ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 315 ระบายความทุกข์
ฝูอานตอบตกลงอย่างไม่ลังเล หลินหลันจึงให้หลี่หมิงอวินไปบอกกล่าวท่านลุงเยี่ย เพื่อโยกย้ายพวกเขาทั้งครอบครัวมาอยู่ด้วย
การย้ายเข้าสู่บ้านใหม่วันนั้น ไม่ได้เอิกเกริกแต่อย่างใด ในเมื่อสิ่งของต่างๆ ขนย้ายไปไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ตอนนี้เพียงแค่คนเข้าไปอยู่อาศัยก็เป็นพอ เมื่อถึงเวลาฤกษ์งามยามดี ก็มีการจุดประทัดบริเวณปากประตูหลายเส้น
แม้ไม่ได้มีการเรียนเชิญแขกเหรื่อภายนอกเลยแม้แต่คนเดียว ทว่ายังคงมีบางส่วนที่ได้ยินข่าวคราว จึงมากล่าวแสดงความยินดีและอวยพร ทว่าทั้งหมดนั้นล้วนถูกหลี่หมิงอวินปฏิเสธไปทีละราย โดยกล่าวว่าภรรยากำลังตั้งครรภ์ ไม่สะดวกที่จะส่งเสียงดังรบกวนเกินไป ดังนั้นงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่จึงมีการจัดวางโต๊ะกินเลี้ยงเพียงหกโต๊ะ ซึ่งล้วนเป็นคนกันเองทั้งสิ้น
ระหว่างกินเลี้ยงสังสรรค์ ทุกคนพูดคุยหัวเราะเริงร่า จะมีก็แต่เหยาจินฮวาที่นิ่งเงียบบึ้งตึง ท่าทางราวกับมีเรื่องหนักอกหนักใจ หลินหลันจึงรู้ได้ทันทีว่าเรื่องราวได้รับการถ่ายทอดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันก่อนผู้ดูแลร้านของร้านผ้าไหมสกุลเยี่ย นำบัญชีที่เหยาจินฮวาติดค้างไว้ในสองเดือนมานี้ให้พี่ใหญ่ดู พี่ใหญ่ถึงกับเดินคอตกด้วยความเศร้าสร้อยและเดือดดาลมาหานางเพื่อยืมเงิน พี่ใหญ่ไม่ได้บอกกล่าวเหตุผล นางเองก็ไม่ถามไถ่เช่นกัน
นี่ยังเป็นเพียงขั้นแรกเท่านั้น ไว้ถึงเวลาเรื่องราวของการเล่นพนัน เหยาจินฮวาไถเงินผู้ใต้บังคับบัญชาของพี่ใหญ่ ค่อยๆ เปิดเผยออกมาทีละเรื่อง ต่อให้พี่ใหญ่เป็นพระอิฐพระปูน ก็ต้องระเบิดขึ้นมาได้กระมัง!
“หลินหลัน ช่างดีเหลือเกินที่เจ้าย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ เดิมทีข้าเอ่ยไว้ว่า จะเปิดประตูสักบานแถวสวนหลังบ้าน เราสองบ้านจะได้เสมือนครอบครัวเดียวกัน แต่กลับถูกโหว์เหยียเทศนาเสียยกใหญ่”
หลินหลันเผยรอยยิ้มงดงาม “เช่นนั้นก็ดีไปเลยเจ้าค่ะ ไปมาหาสู่กันจะได้สะดวกสบายขึ้นหน่อย มิเช่นนั้น เดินเข้าออกจากประตูหน้า ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูปเชียวเจ้าค่ะ”
เฉียวอวิ๋นซีหันไปกล่าวกับนางเฝิงด้วยความสุขใจ “เจ้าดูสิ ข้าก็ว่าแล้วหลินหลันจะต้องเห็นดีเห็นงามด้วยเป็นแน่”
นางเฝิงกล่าวด้วยความอิจฉาเบาๆ “เจ้าก็คงพอรู้อยู่กระมัง! ข้าอยากมาร่วมสนุกด้วย ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็ครึ่งชั่วโมงเชียวล่ะ!”
