ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 34 ออกเดินทาง
วันถัดมา วันแห่งการออกเดินทาง ในที่สุดหลินหลันก็ได้พบท่านผู้อาวุโสเยี่ยคนดีผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นที่กล่าวขานในตำนาน
ท่านคนดีผู้ยิ่งใหญ่กลับดูมีใบหน้าซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นและการมองอย่างทะลุปรุโปร่งที่เฉียบคมเมื่อจ้องมองมาที่เจ้า เจ้าจะสามารถรู้สึกได้ชนิดที่ว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับเครื่องเอ็กซ์เรย์หนึ่งเครื่องดีๆ นี่เอง ความคิดอ่านทั้งหมดจึงไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้ หลินหลันจึงได้ข้อสรุปจากการประเมินออกมาว่า ความสามารถในการแสร้งทำเป็นผู้อ่อนแอทั้งที่ความจริงแล้วแข็งแกร่งและเก่งกาจ แน่นอนว่าได้รับถ่ายทอดพันธุกรรมมาจากท่านตาของเขาผู้นี้นี่เอง
เหล่าไทเหย่เยี่ยกวักมือพลางเอ่ยเรียกหลินหลันให้เข้าไปหา
หลินหลันเผยรอยยิ้มงดงาม เดินเข้าไปอย่างอ่อนน้อมและให้การคารวะด้วยความเคารพ ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงหวาน “ท่านตา”
เหล่าไทเหย่เยี่ยหรี่ดวงตาลงเล็กน้อย ขณะเดียวกันรอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏขึ้น ทั้งยังกวักมือเรียกหลินหลันให้เขยิบเข้าไปใกล้ๆ อีกนิด
หลินหลันเหลือบสายตามองไปยังเหล่าฟู่เหรินเยี่ยที่กำลังแสดงสีหน้าเคร่งขรึมยืนอยู่ด้านข้าง แล้วเดินเข้าไปเบื้องหน้าสองก้าวอย่างว่านอนสอนง่าย
เหล่าไทเหย่เยี่ยกล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “แม่ของหลี่หมิงอวินยังมีที่ดินสองแห่งซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ในเมืองหลวงและร้านค้าอีกสิบแปดห้อง สิ่งเหล่านี้หากเจ้าสามารถนำกลับคืนมาได้ ข้าจะจัดการ ทำการแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง”
หลินหลันเงยหน้าขึ้นพร้อมความรู้สึกประหลาดใจ แต่ทว่าเมื่อได้เห็นแววตาของเหล่าไทเหย่แห่งตระกูลเยี่ยซึ่งกำลังส่งแรงสนับสนุนออกมาอย่างชัดเจน แม้ว่าในใจลึกๆ แล้วจะรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจว่าชายชราผู้นี้กำลังพูดล้อเล่นกับนางอยู่หรืออะไรกันแน่ ที่ดินสองแห่งที่ว่าเป็นหมู่บ้านนั้นจะกว้างใหญ่ไพศาลเสียขนาดไหนหลินหลันเองก็ไม่รู้หรอก ร้านค้าสิบแปดห้องตั้งอยู่ในทำเลทองหรือว่าหลืบมุมลึกนางเองก็ไม่แน่ชัดเช่นกัน หากยึดตามความรู้สึก นี่ไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ เลย แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง? เช่นนั้นไม่ใช่ว่านางก็จะได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี?
