ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 37 อย่าแตะต้องของของข้า
หลังจากเปลี่ยนไปขึ้นเรือเป็นที่เรียบร้อย ทั้งข้ารับใช้พลขับและองค์รักษ์จากสิบกว่าชีวิตก็เหลือไว้เพียงหกคนเท่านั้น นอกนั้นล้วนกลับไปยังเฟิงอานทั้งหมด
ด้วยเพราะว่าจะต้องอาศัยอยู่บนเรือเป็นเวลาหลายวัน อวี้หลงและหยินหลิ่วจึงตั้งใจเป็นอย่างมากในการประดับตกแต่งท้องเรือรวมถึงจัดวางสัมภาระให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ส่งผลให้พื้นที่แคบจากเดิมกลับดูสบายตาขึ้นมากว่าเดิมเล็กน้อย
“เส้าฟูเหริน กล่องยาเอาวางไว้ในตู้ของท่านนะเจ้าคะ?” อวี้หลงเอ่ยถาม ของใช้ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ ควรถามความคิดเห็นของเส้าฟูเหรินจะเป็นการดีที่สุด
หลินหลันมองไปนอกหน้าต่างเห็นหลี่หมิงอวินและตงจึกำลังพูดคุยกันอยู่ข้างกราบเรือ [1] น้ำเสียงของตงจึทุ้มต่ำมาก หลินหลันได้ยินเสียงพูดของตงจึอย่างไม่ค่อยชัดเจนนัก “ความจริงแล้วหมิงจูเสี่ยวเจี่ยะไม่ได้เป็นบุตรสาวของน้องสาวนางอย่างที่นางสกุลฮานได้กล่าวไว้ แต่กำเนิดจากนางสกุลฮานเอง ผู้ที่ทำคลอดให้แก่นางสกุลฮานสามารถให้การยืนยันได้ขอรับ…”
“เช่นนั้นผู้ที่ทำคลอดอยู่แห่งหนใดล่ะ”
“ข้าได้จัดเตรียมคนประจำการไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อใดที่ต้องการ นางก็พร้อมออกมาเป็นพยานให้ขอรับ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าเล็กน้อยและตบลงบนบ่าของตงจึ “เรื่องราวครั้งนี้เจ้าจัดการได้ดีมาก”
ตงจึยิ้มกว้างแล้วเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นเพราะกลยุทธ์ของเส้าเหยียต่างหากขอรับ”
หลี่หมิงอวินจ้องเขม็งไปที่เขา “ช่วยทะเล้นให้มันน้อยๆ หน่อย”
“เส้าฟูเหริน…” อวี้หลงเงยหน้าขึ้นและเห็นว่านายหญิงของตนกำลังมองเหม่อไปที่บานหน้าต่าง จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยเรียกขึ้นมาอีกครั้ง
“อ่อ…มีอะไรหรือ” หลินหลันหันกลับมาอย่างตระหนกตกใจ แล้วเอ่ยถามขึ้น
แล้วอวี้หลงก็เห็นสองคนที่อยู่นอกบานหน้าต่างนั่น ก่อนจะพูดขึ้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “กล่องยานี้เอาวางไว้ในตู้ดีไหมเจ้าคะ”
“วางตรงไหนก็ได้ ถึงเวลาแค่บอกข้าเอาไว้ก็พอ” หลันหลันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยังคงคิดถึงสิ่งที่นางเพิ่งได้ยินเมื่อครู่ หมิงจู หมิงอวิน ล้วนเป็นตัวอักษรหมิง ดังนั้นน่าจะเป็นน้องสาวของหลี่หมิงอวินกระมัง! แต่ว่าเหตุใดนางสกุลฮานถึงต้องบอกว่าให้กำเนิดโดยผู้อื่น
“เส้าฟูเหริน แล้วกล่องขนาดเล็กนี้ล่ะเจ้าคะ” หยินหลิ่วหยิบกล่องที่ทำให้สีหน้าของนายหญิงตนเปลี่ยนไปตอนนั้นออกมาจากหีบลัง
หลินหลันซึ่งไม่ได้สนใจว่าที่มือหยินหลิ่วถืออยู่นั้นคืออะไร ทำเพียงเอ่ยปากบอกออกไป “วางตรงไหนก็ได้”
หยินหลิ่วและอวี้หลงตกตะลึงอยู่เล็กน้อย ไม่ใช่ว่าของสิ่งนี้ที่ทำให้เส้าฟูเหรินมีท่าทีประหม่าขึ้นมาหรอกหรือ ไฉนจึงได้บอกว่าวางตรงไหนก็ได้?