เผยจื่อชิ่งกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “พวกท่านก็คงพอรู้อยู่กระมัง! ยามนี้ กลายเป็นข้าที่อยู่ห่างไกลที่สุด อีกทั้งข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย ใครจะเห็นใจข้าบ้างเจ้าคะ”
ติงหลั้วหลั้วเหยียนชูจอกสุราขึ้น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “วันนี้เป็นวันขึ้นบ้านใหม่ของน้องสะใภ้ ข้าก็ไม่ขอบ่นโอดครวญใดๆ แล้วกัน ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่จะให้ความรู้สึกเสื่อมคลายไปเพราะเหตุนี้มิได้เชียว จากนี้ ต้องไปมาหาสู่กันให้ทั่วถึงให้มากๆ เข้าไว้”
หลินหลันถือจอกน้ำชาขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ หากท่านอยู่บ้านแล้วอุดอู้ ก็แวะเวียนมาพักที่นี่สักสองสามวันนะเจ้าคะ ไว้ร่างกายข้าดีขึ้นแล้ว ก็จะกลับไปเยี่ยมเยียนท่านบ่อยๆ เช่นกัน วันนี้ข้าขอดื่มน้ำชาแทนสุรา จากนี้ทุกคนไปมาหาสู่กันให้บ่อยๆ เข้าไว้ ที่บ้านข้านี้ยินดีต้อนรับทุกท่านเสมอเจ้าค่ะ”
ผู้คนพากันทยอยชูจอกสุราขึ้น มีเพียงเหยาจินฮวาที่ยังคงเผยสีหน้าตะลึงงัน นางเฝิงจึงชำเลืองมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จินฮวา เหตุใดเจ้าถึงไม่ดื่ม ทุกคนต่างชูจอกสุรากันหมดแล้ว”
เหยาจินฮวาถึงได้รีบชูจอกสุราขึ้นอย่างลนลาน
เพราะหลินหลันและเผยจื่อชิ่งต่างกำลังตั้งครรภ์อยู่ หลังทุกคนแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ กันแล้ว ก็พากันแยกย้าย ถึงอย่างไรก็มีเวลาให้พบปะสังสรรค์กันอีกยาวไกล!
หลินหลันเปิดบานหน้าต่างทิศใต้ มองดูสระบัวท่ามกลางยามราตรี แสงจันทร์สีเงินสาดส่อง สะท้อนคลื่นบนพื้นผิวสระน้ำสี่เหลี่ยมจัตุรัสสิบแปลงงาน เสมือนมีเพชรจำนวนนับไม่ถ้วนส่องแสงระยิบระยับ ท่ามกลางสายลมเอื่อยๆ มีกลิ่นหอมอ่อนของดอกบัว หลินหลันสูดลมหายใจเข้าลึก นี่มันช่างงดงามจริงๆ
จะว่าไปแล้วมันก็ประหลาดดีเหมือนกัน หลังตั้งครรภ์เป็นต้นมา นางก็ได้กลิ่นอะไรนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เลย แต่พอสูดดมกลิ่นของดอกบัวนี่ กลับไม่รู้สึกไม่สบายเลยสักนิด กลายเป็นว่าให้ความรู้สึกสดชื่นด้วยซ้ำไป
แขนคู่หนึ่งโอบนางไว้เบาๆ หลินหลันเอนกายเข้าหาแผงอกของเขา “บรรดาแขกเหรื่อไปกันหมดแล้วหรือ”
คางของเขาพาดอยู่บนมวยผมของนาง พลางให้คำตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไปกันหมดแล้ว เจ้าชอบที่นี่หรือไม่”
หลินหลันพยักหน้าพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ชอบมากเลยละ โดยเฉพาะสระบัวนี่”