หลินหลันเหลือบตามองไปยังเหล่าฟู่เหรินเยี่ยอีกครั้ง เห็นเพียงมุมริมฝีปากของนางกระตุกขึ้นเล็กน้อย แล้วหลินหลันจึงเอ่ยถามด้วยความลังเล “จริงหรือเจ้าคะ”
เหล่าไทเหย่เยี่ยพยักหน้าพลางหัวเราะออกมา “ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าว่ามีความสามารถหรือไม่”
การใช้เงินทองหรือทรัพย์สินจำนวนมากเป็นเครื่องมือในการให้กำลังใจ จะสามารถทำให้เห็นประสิทธิผลการกระทำของบุคคลอย่างดีที่สุด หลินหลันเกิดความรู้สึกมั่นใจในตัวเองและคิดว่าจะสามารถเอาชนะทุกสิ่งอย่างได้ การรับช่วงต่อกิจการนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางจะต้องเอามาให้ได้ หลินหลันกะพริบดวงตากลมโตของนางและกล่าวออกไปอย่างติดตลก “ถึงตอนนั้นแล้วท่านตาอย่าได้เสียดายขึ้นมานะเจ้าคะ”
หลี่หมิงอวินเดินเข้ามา แสดงท่าคาราวะอย่างนอบน้อมให้แด่ท่านตาท่านยาย “ท่านตา ท่านยาย หลานต้องขอตัวออกเดินทางก่อนแล้ว วันหน้าจะแวะเวียนกลับมาเฟิงอานเพื่อเยี่ยมเยียนท่านทั้งสอง”
มองดูหลานชายกำลังจะจากไปไกล เหล่าฟู่เหรินเยี่ยจากที่อยู่ภายใต้อารมณ์เคร่งขรึม กลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นอาลัยอาวรณ์ ดวงตาก็เอ่อระเรื่อขึ้นมา “ไปเมืองหลวงครั้งนี้ จงมุ่งเน้นไปที่อนาคตของตัวเองเป็นสำคัญ และอย่าได้วู่วามขาดสติ”
“ท่านยายวางใจได้ หลานเข้าใจขีดจำกัดของตนเองดี ท่านยายต่างหากที่จะต้องรักษาสุขภาพให้มากๆ เพื่อที่หลานจะได้คลายความกังวลใจ”
“หมิงอวินเอ่ย! จะไปก็รีบไปเถิด อย่ามัวเอ่ยล่ำลาอาลัยอาวรณ์มีแต่จะพาให้ท่านยายของเจ้าเศร้าโศกไปเปล่าๆ ” เหล่าไทเหย่เยี่ยโบกมืออย่างไม่สามารถทนดูได้
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยตวัดสายตาจ้องมองไป แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “หากเจ้าช่วยทำให้ข้าโมโหน้อยลงหน่อยนั่นจะดีมาก”
เหล่าไทเหย่เยี่ยรีบปิดปากลงทันที ชำเลืองสายตามองหลินหลัน ขมวดคิ้วขึ้นอย่างอัดอั้นตันใจ ดูเหมือนกำลังพูดว่า…ผู้หญิงนี่ช่างยุ่งยากเสียจริง
หลินหลันนึกตลกอยู่ในใจ ท่านยายผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อยเลย
“แม่โจว เรื่องราวทางนั้นต้องรบกวนเจ้าแล้ว” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยใช้มือตบลงบนแขนของแม่โจวอย่างเบาๆ ขณะเดียวกันก็กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
แม่โจวปาดหยาดน้ำตาที่เปียกชื้น และพยักหน้า “เหล่าฟู่เหรินท่านต้องรักษาสุขภาพตนเองให้มากๆ นะเจ้าคะ”
หลินหลันตกตะลึง อะไรกัน เหล่าฟู่เหรินเยี่ยก็ส่งให้คนข้างกายซึ่งเป็นหญิงติดตามรับใช้รับดับหนึ่งไปด้วยงั้นหรือ
“หลินหลัน…” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยเอ่ยเรียก
หลินหลันรีบรวบรวมสติ เพื่อตั้งใจฟังคำชี้แนะของเหล่าฟู่เหรินเยี่ย
“ข้ามอบแม่โจให้แก่เจ้า มีอะไรที่ไม่เข้าใจก็ถามแม่โจวได้ ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ภาระนี้ในเมื่อเจ้าเลือกแล้ว ก็ทำให้ดีที่สุด ให้มั่นคงที่สุด หากว่าเจ้ากล้าละทิ้งกลางคัน ข้าไม่อาจยินยอมเป็นแน่” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูทรงพลังและจริงจัง
หลินหลันฉีกยิ้มเจื่อนแล้วเอ่ยขึ้น “จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรเจ้าคะ หลินหลันผู้นี้เป็นคนที่ทำอะไรแล้วก็จะทำให้ถึงที่สุดเจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
ขณะนั้นเองก็มีข้ารับใช้เข้ามาบอกกล่าว “รถม้าตระเตรียมไว้เรียบร้อยทั้งหมดแล้วขอรับ”
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยเผยอารมณ์เล็กน้อยบนใบหน้า มองไปยังหลี่หมิงอวินด้วยนัยน์ตาซึ่งเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ราวกับยังมีคำพูดอีกมากมาย แต่สุดท้ายก็ทำเพียงถอนหายใจออกมาเอ่ยกล่าวเพียงสั้นๆ “ไปเถอะ ไปเถอะ!”
