันได้ แต่เขายังต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปว่าราชกิจ อีกทั้งทางด้านกรมคลังนั่นมีการงานมากมายต้องสะสาง จะปล่อยให้สภาพร่างกายและจิตใจไม่สมบูรณ์ไม่ได้ ทว่าหมิงอวินไม่ตอบตกลง โดยกล่าวทำนองว่า นางไม่ได้ตัวคนเดียว จะให้นางแบกรับความทรมานอยู่ลำพังไม่ได้ คำพูดดังกล่าวทำให้หลินหลันรู้สึกอุ่นใจ ในเมื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาเปลี่ยนใจไม่ได้ หลินหลันจึงทำได้เพียงปรับสภาพร่างกายตนเอง พยายามไม่นอนกลางวัน หาบางอย่างทำเพื่อเบี่ยงเบนความรู้สึกง่วงงุน
ตั้งแต่หลินหลันตั้งครรภ์ ติงหลั้วเหยียนแวะเวียนมาเยี่ยมนางทุกวัน รวมไปถึงหมิงจูก็มาด้วยเป็นครั้งคราว หมิงจูขอตัวอย่างเสื้อผ้าเด็กอ่อนของเฉิงเซวียนจากพี่สะใภ้ใหญ่ โดยกล่าวว่าต้องการทำเสื้อผ้าให้เด็ก
เห็นหมิงจูมีน้ำใจเช่นนี้ หลินหลันอดสะเทือนใจไม่ได้ หมิงจูรู้ดีว่าตนเองไม่มีโอกาสได้เป็นแม่คนแล้ว จึงชื่นชอบเด็กๆ อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นซานเอ๋อร์ ฮานเอ๋อร์ หรือเฉิงเอ๋อร์ นางล้วนเอ็นดูเสียยิ่งอะไรดี
วันนี้ติงหลั้วเหยียนมาตามลำพัง หลินหลันเพิ่งอาเจียนไปหมาดๆ เลยนอนขดตัวอยู่บนเตียงเพื่อพักผ่อน
“ข้าว่าพวกเราพี่สะใภ้น้องสะใภ้ช่างเหมือนกันจริงๆ แต่ดูแล้วข้าว่าเจ้าแพ้ท้องรุนแรงกว่าข้าในยามนั้นเสียอีก” ติงหลั้วเหยียนนั่งรำพึงรำพันอยู่บนเก้าอี้กลมหน้าเตียงนอน
“นั่นสิ! ไม่รู้เช่นกันว่าจะเป็นเช่นนี้ไปถึงเมื่อใด” หลินหลันกลัดกลุ้ม นี่ยังไม่ถึงสองเดือนเลยด้วยซ้ำ นางก็ผอมลงไปหลายกิโลกรัมแล้ว ผอมจนนางไม่กล้าส่องกระจกแล้วก็ว่าได้
“ตัวข้าเอง พอผ่านเดือนที่สี่แล้วถึงค่อยดีขึ้นมาหน่อย สตรีอย่างเราๆ นี่ตั้งครรภ์ทีก็ต้องทนทรมานใช่ย่อย” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความอ่อนใจ
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ไม่ใช่เสียทุกคน ท่านดูอย่างจื่อชิ่งสิเจ้าคะ นางสุขสบายดี อวบอิ่มมีน้ำมีนวล ใบหน้าดูสดใส”
“ความโชคดีประเภทนี้อิจฉาไปก็เท่านั้น หากตั้งครั้งทุกครั้งต้องเผชิญเช่นนี้ ข้าคงไม่กล้าตั้งครรภ์อีกแล้ว คิดๆ ดูแล้วยังกลัวไม่หายเลย” ติงหลั้วเหยียนกล่าวติดตลก
มีเพียงผู้ทีให้กำเนิดบุตร ถึงจะนำเรื่องนี้มาพูดติดตลกได้ ทว่าคนเหล่านั้นที่อยากให้กำเนิดบุตร แต่ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ พอได้ยินแล้วไม่รู้ว่าจะรู้สึกแย่เพียงใด หลินหลันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหมิงจูขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องของหมิงจู มีความคืบหน้าบ้างหรือไม่เจ้าคะ ลองคำนวณวันดู ท่านพ่อก็ใกล้จะกลับมาแล้วด้วย” หลินหลันเอ่ยถาม
