ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 62 ไม่รู้สึกละอายใจต่อตนเอง
หยินหลิ่วซึ่งกำลังจับจ้องไปยังสถานการณ์บนรถม้าอย่างไม่วางตา เห็นว่าเส้าฟูเหรินคล้ายจะถอยตัวออกมาทว่ากลับถูกแรงดึงฉุดเข้าไปดั่งเดิม นางจึงรู้สึกตื่นตกใจและเมื่อเห็นท่าไม่ดีเสียแล้วจึงรีบกล่าวขึ้นด้วยเสียงกระซิบกระซาบ “เหวินซาน เจ้าคอยจับตามองทางนี้ไว้ หากพวกเขากล้าทำอะไรมิดีมิร้ายต่อเส้าฟูเหริน เจ้าก็รีบพุ่งเข้าไปช่วยเส้าฟูเหรินเลยเข้าใจไหม ส่วนข้าจะเข้าไปบอกเฉียวฮูหยินเดี๋ยวนี้ล่ะ”
เหวินซานรีบดึงรั้งนางเอาไว้และกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น บนรถนั่นคือเส้าเหยีย”
หยินหลิ่วถึงกับอึ้งกิมกี่ นางจึงมองไปที่เหวินซานอย่างค้นหาความจริงและดูเหมือนว่าเหวินซานมิได้กำลังพูดโกหกแต่อย่างใด ก่อนจะหันไปมองรถม้าอีกครั้ง ในนั้นดูเหมือนจะไร้การเคลื่อนไหวไปแล้วเช่นกัน หยินหลิ่วจึงคอยๆ คลี่รอยยิ้มออกมา แล้วเอ่ยกับเหวินซานด้วยความดีอกดีใจ “เหวินซาน เจ้าหลอกลวงเส้าฟูเหริน เตรียมรับผลกรรมอันโหดร้ายได้เลย!”
เหวินซานนึกถึงลักษณะท่าทีที่ดูเคร่งขรึมของนายหญิงน้อยขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นอุบอิบด้วยความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “เส้าเหยียสั่งข้าไว้ว่าห้ามบอกเส้าฟูเหรินนี่นา”
หลี่หมิงอวินเห็นว่านางกำลังหัวเสีย จึงรีบเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ขอโทษ ขอโทษ ล้วนเป็นข้าเองที่ทำไม่ถูก ข้าแค่อยากสร้างความแปลกให้แก่เจ้าเท่านั้นเอง”
สร้างความแปลกใจ? หลินหลันอยากจะดีดลงบนกลางหน้าผากของเขาสักทีจริงๆ “สร้างความแปลกใจบ้าบออะไรล่ะ! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครห๊ะ การที่ข้าได้เห็นหน้าเจ้าก็ควรรู้สึกถึงความแปลกใจงั้นหรือ”
หลี่หมิงอวินได้รับรู้จากเหวินซานว่านางมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก และต้องแบกรับแรงกดดันอย่างมากเพื่อทำการรักษาอาการป่วยภรรยาของท่านเจ้าพระยา เขาจึงรู้สึกขอบคุณอย่างจริงใจที่หลินหลันไม่ทอดทิ้งเขาในช่วงเวลาอันแสนยากลำบากเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ที่นี่มิใช่สถานที่ซึ่งเหมาะสมแก่การพูดคุยเท่าไหร่นักเนื่องด้วยผู้คุมรถม้าเป็นคนของท่านพ่อของเขา
หลี่หมิงอวินใช้น้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่นและนุ่มนวลกล่าวขึ้น “เอาล่ะ เอาล่ะ ภรรยาของข้า ข้าเป็นสามีของเจ้า และสามีของเจ้าก็ยอมรับผิดแล้ว เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ”
หลินหลันอดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำว่าสามีหลุดออกมาจากปากของเขา ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากล้อเลียนเขา ทว่าหลี่หมิงอวินกลับยื่นมือขึ้นมาปิดปากของนางเอาไว้พลางส่ายหน้าเล็กน้อย คำขอโทษและคำออดอ้อนนั้นชัดเจนมาก จนหลินหลันไม่อาจสงบสติอารมณ์ที่แตกกระเจิงออกไปได้ชั่วขณะ
“เหล่าโม เคลื่อนรถได้” หลี่หมิงอวินสั่งการ