“ตอนแรกข้าถูกใจที่นี่ก็เพราะตรงนี้ละ คิดว่าเจ้าจะต้องชอบมันแน่นอนเช่นกัน ตอนนี้เริ่มมีลมขึ้นมาบ้างแล้ว ข้าพาเจ้าไปเดินวนในสวนสักรอบดีหรือไม่”
“ที่นี่เป็นบ้านของข้าแล้ว จากนี้จะเดินเล่นเมื่อใดก็ได้ทุกเมื่อ” หลินหลันเผยรอยยิ้มงดงาม
“นั่นสิ! ต่อจากนี้ ที่นี่ก็คือบ้านของพวกเรา เจ้าก็คือนายหญิงแห่งบ้านหลังนี้ ไม่มีผู้ใดรบกวนพวกเราได้อีก” น้ำเสียงของหลี่หมิงอวินอ่อนโยน เสมือนสายลมที่พัดเอื่อยอยู่นอกหน้าต่าง
วันนี้ หลี่หมิงอวินเพิ่งว่าราชกิจเสร็จสิ้น หลินเฟิงก็มารอคอยเขาอยู่ด้านนอก สีหน้าไม่สู้ดีเอาเสียเลย
“น้องเขย เจ้าพอจะมีเวลาว่างหรือไม่”
“พี่ใหญ่ มีเรื่องอันใดหรือขอรับ” หลี่หมิงอวินเลิกคิ้ว และเอ่ยถาม
“ข้าอยากพูดคุยกับเจ้าสักหน่อย”
“เช่นนั้น…ไปบ้านข้ากันเถอะขอรับ!” หลี่หมิงอวินกำลังต้องการรีบกลับไปหาหลินหลัน
หลินเฟิงมีสีหน้าลังเลใจ “หาที่สักแห่งนั่งพูดคุยกัน ไม่ต้องไปในบ้านจะได้หรือไม่” น้องสาวกำลังตั้งครรภ์ เขาไม่อยากนำเรื่องราวชวนรำคาญใจเหล่านี้ไปรบกวนความสงบของน้องสาว
หลี่หมิงอวินสองจิตสองใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงหันไปบอกกล่าวตงจึ “เจ้ากลับไปบอกเอ้อร์เส้าหน่ายนายก่อนว่า วันนี้ข้ามีธุระ จะกลับไปช้าหน่อย ให้รับประทานมื้อเย็นก่อนได้เลย มิต้องรอข้า”
ตงจึน้อมรับคำสั่งก่อนจากไป จากนั้นหลี่หมิงอวินและหลินเฟิงจึงพากันไปหาที่นั่งในห้องอาหารส่วนตัว ณ โรงเตี๊ยมอี้เซียงจู และสั่งอาหารพร้อมสุรามาจำนวนหนึ่ง
“พี่ใหญ่มีเรื่องอันใด พูดมาได้เลยขอรับ!”
หลินเฟิงรินสุราให้หลี่หมิงอวินเป็นอันดับแรก แล้วจึงรินให้ตนเองจนเต็ม ก่อนยกขึ้นเงยหน้าดื่มหมดจนในคราวเดียว จากนั้นถอนหายใจอย่างหนัก แล้วกล่าว “เรื่องนี้ ข้าลังเลใจมาเนิ่นนานมากแล้ว ข้อเสียของพี่สะใภ้เจ้าข้าเข้าใจอย่างชัดเจนมาโดยตลอด ตอนแรกนางปฏิบัติต่อท่านแม่ข้าอย่างไม่ให้ความเคารพ ทำให้ท่านแม่ข้าโกรธเกรี้ยวอยู่หลายครั้งจนกระอักเลือด อาการป่วยจึงสาหัสขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นข้าก็เคยมีความนึกคิดที่จะหย่าร้าง ทว่านางกล่าวว่าหากข้ากล้าหย่าร้างกับนาง นางก็จะเอาหัวกระแทกให้ตายไปต่อหน้าข้าเสียเลย…เอะอะนางก็เอาการตายมาข่มขู่ข้า เมื่อก่อนเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ยังต้องการจะดึงฮานเอ๋อร์ไปเอี่ยวด้วย”
หลี่หมิงอวินคว้าเหยือกสุราจากในมือเขา แล้วช่วยรินให้เขาจนเต็ม พลางกล่าวอย่างเนิบช้า “ตามจริง คนที่นำความเป็นความตายของมาพูดติดปากอยู่เรื่อยมักกลัวตายมากที่สุด”