หลินหลันและหลี่หมิงอวินจึงได้แสดงท่าคาราวะแล้วจากลาไป
“ดูเจ้าสิ พูดไว้ดิบดีว่าจะไม่ร้องให้แต่ก็ยังอดไม่ได้ หมิงอวินก็ไม่ใช่ว่าไปแล้วจะไม่กลับมาอีกมิใช่หรอกหรือ” รอบข้างไร้บุคคลอื่นแล้ว เหล่าไทเหย่เยี่ยจึงได้เอ่ยปลอบประโลม
“เจ้ายังจะมาพูดอีก ด้วยฝีปากเดียวก็นำสมบัติครึ่งบ้านของหมิงอวินแบ่งออกไปเสียแล้ว” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยปาดน้ำตา พลางกล่าวตำหนิ
เหล่าไทเหย่เยี่ยเลิกคิ้วอย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดเมื่อครู่สักเท่าไหร่ “ต่อให้ยกทั้งหมดให้แก่คนนอก ข้าก็ไม่ยินยอมแบ่งให้สองคนเลวนั่นแม้แต่นิดเดียว รังแกคนตระกูลเยี่ยของข้า แล้วยังอยากที่จะฮุบทรัพย์สมบัติของตระกูลเยี่ย ไม่มีทางเสียหรอก”
“จะให้คนนอกไปได้อย่างไร นั่นเป็นของของหมิงอวิน จำเป็นที่ต้องให้เจ้ามาบงการเสียที่ไหนกัน อีกอย่างข้าเองก็ได้รับปากเด็กสาวนั่นไปแล้วว่าจะให้สามพันสองเงิน แค่นั้นก็เพียงพอที่จะใช้ได้ทั้งชีวิตแล้ว” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เหล่าไทเหย่เยี่ยส่งเสียง ‘เอ๋’ แล้วเอ่ยต่อ “เจ้าไปตกลงรับปากกับนางไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไฉนข้าจึงไม่ได้รับรู้ด้วย”
เมื่อเหล่าฟู่เหรินเยี่ยนึกถึงสัญญาฉบับนั้น ในใจก็รู้สึกอัดอั้น แต่กลับไม่ใช่เพราะเสียดายสามพันเหลี่ยงเงินนั่น เพียงแค่เด็กสาวผู้นี้ไม่ธรรมดา อย่าได้กลับมาเปลี่ยนใจเป็นให้ยกหมิงอวินเป็นการตอบแทนเป็นเชียว เหล่าฟู่เหรินเยี่ยคิดสับสนร้อนรนในใจ “ทีเจ้าให้คำมั่นสัญญานางได้ถามไถ่ข้าก่อนหรือไม่ แล้วเรื่องอะไรที่ข้าจะต้องบอกเจ้าให้รู้ด้วยหรือ”
เหล่าไทเหย่เยี่ยถูกสวนกลับหนึ่งประโยค ทว่าไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอันใด กลับหัวเราะชอบใจแล้วเอ่ยออกไป “หากนางมีความสามารถ เช่นนั้นนางก็ควรที่จะได้รับมัน นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเรามองเห็นวีระบุรุษคนเดียวกันอย่างไงล่ะ”
“ถุย! อย่าทำเป็นโอ้อวดตัวเองเสียให้มากนัก ตอนแรกหากมิใช่เพราะเจ้าที่ปากไม่หนักแน่นพอ เวยเอ๋อร์ของพวกเราก็ไม่ต้องถูกคนรังแกจนมาถึงจุดจบเช่นนี้” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยส่ายหน้าแล้วเดินจากไป ปล่อยให้เหล่าไทเหย่เยี่ยถอนหายใจอยู่ลำพัง ซึ่งเขาเองถูกผู้เป็นภรรยาบ่นว่าด้วยเรื่องนี้มาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว
หลินหลันเดินตามหลี่หมิงอวินออกจากจวนมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มองไปเห็นคาราวานรถขนาดใหญ่โต อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง รถม้าประดับม่านสีเขียวอ่อนห้าคัน แล้วยังมีรถลากสัมภาระอีกเจ็ดคัน สาวใช้เจ็ดแปดคน แล้วยังมีองค์รักษ์และคนบังคับรถที่มีรูปร่างแข็งแกร่งกำยำอีกสิบกว่าคน ขบวนคนเช่นนี้ไม่ว่าไปแห่งหนใดล้วนเป็นที่ดึงดูดสายตาอย่างมาก ผู้ที่ไม่รู้ คงได้คิดว่าเป็นองค์รักษ์ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องเงินและทรัพย์สินระหว่างทาง!
แม่โจวเมื่อมองเห็นสีหน้าตกตะลึงของหลินหลัน จึงเอ่ยอธิบาย “เจ้ากับเส้าเหยียไปรถม้าคนละคัน เสี่ยวเจี่ยะรองหนึ่งคัน ข้าหนึ่งคัน แล้วยังมีแม่นมของเสี่ยวเจี่ยะรองอีกหนึ่งคัน ส่วนคันอื่นๆ ล้วนบรรทุกสัมภาระ เหล่าฟู่เหรินยังส่งครอบครัวกุ้ยซ่าวซึ่งเป็นครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในจวนเราและค่อนข้างมีความสามารถให้เดินทางไปด้วย พวกเราจะไปที่จวนหลินอานก่อน แล้วจึงค่อยเข้าเมืองหลวงโดยเส้นทางน้ำ”
หลินหลันมองเห็นเยี่ยซินเอ๋อร์และสกุลฉีแม่ลูกกำลังพูดคุยกันอยู่ด้านข้างรถม้าคันที่สาม ข้างรถม้าคันสุดท้ายมีหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งที่ดูแข็งแรง มีคิ้วและดวงตาที่ฉายให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาด กำลังสั่งให้สาวใช้ขนของขึ้นรถม้า
“แม่โจว นั่นก็คือกุ้ยซ่าวใช่หรือไม่”
แม่โจวไม่ได้เอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อก่อนตอนที่เสี่ยวเจี่ยะอยู่ที่บ้าน กุ้ยซ่าวก็คือผู้ที่คอยปรนนิบัติเสี่ยวเจี่ยะ”
แม่นางสกุลฉีเห็นหลินหลันและคนอื่นๆ เดินออกมาแล้ว จึงรีบเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม “หลินหลันอ่า! การเดินทางไปเมืองหลวงครั้งนี้เส้นทางยาวไกลนัก ระหว่างทางยังไงก็ต้องดูแลตนเองด้วย”
ทางด้านเคอเอ๋อร์นั้นตวัดสายตามองมาอย่างไม่เป็นมิตร อีกทั้งทำทีกระซิบกระซาบกับเยี่ยซินเอ๋อร์ ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดอะไรกันอยู่ เยี่ยซินเอ๋อร์จึงได้เผยแต่รอยยิ้มไม่พูดไม่จา
หลินหลันยิ้มและกล่าว “ขอบพระคุณความเป็นห่วงเป็นใยของท่านป้าสะใภ้เจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินได้ขึ้นรถม้าคันที่หนึ่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหวินซานตรงเข้ามาแสดงท่าคาราวะต่อหลินหลัน “เส้าฟูเหริน เส้าเหยียเอ่ยว่าควรออกเดินทางได้แล้ว ด้วยต้องรีบไปขึ้นเรือของจวนหลินอาน หากเลยเวลาไปก็อาจไม่มีเรือแล้วขอรับ”
หลินหลันจึงพูดแลกเปลี่ยนกับนางสกุลฉีอีกสองสามประโยค แล้วจึงขึ้นไปบนรถม้าคันที่สอง หยินหลิ่วและอวี้หลงนั่งรถม้าคันเดียวกับนาง