รถม้านำทั้งสองคนไปยังริมแม่น้ำ หลี่หมิงอวินลงจากรถจากนั้นก็ช่วยประครองหลินหลันด้วยความใส่ใจลงมาจากรถม้า แล้วสั่งการให้เหล่าโมรออยู่บริเวณนี้ หลังจากนั้นเขาก็จูงมือหลินหลันโดยทั้งคู่เดินไปอย่างช้าๆ ตามริมฝั่งแม่น้ำ
เพลานี้เป็นเวลาสายันต์ พระอาทิตย์ซึ่งกำลังลาลับขอบฟ้าช่วยย้อมสีปุยเมฆให้ดูงดงาม ประหนึ่งเปลวไฟที่กำลังส่องสะท้อนอยู่บนพื้นผิวแม่น้ำ ประหนึ่งผืนผ้าหลากสีที่ค่อยๆ ล่องลอยไปอย่างอ้อยอิ่ง
เมื่อเดินออกไปไกลมากแล้ว หลินหลันจึงสะลัดมือออกแล้วจ้องมองไปที่เขาโดยทำมุมสี่สิบห้าองศา พลางกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก “หลุดพ้นออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เอ่อ! ประโยคคำถามนี้ ราวกับว่าเขาเพิ่งออกจากคุกอย่างไงอย่างงั้น
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น “เช้าวันนี้ หลังจากไปจัดการอะไรให้เข้าที่เข้าทางเล็กน้อยแล้วจึงออกจากบ้านมา แล้วตรงไปยังจวนเยี่ยอันดับแรก หลังจากนั้นก็ไปเยี่ยมเยียนเฉินจื่ออวี้กับหนิงซิ่ง แล้วจึงได้มาหาเจ้า”
หลินหลันค้อนสายตาใส่เขา แล้วเอ่ยกระแหนะกระแหนเบาๆ “เจ้ายุ่งเสียขนาดนี้ ยังอุตส่าห์วางแผนสร้างความประหลาดใจให้แก่ข้าอีก ช่างเป็นการสร้างความลำบากให้แก่เจ้าจริงๆ เลยแฮะ!”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของหลี่หมิงอวินคลี่เด่นชัดยิ่งขึ้น เมื่อเห็นท่าทีของนางที่กำลังมุ่ยปากเล็กน้อยขณะเดียวกันก็จับจ้องสายตาไปที่เขาไม่วางตา นี่มันไม่ต่างจากหญิงสาวที่กำลังโกรธงอนด้วยความเอาแต่ใจเอาเสียเลย
“เจ้าอย่าโกรธไปเลย ข้าถูกกังบริเวณนานเสียขนาดนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วถึงมีหน้าไปพบเจ้ามิใช่หรือ”
หลินหลันมุ่ยปาก “เช่นนั้นเจ้าเข้าใจอะไรมาบ้างแล้วล่ะ”
หลี่หมิงอวินยื่นมือออกไปจับท่อนแขนทั้งสองข้างของนาง และเพ่งพินิจใบหน้างดงามนี้อย่างละเอียด เพียงเดือนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้พบหน้า นางกลับดูผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด หลี่หมิงอวินรู้สึกปวดใจอยู่เล็กน้อยและสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและรู้สึกขอบคุณ “หลินหลัน ขอบคุณเจ้านะ ในช่วงระยะที่ผ่านมานี้ทำให้เจ้าลำบากเสียแล้ว”
การกล่าวขอบคุณของเขาซึ่งดูเป็นจริงเป็นจังเสียขนาดนี้ ทำให้ความขุ่นเคืองในใจของหลินหลันมลายหายไปจนหมดสิ้น และกลับรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองแทรกขึ้นมาเล็กน้อย “มีอะไรให้น่าขอบคุณ มิใช่ว่าตกลงกันแล้วหรอกหรือว่าเราจะสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันน่ะ? ข้าแค่เป็นผู้ที่รักษาสัจจะอย่างมากผู้หนึ่งก็เท่านั้นเอง”
หลี่หมิงอวินส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ และแสงแห่งความอบอุ่นภายในดวงตาของเขาก็ฉายออกมา มันเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน การที่เขาไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง ความรู้สึกที่ได้จับมือเคียงบ่าเคียงไหล่กันเช่นนี้ ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นและเด็ดขาดแน่วแน่ยิ่งขึ้น หลังจากนั้นในชั่วครู่ถัดมา เสียงถอดถอนหายใจของเขาก็ดังขึ้น “ในที่สุดก็พ้นด่านแรกเสียที ท่านพ่อข้ายินยอมให้เจ้าเข้าไปในบ้านได้แล้ว”
นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่คาดการณ์เอาไว้ การที่เขาถูกปล่อยตัวออกมาแบบนี้แล้วแน่นอนว่าท่านพ่อหลี่สาระเลวผู้นั้นยอมอ่อนข้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง หลินหลันยังคงรู้สึกระวนกระวายอยู่เล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้ามาเพื่อรับข้างั้นหรือ”
“ไม่ต้องรีบร้อน ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่อาจบทจะไปก็ไปได้เลยในทันที เจ้ายังต้องไปบอกกล่าวทางด้านภรรยาของท่านพระยาให้รับทราบเสียก่อน สองวันนี้เจ้าเตรียมตัวไว้แล้วกัน วันมะเรื่องข้าจะมารับเจ้า” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
เหล่าโมเฝ้ามองทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปในยามพระอาทิตย์ตกจากระยะที่ไกลออกไป ทั้งสองหันสบตากันเป็นระยะๆ อย่างรักใคร่และบางครั้งก็หัวเราะกระซิบกระซาบกัน ขณะนี้เองเหล่าโมจึงรู้สึกว่าทั้งสองท่านนี้ก็ดูเหมาะสมกันดีหนิ!
ภายในจวนหลี่ขณะนี้ หลี่จิ้งเสียนมองดูอาหารเลิศรสที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่กลับกินไม่ลงและไม่รู้สึกถึงความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย เขาหยิบถ้วยและตะเกียบขึ้นก่อนจะวางมันลงไปดั่งเดิมอีกครั้ง
ฮานชิวเยว่รู้ดีว่าวันนี้สามีของนางอารมณ์ไม่ดี จึงไม่ได้ให้หมิงเจ๋อกับภรรยาของเขารวมถึงหมิงจูมาทานอาหารเย็นด้วยกัน อีกทั้งยังให้คนรับใช้ของนางออกไปจนหมดโดยนางคอยให้การปรนนิบัติผู้เป็นสามีด้วยตนเองแทน “เหล่าเหยีย ท่านยังอารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องของหมิงอวินอยู่อีกหรือ ข้าได้ยินเหล่าคนรับใช้พูดกันว่า วันนี้หมิงอวินก็ดูมีความสุขดีนี่เจ้าคะ”
หลี่จิ้งเสียนสบถฮึ ได้สมหวังดั่งปรารถนาแล้วใยเขาจะไม่มีความสุขเล่า อีกทั้งปัญหากองโตก็ไม่ใช่เขาที่ต้องไปสะสางเสียหน่อย
“เฮ้อ……พวกเราคงเป็นพ่อแม่ที่น่าสงสารที่สุดในใต้หล้านี้ ทั้งที่พวกเราหวังดีต่อเขาด้วยใจจริง เกรงว่าเขาจะได้รับความยากลำบากเพราะการใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องราว จนทำลายอนาคตดีๆ พังทลายลงไป เหล่าเหยีย ท่านเองก็ทำดีที่สุดแล้ว ปล่อยเขาไปเถิด! ในภายภาคหน้าเมื่อเขาผิดหวังขึ้นมาแล้วจะมาโทษท่านก็คงมิได้แล้ว” ฮานชิวเยว่กล่าวปลอบใจ
หลี่จิ้งเสียนถอนหายใจอย่างอัดอั้น “แล้วยังจะทำอะไรได้อีก? เพื่อเรื่องเล็กน้อยของเขา ทำให้ข้าเกือบเสียชื่อเสียง ข้าคิดว่าเขาแค่ตั้งใจทำให้ข้าโกรธน่ะสิมิว่า”
ฮานชิวเยว่กล่าว “เขาจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ไม่สำคัญหรอก พวกเราไม่รู้สึกละอายใจต่อตนเองแค่นั้นก็เป็นพอ”