หลินเฟิงดูเหมือนฉุกคิดขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าไม่รู้ว่าอะไร พอนางได้บ้าคลั่งขึ้นมา ไม่ว่าอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น”
“พี่ใหญ่ ข้าขอพูดอย่างไม่น่าฟังหน่อยแล้วกัน พี่สะใภ้กล้ากำเริบเสิบสานเพียงนี้ เกินกว่าครึ่งต้องโทษตัวท่านเอง รักใคร่ทะนุถนอมภรรยาเป็นเรื่องที่สามีอย่างเราๆ พึงกระทำ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าสตรีผู้นั้นคุ้มค่าที่จะรักใคร่ทะนุถนอมหรือไม่ และสามารถตามใจจนเคยชินได้หรือไม่” หลี่หมิงอวินบอกกล่าวอย่างจริงจัง
หลินเฟิงพยักหน้าอย่างกลัดกลุ้มแล้วกล่าว “ก็นั่นแหละ เพียงแต่ข้าตาสว่างช้าไปเสียแล้ว นางถูกข้าตามใจจนเสียนิสัย ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว”
หลี่หมิงอวินจงใจซักถามอย่างรู้อยู่เต็มอก “หรือว่าพี่สะใภ้ไปทำเรื่องที่ไม่พึงกระทำอีกแล้วหรือขอรับ”
หลินเฟิงดื่มสุราเข้าไปหนึ่งจอกด้วยความอึดอัดใจ นัยน์ตาเคลือบไว้ด้วยความขุนเคืองที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วข้าคงได้พังพินาศในมือนาง ก่อนหน้านี้นางทำหน้าด้านไปขอผ้าจากร้านสกุลเยี่ย ข้าก็อุตส่าห์อดกลั้น คิดว่านำเงินไปคืนให้เรียบร้อยแล้ว ค่อยว่ากล่าวตักเตือนนางสักยก เรื่องราวนี้ก็เป็นอันปล่อยผ่านเลยไป ใครจะรู้ว่าเมื่อวานนี้ มีคนของโรงพนันมาหาถึงที่อีก ที่แท้นางไปเล่นพนันแพ้ ต้องจ่ายเงินถึงสามพันตำลึงเงิน ซึ่งแท้จริงแล้วนางนำผ้าของร้านสกุลเยี่ยไปเปลี่ยนเป็นเงิน แล้วนำไปเล่นพนัน นางจะกล้าพูดได้เต็มปากอีกว่า นางไปเล่นการพนันก็เพื่อครอบครัวนี้มิใช่หรือ”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าราวกับงุนงง “ข้าว่าแล้ว! สองเดือนนี้พี่สะใภ้ถึงได้มายืมเงินอยู่เรื่อย ข้ายังคิดอยู่ว่านางมีปัญหาอันใด จึงเอ่ยถามนาง แต่นางก็ไม่บอกกล่าว”
หลินเฟิงถึงกับขมวดคิ้วหน้าเสีย “นางมายืมเงินเจ้าด้วยหรือ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า แล้วเกลี้ยกล่อม “ยังติดค้างเงินเขาเท่าใดหรือ ไว้กลับไปข้าจะให้คนนำเงินไปส่งให้ท่าน เรื่องเสื่อมเสียในครอบครัวเช่นนี้ จะให้แพร่งพรายออกไปภายนอกมิได้ ต้องรีบจัดการมันเสีย และให้พี่สะใภ้อย่าได้ไปเล่นพนันอีกหลังจากนี้ก็เป็นพอขอรับ”
หลินเฟิงสบถฮึอย่างหงุดหงิด “หากเป็นได้เช่นนี้ ข้าก็คงไม่หงุดหงิดใจถึงเพียงนี้หรอก วันนี้ท่านแม่ทัพเบื้องบนข้า เรียกข้าไปอบรมชุดใหญ่ กล่าวว่าข้าเพิ่งเข้ารับตำแหน่งไม่ทันไร ก็รู้จักไถเงินของผู้ใต้บังคับบัญชาเสียแล้ว เห็นแก่ข้าที่กระทำผิดครั้งแรก จึงยังไม่คิดเอาความอันใด หากมีครั้งต่อไป จะต้องรายงานไปทางราชสำนัก ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่า นางจะใจกล้าหน้าไม่อายได้ถึงขั้นนี้ นางไม่กลัวขายหน้า แต่ข้ากลัว! แล้วหลังจากนี้จะให้ข้าเผชิญหน้าสหายร่วมงานอย่างไรหรือ จะให้ข้าวางตัวเช่นไรหรือ”