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้ามาวันนี้ก็เพื่อปรึกษาหารือเรื่องนี้กับเจ้าด้วย”
หลินหลันดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “เชิญท่านว่ามาได้เลยเจ้าค่ะ”
“วันนั้นพอเจ้าเอ่ยถึง ข้าก็รบกวนให้แม่สื่อช่วยดูๆ ให้หน่อย ปรากฏว่าพอมีคนให้เลือกสรรอยู่จำนวนหนึ่ง ทว่าพี่ใหญ่เจ้าได้ฟังแล้วไม่พึงพอใจ หาไม่ใช่เพราะไม่ชอบที่บุรุษนั่นอายุมากไป ก็ไม่ชอบที่ครอบครัวเขามีอนุภรรยา เมื่อวานนี้ ข้าได้กลับไปที่บ้านท่านแม่ ระหว่างพูดคุยสัพเพเหระ ลูกพี่ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของบ้านข้าเขาเป็นหัวหน้าเขตเล็กๆ ในเจียงซี ปีนี้อายุยี่สิบเจ็ดปี คู่ครองเดิมจากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บเมื่อห้าปีก่อน และมีทายาทเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว คนในครอบครัวช่วยเขาหาสตรีให้หลายต่อหลายคน เขาล้วนไม่ถูกตาต้องใจ ด้วยกลัวว่าผู้ที่จะมาเป็นภรรยาคนถัดไปอาจรังเกียจบุตรชายเขา ทีนี้ ด้วยความที่มีผลงานอย่างดีติดต่อกันสามปีที่ผ่านมา ทางครอบครัวเขาเลยรบกวนข้า หวังว่าข้าจะให้พี่ใหญ่เจ้าช่วยหาตำแหน่งดีๆ สักตำแหน่งให้เขา คนผู้นี้ข้าเคยพบเจอมาก่อน แม้ไม่ได้หล่อเหลาถึงขั้นเทพบุตร แต่ก็มีหน้าตาที่ดูดีในระดับหนึ่งทีเดียว ข้ากำลังคิดว่า เกินกว่าครึ่งเขาคงเกรงว่าผู้จะมาเป็นภรรยาคนถัดไปของเขาหากมีบุตรขึ้นมา อาจทอดทิ้งบุตรชายของภรรยาเดิมเขา แต่หมิงจูมีบุตรไม่ได้ อีกทั้งยังรักใคร่เด็กๆ เพียงนั้น เขาจักต้องพึงพอใจแน่นอน ที่สำคัญคือ ทั้งที่คู่ครองเดิมเสียชีวิตไปแล้ว เขายังไม่เคยรับอนุภรรยาเลยสักคน แม้แต่สาวใช้ข้างห้องก็ไม่มี น่าจะเป็นบุรุษที่ประเสริฐคนหนึ่ง น้องสะใภ้ เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไรหรือ” ติงหลั้วเหยียนเอ่ยถาม
หลินหลันกล่าวขณะครุ่นคิด “หากเป็นดังที่ท่านว่าจริง เช่นนั้นเขาก็คงมีความรู้สึกรักใคร่อย่างลึกซึ้งต่อคู่ครองเดิมของเขามากทีเดียวเชียว”
“ต่อให้รักใคร่ลึกซึ้งมากเพียงใดแล้วอย่างไรหรือ ถึงอย่างไรก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป แต่ไหนแต่ไรมาได้ยินเพียงสตรีที่อยู่เป็นแม่หม้าย เมื่อใดกันที่เคยได้ยินว่าบุรุษยอมอยู่เป็นพ่อหม้ายเพื่อภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้ว หมิงจูแต่งออกไป ทั้งสองคนได้ใช้เวลาร่วมกัน นานวันไป ความรู้สึกต่อคู่ครองเดิมก็คงค่อยๆ เสื่อมคลายไปเช่นกัน” ติงหลั้วเหยียนกล่าว
คงต้องยอมรับว่าที่ติงหลั้วเหยียนพูดก็มีเหตุผลเช่นกัน บนโลกนี้จะมีบุรุษที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ้งสักกี่คนเชียว เรื่องของความรู้สึก ต่อให้ลึกซึ้งเพียงใดก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเวลาที่ค่อยๆ ละลายมัน