หลี่จิ้งเสียนแสยะยิ้มพลางตวัดสายตามองนาง กล่าวอย่างดูถูกตนเอง “ไม่รู้สึกละอายใจต่อตนเองงั้นหรือ ประโยคนี้มันช่างไม่เหมาะที่จะใช้กับตัวเจ้าและข้าจริงๆ ”
สีหน้าของฮานชิวเยว่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เหล่าเหยีย พูดอะไรของท่านน่ะ เยี่ยซินเหว่ยนางเป็นฝ่ายตกหลุมรักท่านก่อนในคราแรก เพราะความสงสารที่เหล่าเหยียมีต่อนางและก็เพื่อช่วยเชิดชูเกียรติติภูมิของตระกูลหลี่จึงยอมแต่งงานกับนางอยู่กินกันมานานกว่าสิบปี ทั้งคอยเอาอกเอาใจเนิ่นนานเสียขนาดนี้ แม้กระทั่งนางบำเรอสักห้องก็ยังไม่เคยเปิดรับ ฉะนั้นเหล่าเหยียไม่ได้ติดค้างหนี้บุญคุณอะไรนางเลยนะเจ้าคะ เฉี้ยเซินยอมใช้ชีวิตในที่มืดมนมานานหลายปี ยิ่งไม่ได้ติดค้างหนี้บุญคุณอะไรนางทั้งสิ้น หากมิใช่เพราะอารมณ์คิดเล็กคิดน้อยของนาง จนเข้าไม่ได้กับพวกเราแม่ลูก ตอนนี้ข้ากับนางก็คงจะได้เป็นพี่น้องที่ได้ใช้สามีคนเดียว ก็มิใช่ว่ามีความสุขดีอยู่หรอกหรือ”
หลี่จิ้งเสียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมาเสียงดัง “ฮูหยิน เจ้ามักจะพูดให้ดำกลายเป็นขาวได้เสมอ และพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยเสียด้วย”
ฮานชิวเยว่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน ตามด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “เหล่าเหยีย ที่เฉี้ยเซินพูดต่างล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น”
หลี่จิ้งเสียนพยักหน้า “เป็นความจริงอย่างแท้จริง”
บางคำเมื่อพูดออกมามากๆ เข้า แม้แต่ตนเองก็ยังเชื่อเช่นนั้นไปได้และเชื่ออย่างหน้ามืดตามัวเสียด้วย
ในพลับพลาเวยอวี่ หมิงเจ๋อและหลั้วเหยียนกำลังรับประทานอาหาร ขณะนั้นเองหมิงจูก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“เกอ ท่านได้ยินแล้วใช่ไหม ท่านพ่อปล่อยพี่รองออกมาแล้วน่ะ” น้ำเสียงของหมิงจูดูเหมือนไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไหร่นัก
หลั้วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่สามารถปรับตัวให้คุ้นชินเข้ากับหญิงสาวผู้เป็นลูกน้องผู้นี้ได้เลย แม้ว่าหมิงเจ๋อจะเคยอธิบายให้นางฟังว่า ท่านแม่ของหมิงจูมีสุขภาพร่างกายไม่ดีนัก ดังนั้นหมิงจูจึงอาศัยอยู่ในบ้านของเขาตั้งแต่นางยังเด็กมาก จึงนับถือเป็นพี่ชายและน้องสาวกันไปโดยปริยาย
หมิงเจ๋อเหลือบสายตามองหลั้วเหยียนโดยไม่แสดงสีหน้าอาการใดๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “มีอะไรให้น่าประหลาดใจนักหนาเชียว เจ้าคิดว่าท่านพอจะกักบริเวณเขาไปชั่วชีวิตงั้นหรือ”
“แต่นี่ไม่เท่ากับว่าท่านพ่อยอมรับการแต่งงานของพี่รองกับสาวชาวบ้านนั้นหรอกหรือ” หมิงจูไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
หมิงเจ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตัวพี่รองของเจ้าเองยังไม่รังเกียจนาง แล้วเจ้าจะไปเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรนักหนา”
หมิงจูบ่นพึมพำ “จะไม่เกี่ยวได้ยังไงกัน พอนังสาวชาวบ้านนั่นเข้ามาในบ้าน ข้าก็ต้องเรียกนางว่าซ่าวจื่อ น่าขายหน้าชะมัด!”