“เช่นนี้เองหรือขอรับ…นี่มันเป็นเรื่องที่ชวนปวดสมองมากจริงๆ ขอรับ!” หลี่หมิงอวินมองดูหลินเฟิงอย่างเวทนา
“ที่สำคัญที่สุดคือนางยังคงไม่ยอมรับผิด พูดจาอย่างหน้าตาเฉยว่า ขุนนางคนไหนบ้างที่จะไม่มีเงิน เป็นเจ้าเมืองใสสะอาดสามปี ยังตักตวงเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ก็แค่ขอเงินพวกเขาเท่านี้ มีอันใดใหญ่โตหรือ เจ้าลองฟังดูสิ คำพูดนางนี่ยังเป็นคำพูดจากปากคนอีกหรือ ตอนนั้นข้าเดือดดาลเลยตบหน้านางไปหนึ่งที” สีหน้าของหลินเฟิงบูดบึ้งด้วยความโกรธเกรี้ยวเกิบรรยาย
หลี่หมิงอวินดื่มสุรา แล้วกล่าวขณะครุ่นคิด “พี่ใหญ่ ข้าพูดตามตรงสักหน่อยแล้วกันนะขอรับ สันดานคนเรามันยากเกินแก้ไข ด้วยนิสัยเช่นนี้ของพี่สะใภ้ หากยังอยู่หมู่บ้านเจี้ยนซี อย่างมากก็คงทะเลาะมีปากมีเสียงหรือตบตีกับเพื่อนบ้าน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่โตอะไรขึ้นมาได้ แต่ในเมืองหลวงนี่ ปัจจุบันนี้ฐานะของท่านก็เป็นเช่นนี้อีก ไม่ช้าก็เร็วคงต้องเกิดหายนะใหญ่โตมาเยือนเป็นแน่ เบื้องบนท่านถือได้ว่ามีมิตรภาพดีงามกับพ่อตา ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ซักไซ้ไล่ความ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงไม่ต้องรอให้ถึงครั้งถัดไปหรอก แค่ครั้งนี้ก็ลงโทษท่านได้แล้ว อย่าลืมสิว่า ฮ่องเต้ในปัจจุบันนี้จงเกลียดการละโมบโลภมากเป็นที่สุด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ร้ายแรงไม่น้อยทีเดียวเชียว ท่านต้องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจนะขอรับ”
หลินเฟิงดื่มสุราเข้าไปสองจอก แล้ววางจอกสุราลงบนโต๊ะอย่างหนักมือ “สตรีผู้นี้เอาไว้มิได้แล้ว”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างอ้ำอึ้ง “ใครๆ ต่างกล่าวว่าทำลายวัดสิบแห่ง ยังไม่ร้ายแรงเท่าทำลายครอบครัวคนอื่นเขาหนึ่งครอบครัว เฮ้อ! แต่หากพี่สะใภ้รู้จักวางตนให้สงบเสงี่ยมหน่อย ข้าก็คงไม่แนะนำท่านให้หย่าร้างเช่นกัน เพียงแต่อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าคนใกล้ตัวนำภัยมาให้ การมีภรรยาเยี่ยงนี้ ชั่วชีวิตท่านก็อย่าได้หวังว่าจะอยู่อย่างสบายใจได้เลยขอรับ”
“หย่าร้าง ครั้งนี้จะต้องหย่าร้างนางให้จงได้” หลินเฟิงเผยสีหน้าแววตาเด็ดขาด