หลินหลันกล่าวถามออกไปด้วยความสงสัย “เหตุใดข้างกายเส้าเหยียจึงไม่มีสาวรับใช้คอยปรนนิบัติเลยสักคน”
หยินหลิ่วตอบกลับ “เส้าเหยียให้เพียงแค่เหวินซานและตงจึคอยปรนนิบัติเท่านั้นเจ้าค่ะ”
หลินหลันรำพึงรำพันอยู่ใจ ชายหนุ่มผู้นี้นับว่าเป็นคนมีจริยธรรมน่าดู โดยทั่วไปบุตรชายของครอบครัวตระกูลใหญ่โต มีที่ไหนกันที่จะไม่มีสาวงามคอยอยู่เคียงข้างกาย ขนาดเจี่ยเป่าอวี้ [1] รักใคร่หลินไต้อวี้อย่างมากมาย ก็ยังไปมีความสัมพันธ์กับคนข้างกายอย่างสีเหรินฮู๋เสียได้!
“ตงจึเป็นใครมาจากไหนอีกหรือ” หลินหลันฟังดูไม่คุ้นหู
“ตงจึเป็นผู้ที่มากับเส้าเหยียจากเมืองหลวง ไม่กี่ปีมานี้ที่เส้าเหยียอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเจี้ยนซีเพื่อไว้อาลัยให้แด่มารดา ตงจึก็อาศัยอยู่ในจวนเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าเมื่อช่วงต้นปีนี้เส้าเหยียส่งตงจึออกไปแล้ว ไม่รู้เช่นกันว่าให้ออกไปทำอะไรเจ้าค่ะ” หยินหลิ่วพูดออกมาทั้งหมดที่พอรู้
ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นแน่! หลินหลัยคิดอยู่ในใจ
รถม้าเป็นที่ชื่นชอบของคนร่ำรวยเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับรถยนต์สมัยใหม่ ทั้งความสะดวกสบายและความรวดเร็วนั้นล้วนแตกต่างกันลิบลับ หลังจากนั่งรถม้ามาเกือบทั้งวัน หลินหลันก็รู้สึกวิงเวียน เมื่อมองไปยังใบหน้าของหยินหลิ่วและอวี้หลงก็รู้ว่าสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักเช่นกัน
“พวกเจ้า…เมารถไหม” หลินหลันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
อวี้หลงเผยสีหน้าที่เริ่มถอดสี “รถยังพอไหวเจ้าค่ะ แต่ทว่าเรือนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยนั่งมาก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเมาเรือไหมเจ้าค่ะ”
หยินหลิ่วพูดขึ้นด้วยความกังวล “พวกเรายังดีที่อายุยังน้อยจึงพออดทนไหว ไม่รู้ว่าแม่โจวจะไหวหรือไม่”
นี่กลับเป็นปัญหาที่รุนแรงพอตัว การเดินทางไปเมืองหลวงครั้งนี้ใช้เวลาอย่างน้อยก็หนึ่งหรือสองเดือน อีกทั้งสภาพอากาศก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ หากมีใครเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาระหว่างทางและเกรงว่าจะทำให้การเดินทางล่าช้าจึงไม่เอ่ยปากออกมา คนป่วยก็จะประสบความทุกข์กาย หลินหลันเมื่อลองคิดดูแล้วจึงกล่าวออกไป “อีกประเดี๋ยวตอนที่แวะพัก ข้าจะไปคุยกับเส้าเหยียเสียหน่อยเพื่อแวะเข้าเมืองเล็กๆ สักหนแห่ง ข้าจะได้เตรียมยาสำหรับคลายความร้อนและอาการเมารถ เพื่อไว้ใช้ในยามจำเป็น”