หลั่วเหยียนวางถ้วยชามและตะเกียบลง แล้วหันไปสั่งการหลู่ฉี “ช่วยไปนำถ้วยชามพร้อมตะเกียบมาให้เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะ [1] ทีสิ”
หมิงจูยังคงไม่ลดละความขุ่นเคือง “ซ่าวจื่อไม่ต้องลำบากหรอก ข้ากำลังหงุดหงิดใจอยู่น่ะ! กินไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ”
หมิงเจ๋อเอ่ยปากพูดขึ้น “หลั้วเหยียน เจ้าอย่าถือสานางเลย นางก็อารมณ์เกรี้ยวกราดเช่นนี้ล่ะ”
หลั้วเหยียนฉีกยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
หมิงจูทำตาขวางใส่ผู้เป็นพี่ใหญ่ “ข้าอารมณ์เกรี้ยวกราดตรงไหนกันรึ” ขณะเดียวกันก็รำพึงรำพันภายในใจ เจ้าได้หวนคืนกลับสู่บ้านเกิดและยังเฉิดฉายในฐานะคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหลี่ อีกทั้งยังได้แต่งงานกับภรรยาที่รูปงามเสียเช่นนี้ ช่างดูมีอนาคตอันแสนสดใส ผิดกับนางลิบลับ ไม่รู้จักแม่กระทั้งพ่อของตัวเอง จึงต้องแบกรับการเอ่ยขานในนามเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะไปชั่วชีวิตและมิอาจมองเห็นหนทางแห่งแสงสว่างได้เลย
หมิงเจ๋อเกรงว่านางจะอาละวาดขึ้นมาแล้วส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารของหลั้วเหยียน ตลอดจนทำลายบรรยากาศชื่นมื่นที่ยากจะหาได้ภายในพลับพลาเวยอวี่แห่งนี้ เขาจึงกล่าวโน้มน้าวขึ้น “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป เดี๋ยวอีกสองปีเจ้าก็ได้แต่งงานออกไปแล้ว ถึงครานั้นก็ไม่ต้องพบหน้าคร่าตากันบ่อยๆ อีก”
หมิงจูทำเพียงสบถฮึออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัด
“เอาล่ะ เอาล่ะ รีบกันข้าวกันเถอะ หลังจากกินเสร็จเรียบร้อยจะได้ไปกล่าวราตรีสวัสดิ์ท่านพ่อท่านแม่ด้วยกัน ได้ยินแม่เจียงพูดอยู่ว่าท่านพ่ออารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ข้าจึงขอเตือนเจ้าไว้ก่อนเลยว่าเมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว อย่าได้ยั่วยุและทำให้ท่านพ่อขุ่นเคืองเข้าไปอีก” หมิงเผยทีท่าผู้เป็นพี่ชายคนโตขณะกล่าวตักเตือน
หลู่ฉีได้นำถ้วยชามพร้อมตะเกียบมาเพิ่มเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นหว่านเซียงสาวใช้ข้างกายหมิงจูเริ่มจัดจานสำหรับคุณหนูคนเล็ก ทว่าหมิงจูก็ทนกินเข้าไปเพียงไม่กี่คำเท่านั้น