หยินหลิ่วครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะวางกล่องขนาดเล็กนั่นลงบนโต๊ะลิ้นชักข้างหัวเตียง
ขณะนั้นเองกุ้ยซ่าวก็เข้ามาเรียกอวี้หลง “อวี้หลง เจ้ามานี่ประเดี๋ยว”
อวี้หลงไม่ได้ตอบรับในทันทีแต่เลือกหันมามองดูปฏิกิริยาของหลันหลันก่อน ซึ่งจุดนี้หลินหลันรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ไม่รู้ว่าก่อนเดินทางมาเหล่าฟูเหรินเยี่ยได้กำชับอะไรไว้กับอวี้หลงเป็นพิเศษหรือไม่ ตั้งแต่เริ่มต้นออกเดินทางมา อวี้หลงก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หลินหลันกล่าวอย่างนุ่มนวล “เจ้าไปเถิด!”
เมื่อภายในห้องไม่มีคนอยู่ข้างๆ หยินหลิ่วแสดงสีหน้าราวกับตัดสินใจไม่ได้ เผยท่าทีลังเลใจแล้วก็หยุดชะงักไปมาอยู่เช่นนั้น
หลินหลันแอบมองดู ซึ่งเข้าใจดีว่าหยินหลิ่วอยากจะพูดอะไรบางอย่าง และที่จริงแล้วนางเองก็สนใจการพูดซุบซิบนินทาอยู่บ้างไม่น้อยทีเดียว ทว่านางก็มีนิสัยคุ้นเคยอยู่อย่างหนึ่ง คือแต่ไหนแต่ไรมาจะไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากซุบซิบนินทาขึ้นมาก่อน นอกเสียจากผู้อื่นต้องการจะพูดขึ้นมาให้ได้ซึ่งนางก็ไม่สามารถห้ามอะไรได้อยู่แล้ว
หยินหลิ่วคิดว่าคำเตือนก่อนหน้าที่ของตน เส้าฟูเหรินคงพอฟังเข้าใจไปบ้างแล้ว มิเช่นนั้นเส้าฟูเหรินคงไม่เข้าไปห้ามหมิงอวินเส้าเหยียไม่ให้ประครองเสี่ยวเจี่ยะรอง เวลานี้อวี้หลงไม่อยู่อยู่ นางยังคิดว่านายหญิงของตนจะเอ่ยปากถามอะไรนางขึ้นมาบ้าง แต่ทว่ารออยู่เนิ่นนาน เส้าฟูเหรินก็ไม่เอ่ยปากขึ้นเลย ในทางตรงกันข้ามกลับถือกล่องเครื่องประดับเอาไว้อย่างมีความสุขและมองดูสร้อยข้อมือหยกของนาง
เรื่องนี้ควรพูดออกไปหรือไม่ หยินหลิ่วสับสนเป็นอย่างยิ่ง หากนางเอ่ยปากพูดออกไปก่อน เส้าฟูเหรินจะคิดว่านางเป็นคนประเภทปากมากหรือไม่ แต่หากไม่พูด แล้วเส้าฟูเหรินเกิดยังไม่รู้เท่าทันดี ดังนั้นจึงอยากให้นายหญิงของตนเอ่ยปากถามขึ้นมายิ่งนัก หากเส้าฟูเหรินเอ่ยถามขึ้นมาแน่นอนว่านางจะพูดออกไปทั้งหมดที่รับรู้ ช่างน่าเสียดายที่…คำพูดที่อัดแน่นอยู่ในใจกลับหาข้ออ้างในการเอื้อนเอ่ยออกมาไม่ได้เสียนี่ หยินหลิ่วรู้สึกเศร้าอยู่ลึกๆ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอย่างหดหู่และจัดข้าวของต่อไป
ไม่นานมากนักอวี้หลงก็กลับมา และเอ่ยปากรายงานต่อหลินหลัน “แม่โจวเอ่ยว่า เรือเหล่านี้ล่องไปอย่างใกล้กันเช่นนี้ จึงเกรงว่าในยามกลางคืนจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีบุกเข้ามา ดังนั้นจึงให้ข้าน้อยและหยินหลิ่วคอยจับตาดูไว้หน่อย หลังจากนี้ยามกลางวันและกลางคืนจึงให้หมุนเวียนสลับกันไปเพื่อเฝ้าระวังเจ้าค่ะ”
ผู้ไม่ประสงค์ดีบุกเข้ามางั้นหรือ หลี่หมิงอวินได้จัดการวางแผนให้เหล่าองค์รักษ์คอยพลัดเปลี่ยนเฝ้าระวังตลอดเวลา และคนร้ายที่ไหนจะขึ้นเรือมาได้อย่างง่ายดายเสียขนาดนั้น เกรงก็แต่ว่า แม่โจวมีความหมายอะไรแอบแฝงเสียมากกว่า! หลินหลันก็ไม่ได้ปริปากพูดไปตรงๆ ทำเพียงเอ่ยกลับไปพร้อมรอยยิ้ม “เช่นนั้นคงต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว”