หยินหลิ่วได้ฟังเช่นนั้น คิ้วของนางก็เลิกขึ้นอย่างมีความสุข “ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน ว่าแม่นางก็เป็นหมอ แบบนี้ค่อยดีหน่อย ทุกคนรอดตายแล้ว”
อวี้หลงซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าวแก้ไขคำพูดขึ้นอย่างจริงจัง “หยินหลิ่ว เจ้าลืมที่แม่โจวได้สั่งกำชับไว้อีกแล้ว ว่าเมื่อขึ้นรถม้าแล้ว อย่าได้เอ่ยเรียกว่าแม่นางอีก ต้องเรียกว่าเส้าฟูเหรินเท่านั้น”
หยินหลิ่วแลบลิ้นออกมาอย่างแก่นแก้ว หัวเราะคิกคักแล้วพูดขึ้น “ที่อวี้หลงเจี่ยะเจียให้บทเรียนคือ เส้าฟูเหริน”
มีเสียงดังวุ่นวายจากด้านนอกรถม้าชั่วขณะ และจากนั้นขบวนรถก็หยุดลง
“หยินหลิ่ว เจ้าไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น” หลินหลันกล่าวสั่งการ
หยินหลิ่วตอบรับคำสั่งการ ลงจากรถไปก่อนจะกลับมาอย่างว่องไว และพูดขึ้น “เสี่ยวเจี่ยะรองท่าจะไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ อาเจียนอย่างหนัก แม่ติงเลยให้รถหยุดพักประเดี๋ยว เพื่อให้เสี่ยวเจี่ยะรองอาการทุเลาลงก่อนเจ้าค่ะ”
สมกับที่เป็นผู้หญิงบอบบางเสียจริง หลินหลันแอบดูถูกเบาๆ ในใจ แล้วก็นึกถึงแม่โจวขึ้นมาทันที จึงเอ่ยถามด้วยความกังวล “แล้วแม่โจวเป็นอย่างไรบ้าง”
หยินหลิ่วตอบกลับ “แม่โจวยังสบายดี ข้าเดินไปดูมาแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันค่อยวางใจลงได้ ส่วนเยี่ยซินเอ๋อร์อาเจียนหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่นางต้องสนใจเสียหน่อย
ทันใดนั้นผ้าม่านรถก็ถูกคนรูดเปิดออกกะทันหัน เป็นหลี่หมิงอวิน ที่กำลังเผยสีหน้าเป็นกังวลก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “เจ้า…ยังไหวหรือไม่”
หลินหลันเบิกตาโตใส่ ทำให้ตนเองดูร่าเริงสดใสเป็นอย่างมาก และกล่าวออกไปอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่เป็นอะไรหนิ!”
สายตาของหลี่หมิงอวินจ้องมองบนใบหน้านางอยู่ซักพักหนึ่ง เพื่อให้มั่นใจว่านางไม่เป็นอะไรจริงๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้น “เบื้องหน้าไม่ไกลนักมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่หนึ่งแห่ง ค่ำคืนนี้พวกเราก็พักค้างแรมที่นั่นแล้วกัน” ชะงักไปชั่วครู่ แล้วเขาก็กล่าวขึ้นมาอีก “เจ้าไปช่วยดูเปี่ยวเหม่ยหน่อยเถอะ! นางอาเจียนอย่างสาหัสเอาการ”
——
[1] เจี่ยเป่าอวี้ (贾宝玉) เป็นชื่อของตัวละแสดงนำฝ่ายชายจาก ภาพยนตร์จีนเรื่อง หงโหลวเมิ่ง The Dream of the Red Chamber (红楼梦)