“อืม อุปนิสัยของคนผู้นี้น่าจะไม่เลว ทั้งยังเป็นญาติทางครอบครัวมารดาท่าน ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้เขาร้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลหลี่เรา หมิงจูมีพี่ชายสองท่านคอยคุ้มครองอยู่ เขาคงไม่กล้าปฏิบัติไม่ดีต่อหมิงจูเช่นกัน เช่นนั้นท่านลองถามไถ่เจตจำนงของทางด้านนั้นเสียก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ หากทางด้านนั้นมีเจตจำนงตรงกัน ก็นำมาพิจารณาดูได้เจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าว
“ข้ากำลังคิดเช่นนี้พอดี ท่านแม่ข้ากล่าวว่า เขาก็เพิ่งยอมเอ่ยปากออกมาว่าต้องการมีภรรยาใหม่ในสองปีมานี้เอง เราก็บอกไปว่า หมิงจูแต่งเข้าไป ก็จะไม่ให้กำเนิดบุตรแล้ว เขาคงต้องหวั่นไหวเป็นแน่” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความมั่นใจ
“จริงสิเจ้าคะ เรื่องของอวี๋อี๋เหนียง…” หลินหลันนึกถึงคำมั่นสัญญาที่ตนเองเคยให้ไว้กับอวี๋เหลียน ตอนนั้นรับปากไว้อย่างดิบดี แต่เรื่องนี้พอทำเข้าจริงมันกลับไม่ง่ายดายเลย หลักๆ เป็นเพราะสถานะของอวี๋เหลียน อนุภรรยาของอดีตใต้เท้ากรมคลัง การจะหาคู่ครองให้นี่มันไม่ง่ายดายเอาเสียเลย! แย่เกินไป นางเองก็ละอายแก่ใจ ที่ดีๆ เขาก็ไม่เห็นอวี๋เหลียนในสายตา จึงยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าตอนแรกให้ลุงใหญ่และอาสามเป็นผู้มีอำนาจให้หนังสือหย่าร้างแก่อวี๋เหลียนแล้ว ตอนนั้นใครหน้าไหนก็คาดไม่ถึงว่าพ่อผู้ไร้ยางอายยังสามารถกลับมาได้อีก เมื่อใดที่พ่อผู้ไร้ยางอายกลับมาแล้ว เขาต้องคิดว่าเรื่องนี้ไม่เป็นผลบังคับใช้แน่นอน เช่นนั้นอวี๋เหลียนก็คงแย่แน่ ชั่วชีวิตนี้ต้องอยู่เคียงคู่กับขันทีคนหนึ่งเช่นนั้นหรือ เช่นนั้นไม่เท่ากับใช้ชีวิตอย่างแม่หม้ายหรือไร เรื่องนี้จึงจำเป็นต้องรีบจัดการถึงจะดี
ติงหลั้วเหยียนกล่าว “เรื่องของอวี๋อี๋เหนียง หากไม่ใช่เจ้าช่างเลือก ก็คงจัดการเรียบร้อยไปนานแล้ว ข้าเองก็เคยแอบหยั่งเชิงความนึกคิดนางอยู่เช่นนั้น นางเข้าใจสถานะของตนเองดี จึงไม่ขอเลือกอะไรมากมาย เพียงแค่หาใครสักคนที่ซื่อสัตย์ต่อกัน ใช้ชีวิตไปอย่างสงบสุขก็เป็นพอ หากพูดอย่างตรงไปตรงมาหน่อยก็คือ จะอย่างไรก็ดีกว่าต้องอยู่กับ…กับพ่อสามีพวกเรา มิใช่หรือ”
หลินหลันยิ้มขมขื่น “ข้าก็แค่รู้สึกสงสารนาง เลยคิดแค่ว่าอยากหาคนดีๆ ให้นาง เห็นทีว่าเรื่องนี้จะยืดเยื้อไม่ได้เสียแล้ว ท่านช่วยจัดการให้หน่อยแล้วกัน เร่งจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ข้าคาดว่าอีกสองเดือนท่านพ่อก็คงกลับมาแล้วละ”