หลี่หมิงอวินตบบ่าเขาอย่างเบามือเพื่อปลอบใจ แล้วกล่าว “ในเมื่อท่านมองทะลุปรุโปร่ง คิดได้กระจ่างแจ้งแล้ว ก็ไม่ต้องลังเลใจอีก และหากท่านต้องการหย่าร้าง อย่าเพิ่งไปบอกกล่าวกับเหยาจินฮวาไปโดยตรงทันทีนะขอรับ ท่านต้องนำฮานเอ๋อร์ไปส่งไว้ที่บ้านของท่านพ่อตาข้าก่อน เพื่อที่นางจะได้ไม่หยิบยกฮานเอ๋อร์มาเป็นเครื่องต่อรอง จากนั้นให้พ่อตาเป็นผู้ออกโรงแทนจะค่อนข้างดีกว่า เพราะนางเคยชินกับการเป็นคนไร้ยางอายต่อหน้าท่าน จึงต้องหาใครสักคนที่นางนับถือและยำเกรงให้มากำราบนาง”
เมื่อได้ความคิดเห็น และตัดสินใจแน่วแน่แล้ว หลินเฟิงจึงบอกให้ผู้ดูแลแอบพาฮานเอ๋อร์ไปส่งไว้ที่จวนแม่ทัพแต่เช้าตรู่ ซึ่งเวลาเช่นนี้ เหยาจินฮวายังคงนอนหลับใหลอยู่ เมื่อวานหลินเฟิงด่าทอนางไปชุดใหญ่ แล้วยังตบนางไปหนึ่งฉาด จากนั้นเดินออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แรกเริ่มนางยังรู้สึกกังวลใจ เกรงว่าหลินเฟิงจะโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก และต้องการหย่าร้างกับนาง นางจึงคิดไว้เสร็จสรรพแล้วว่า เมื่อใดก็ตามที่หลินเฟิงเอ่ยปากถึงการหย่าร้างขึ้นมา นางก็จะอุ้มฮานเอ๋อร์หนีไปทันที ผลปรากฏว่าหลินเฟิงกลับมาพร้อมกลิ่นสุราเต็มตัวในช่วงเวลาดึกดื่น และไม่เอ่ยถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ กับนางอีก โดยล้มตัวนอนหลับไปเฉยๆ เหยาจินฮวาจึงโล่งใจ หลินเฟิงคงไม่กล้าทำกับนางเช่นนั้น
เหยาจินฮวานอนหลับไปจนถึงช่วงสายของวัน ถึงเพิ่งตื่นขึ้นมา จากนั้นเอ่ยถามสาวใช้ “คุณชายน้อยตื่นแล้วหรือไม่”
สาวใช้กล่าวตอบ “นายท่านมีคำสั่งให้ผู้ดูแลสั่งสอนนำคุณชายน้อยไปส่งที่จวนแม่ทัพแล้วเจ้าค่ะ กล่าวว่าท่านแม่ทัพคะนึงถึงหลานชายเจ้าค่ะ”
หวีในมือของเหยาจินฮวาร่วงลงพื้นทันที สังหรณ์ใจแรงกล้าอย่างยิ่ง ตอนดีๆ กันหลินเฟิงไม่ยักจะส่งไป แต่วันนี้ดันนำฮานเอ๋อร์ไปส่งไว้ที่จวนแม่ทัพ เขากำลังตัดสินใจทำอะไรบางอย่างหรือไม่
“ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ” สาวใช้หยิบหวีขึ้นมา มองดูเหยาจินฮวาอย่างไม่สบายใจ
เหยาจินฮวารู้สึกสับสนวุ่นวายใจอย่างยิ่ง พยายามปลอบใจตนเองอย่างต่อเนื่องว่า จะต้องเป็นตนเองที่กังวลใจมากเกินไปแล้วเป็นแน่ มันก็แค่ความประจวบเหมาะเท่านั้นเอง
เหยาจินฮวารอคอยอยู่ตลอดทั้งวันด้วยความกระวนกระวายใจ จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ก็ไม่เห็นวี่แววว่าหลินเฟิงจะกลับมา เหยาจินฮวาถึงกับนั่งไม่ติด จึงเป็นฝ่ายเร่งรีบเดินทางไปจวนแม่ทัพ เตรียมรับฮานเอ๋อร์กลับมา