ด้วยสถานะเส้าฟูเหรินที่คำคอ หลินหลันจึงต้องแสร้งทำเป็นไปแต่ละห้องเพื่อตรวจสอบดูว่าทุกคนอยู่ในที่ที่จัดวางไว้ให้อย่างถูกต้องหรือไม่
เยี่ยซินเอ๋อร์ล้มตัวลงนอนทันทีที่ขึ้นเรือ ไม่รู้ว่าด้วยเมาเรือหรือเป็นเพราะจิตใจเศร้าโศกกันแน่ หลินหลันจึงถอยออกมาอย่างเงียบๆ โดยไม่รบกวนนาง
กุ้ยซ่าวนำคนไปเข้าครัวทำอาหาร ขณะที่แม่โจวและแม่ติงกำลังพูดคุยกันอยู่ก็เห็นว่าหลินหลันเดินเข้ามา แม่โจวจึงกล่าวขึ้น “เส้าฟูเหรินมาได้จังหวะพอดี ข้าและแม่ติงกำลังพูดถึงเรื่องของเสี่ยวเจี่ยะรองอยู่เลย”
แม่ติงเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย “เส้าฟูเหริน คงต้อนรบกวนท่านช่วยคิดหาวิธีการ เสี่ยวเจี่ยะรองนั่งรถก็เมารถ นั่งเรือก็เมาเรือ นี่เพิ่งไม่กี่วันเอง นางก็ผอมลงไปตั้งมากมายเสียแล้ว”
หลินหลันยิ้มขณะกล่าวปลอบใจนาง “แม่ติงทำใจให้สบายไว้เถิด เรือนี้ลำใหญ่มากพอ ล่องลอยไปได้อย่างไม่โคลงเคลง เปี่ยวเหม่ยเพียงแค่ยังไม่คุ้นชินชั่วขณะเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็ค่อยๆ คุ้นชินเองล่ะ เดี๋ยวข้าจ่ายยาช่วยเรื่องการเจริญอาหารให้แก่นางสักชุดแล้วกัน”
“ขอแค่สามารถกินอะไรได้บ้างก็ยังดี นี่กินแต่ยาทว่าไม่กินข้าวปลาอาหาร ร่างกายแข็งแกร่งเพียงใดก็คงรับไม่ไหว” แม่ติงพูดขึ้นพลางถอดถอนหายใจ
หลินหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วเอ่ยถามแม่โจว “แม่โจวล่ะมีอาการไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
แม่โจวยิ้มเล็กน้อยและกล่าว “เจ้าอย่าดูถูกแม่โจวอย่างข้าถึงอายุอานามจะไม่ใช่น้อย แต่ทว่าร่างกายกระดูกกระเดี้ยวก็ยังแข็งแรงดี แต่ไหนแต่ไรมาก็คอยติดตามท่านเหล่าฟูเหรินขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว จึงคุ้นเคยกับการโครงเครงไปมา ด้วยลมและคลื่นแค่นี้ยังไม่สามารถทำอะไรข้าได้หรอก”
หลินหลันหัวเราะชอบใจ แล้วจึงหันไปถามแม่ติงบ้าง
แม่ติงถอนหายใจแล้วเอ่ยตอบ “ขอเพียงเสี่ยวเจี่ยะรองไม่เป็นอะไร หญิงชราอย่างข้าก็สบายใจแล้ว”
หลินหลันกล่าวลาเพื่อไปตรวจสอบห้องอื่นๆ ต่อ
แม่ติงมองดูบานประตูที่ปิดลง แล้วเอ่ยพูดกับแม่โจว “ความจริงแล้วเส้าฟูเหรินก็ไม่เลวร้ายอะไร น่าเสียดายที่ภูมิกำเนิด…”
แม่โจวไม่แสดงสีหน้าใดๆ และไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
แม่ติงจึงเข้าใจว่าแม่โจวก็คิดเช่นเดียวกับที่นางพูด จึงกล้าพูดต่อไปอีก “ครั้งนี้หมิงอวินเส้าเหยียขาดการไตร่ตรองเสียแล้ว ถึงได้พาคนกลับมาได้อย่างส่งเดชเยี่ยงนี้ หากเป็นหญิงสาวที่ภูมิกำเนิดชาติตระกูลดีและมีรูปลักษณ์นิสัยที่ดี จึงค่อยยังชั่วหน่อย พอมาเป็นเส้าฟูเหรินผู้นี้ ท่านบิดาของหมิงอวินเขาจะยินยอมได้หรือ”