ยามราตรี หลินหลันพูดคุยกับหลี่หมิงอวินถึงสองเรื่องนี้ หลี่หมิงอวินเองก็เห็นความสำคัญของอุปนิสัยญาติครอบครัวติงผู้นั้น แม้ว่าคนเขายังคงมีความรู้สึกต่อคู่ครองเดิม นี่หมายถึงคนผู้นี้มีความทุ่มเทและจริงจัง บุรุษที่มีความทุ่มเทและจริงจัง ต่อให้ไม่อาจรักใคร่หมิงจูได้ทั้งหัวใจ ก็คงไม่ทำให้หมิงจูน้อยเนื้อต่ำใจเป็นแน่ ด้วยรู้สถานการณ์ของหมิงจูในปัจจุบันนี้ จึงเห็นว่านี่ก็เป็นคู่ครองที่ดีคนหนึ่ง ส่วนเรื่องของอวี๋เหลียน เป็นอะไรที่ค่อนข้างยุ่งยาก เขาคิดว่าหากจะหาตามเมืองหลวงคงยากที่จะเป็นไปได้ ใครจะกล้าแต่งอนุภรรยาของอดีตราชเลขากรมคลังกันล่ะ
“หรือไม่ข้าให้ท่านลุงเยี่ยช่วยๆ ดูให้หน่อย ท่านลุงทำกิจการค้าขายใหญ่โต คงรู้จักคนจำนวนมาก” หลี่หมิงอวินดื่มน้ำเปล่า แล้วจึงกล่าวขึ้น ตั้งแต่หลันเอ๋อร์ตั้งครรภ์ เขาไม่กล้าดื่มแม้แต่น้ำชาปี้หลัวชุนที่เป็นของโปรด ด้วยเกรงว่ากลิ่นของน้ำชาจะโชยเข้าประสาทรับกลิ่นของหลันเอ๋อร์ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เข้ามาในห้องนี้ จึงดื่มได้เพียงน้ำเปล่าเท่านั้น
“ก็คงต้องเป็นเช่นนี้แล้วละ แต่เรื่องนี้ต้องเร่งจัดการหน่อย มิเช่นนั้นคงไม่ทันการณ์ แล้วข้าก็จะกลายเป็นคนผิดคำพูด” หลินหลันกล่าว
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้อมรับค่ำสั่งขอรับ ข้าจะพยายามจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว จริงสิ มีของบางอย่าง เจ้าลองดูหน่อยสิ” หลี่หมิงอวินลุกขึ้น เดินไปหยิบสาส์นฉบับหนึ่งมาจากห้องหนังสือ
“นี่มันคืออันใดหรือ” หลินหลันเปิดออกดู เห็นว่าเป็นโฉนดบ้านฉบับหนึ่ง บริเวณพื้นนี้ตั้งอยู่แถวเฮ๋อฮวา ซึ่งใกล้กับจวนจิ้งปั๋วโหว์
“นี่มันคือ…”
“เดิมทีเรื่องนี้ควรปรึกษาหารือกับเจ้าตั้งนานแล้ว แต่ระยะนี้เจ้าไม่สบาย ข้าจึงเป็นคนตัดสินใจเอง บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่โหว์เหยียแนะนำ เดิมเป็นบ้านเก่าแก่ของผู้อาวุโสหยางเก๋อ พอองค์รัชทายาทถูกกำจัด เขาก็ติดร่างแหได้รับผลกระทบไปด้วย ฮ่องเต้เห็นแก่เขาที่อายุอานามมากแล้วจึงไม่ได้ถือสาเอาความอันใดมากมาย นอกจากบอกกล่าวให้เขากลับบ้านเกิดไปจะดีกว่า บ้านหลังนี้ก็เลยไร้ผู้อยู่อาศัย ข้าไปเดินดูมาแล้ว ด้านในแม้ไม่ถือว่าใหญ่โตโอ่อ่า แต่กลับสงบเงียบและมีความสง่างาม โดยเฉพาะสวนหลังบ้าน มีสระบัวที่ขนาดมากกว่าสิบแปลงงาน สภาพแวดล้อมงดงามอย่างยิ่ง เจ้าเห็นแล้วจักต้องถูกใจแน่นอน และไม่ต้องปรับปรุงอันใดอีกด้วย เพียงแค่จัดวางเครื่องเรือนให้เข้าที่เข้าทางสักหน่อยก็เข้าอยู่อาศัยได้แล้ว” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
หลินหลันกล่าวอย่างไม่มั่นใจ “ความหมายของเจ้าคือ เราจะย้ายออกไปหรือ”
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วเผยรอยยิ้มขณะจ้องมองนาง “หรือเจ้ายังคิดที่จะอยู่ร่วมชายคาเดียวกับท่านพ่อข้าล่ะ”