ริมฝีปากของแม่โจวกระตุกขึ้น ดูเหมือนรอยยิ้มที่ไม่ยิ้ม แล้วพูดอย่างสบายอกสบายใจ “เรื่องพวกนี้ ไม่จำเป็นที่เจ้าและข้าต้องเป็นกังวลไป”
แม่ติงเริ่มรู้สึกการพูดคุยไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่เสียแล้ว จึงละทิ้งหัวข้อสนทนานี้ไป แล้วกลับไปยังเรื่องสุขภาพของเสี่ยวเจี่ยะรองดังเดิม
หลินหลันเดินวนจนครบหนึ่งรอบ ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร จึงกลับไปยังห้องพักของตนเอง
หลี่หมิงอวินกำลังค้นหาสิ่งของอยู่ในภายห้อง โดยมีอวี้หลงยืนร้อนใจอยู่ด้านข้าง
มองเห็นเส้าฟูเรินและหยินหลิ่วกลับมาแล้ว อวี้หลงจึงรีบร้อนเอ่ยถามหยินหลิ่ว “หยินหลิ่ว เมื่อครู่ที่เจ้าเก็บข้าวของ มองเห็นหนังสือของเส้าเหยียบอกหรือไม่”
หยินหลิ่วงุนงง “หนังสืออะไรหรือ”
หลี่หมิงอวินยังคงก้มหน้าก้มตา ขณะที่มือก็พลิกหาสิ่งของไปมาไม่หยุดหย่อน “พวกเจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว เดี๋ยวข้าจัดการหาเอง ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ในห้องนี้แหละ”
อวี้หลงมองไปยังหยินหลิ่วอย่างไม่พอใจ แล้วเอ่ยตำหนิเบาๆ “เจ้าเพิ่งจะเก็บของเสร็จไปเมื่อครู่แล้วไฉนจึงจำไม่ได้เสียแล้ว”
หยินหลิ่วนิ่งเงียบอย่างละอายใจ และสีหน้าก็แดงขึ้น เมื่อตอนเก็บกวาดข้าวของ สมองของนางกำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่หนิ! จึงไม่ทันได้ใส่ใจ
หลินหลันกล่าวขึ้น “คราวหลังอย่าได้เที่ยวไปขยับสิ่งของของเส้าเยี่ย หากต้องการจัดวางเข้าที่ก็ต้องรอให้เส้าเหยียมาเสียก่อนแล้วค่อยจัดวางเข้าที่”
ทั้งสองพยักหน้าตอบรับ
“เอาล่ะ พวกเจ้ารีบไปดูทีสิว่ามือเย็นทำเสร็จแล้วหรือยัง หิ้วจะแย่อยู่แล้วน่ะ!” หลินหลันส่งสองสาวออกไปข้างนอก แล้วหันกลับมามองหลี่หมิงอวินที่กำลังเปิดกล่องขนาดเล็กซึ่งวางไว้ข้างหัวเตียง กล่องนั่น……ดูคุ้นตาชะมัด…
ทันใดนั้นเองหลินหลันก็พุ่งกระโจนเข้าไปด้วยอาการตื่นตกใจ แล้วตะครุบแย่งกล่องนั้น “อย่าแตะต้องสิ่งของของข้า”
หลี่หมิงอวินเปิดกล่องด้วยมือของเขาแล้ว แต่ก่อนที่จะเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ก็มีคนพุ่งลอยเข้ามา และชนกระแทกเขาอย่างจัง ก่อนจะมาตามด้วยเสียงปิดฝากล่องลงดัง ‘พลั่ก’ และหนีบเอามือเขาไว้พอดิบพอดี
“อ๊า…” เสียงร้อยโหยหวนดังลั่นใต้ท้องเรือ สร้างความตระหนกตกใจไปทั่ว
ทุกคนบนเรือหยุดชะงักไปสามวินาที ก่อนจะตอบสนองขึ้นมาได้ว่าเสียงร้องโหยหวนนี้เป็นหมิงอวินเส้าเหยียที่เปล่งออกมา ทันใดนั้นเองความตื่นหนกก็เกิดขึ้น และความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในสมอง ไม่ได้การแล้ว เกิดเรื่องกับเส้าเหยียแล้วเป็นแน่
กลุ่มคนต่างรีบร้อนวางมือจากงานที่กำลังทำ แล้วรีบร้อนวิ่งหน้าตั้งเข้ามา ทำให้ทางเดินแคบๆ กลับพลุกพล่านไปด้วยกลุ่มคน
——
[1] กราบเรือ คือส่วนที่เป็นไม้กระดานที่ติดตรงแคมเรือจากหัวไปท้ายเรือสำหรับเดินเลาะไปมา