บนใบหน้างดงามของหลั้วเหยียนแม้มองดูผิวเผยจะไร้ซึ่งสีหน้าอาการใดๆ ทว่าภายในจิตใจกลับเต็มไปด้วยความสั่นไหวดั่งคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังถาโถม หมิงอวินกำลังจะแต่งหลินหลันมาเป็นภรรยาของเข้าจริงๆ แล้วสินะ ข่าวลือที่แพร่สะพัดภายนอกนั้นล้วนพูดกันว่าความรักใคร่ของหมิงอวินที่มีต่อหลินหลันนั้นช่างลึกซึ้งมากมายเพียงใด ทว่านางไม่อาจเชื่อได้ว่าหมิงอวินจะตกหลุมรักสาวชาวบ้านเช่นนางผู้นั้นได้อย่างไรกัน หมิงอวินเคยพูดไว้ว่า ชีวิตนี้ขอมีเพียงหลั้วเหยียนเท่านั้นก็เพียงพอ….. บางทีอาจเป็นเพราะหมิงอวินได้ยินว่านางแต่งงานกับหมิงเจ๋อ และด้วยความรู้สึกผิวหวังอย่างมาก จึงไม่ขอต่อสู้และยอมปล่อยวางในที่สุด หรือบางทีเขาอาจจงใจพาหลินหลันกลับมาเพื่อช่วยต่อกรกับท่านพ่อของเขาก็เป็นได้ หลั้วเหยียนคิดอย่างปลอบใจตนเอง คงเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน สำหรับหมิงอวินแล้ว นางคือหญิงสาวที่เขามิอาจลบไปจากใจได้ ทว่า นางจะสามารถทำอะไรได้อีก ในเมื่อเรื่องการแต่งงานถือเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญยิ่ง และเมื่อบิดามารดาเป็นผู้ออกคำสั่งเช่นนี้แล้ว นางจะหลีกเลี่ยงคำสั่งนั่นไปได้อย่างไรกันหรือ แม้ว่าความจริงแล้วท่านพ่อก็ถูกชะตาหมิงอวินอยู่ไม่น้อยเลยเช่นกัน หากเขาไม่ไปอยู่ที่นั่นนานถึงสามสี่ปี บางทีพวกเขาคงได้แต่งงานกันไปนานแล้ว หากจะโทษก็คงได้แต่โทษโชคชะตาเท่านั้น ที่ดลบันดาลให้นางและหมิงอวินพลัดพรากจากกันเสียแล้ว……
หลั้วเหยียนที่กำลังรู้สึกผิดและในเวลาเดียวกันก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจอยู่ลึกๆ หมิงอวินเป็นชายหนุ่มที่ดีมากผู้หนึ่ง ทว่ากลับเลือกเผชิญชีวิตแต่งงานซึ่งมิอาจเข้ากันได้เช่นนี้ มันไม่ต่างจากการที่เขานำเอาความสุขทั้งชีวิตของเขามาทิ้งไว้กับใครอีกคน น่าเสียดายที่นางไม่มีโอกาสได้เอ่ยโน้มน้าวเขาบ้างเลย
“หลั้วเหยียน……หลั้วเหยียน……” หมิงอวินเฝ้ามองหลั้วเหยียนที่กำลังเหม่อลอยขณะรับประทานอาหาร จึงเอ่ยเรียก
หลั้วเหยียนเรียกสติกลับมาอีกครั้ง และแสร้งทำเป็นสงบนิ่งเสมือนไม่มีอะไรผิดแปลกไป “มีอะไรหรือ”
หมิงเจ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กำลังคิดอะไรอยู่รึ ถึงได้เหม่อลอยเสียขนาดนั้น”
“อ่อ……ข้ากำลังคิดว่า ในเมื่อท่านพ่ออารมณ์ไม่ดี งั้นอีกประเดี๋ยวให้หงซางไปถามทางแม่เจียงดูก่อนจะดีกว่า หากทางนั้นไม่ค่อยสะดวกนัก ข้าว่าพวกเราก็อย่างเพิ่งไปรบกวนเลย” หลั้วเหยียนกล่าว
หมิงเจ๋อครุ่นคิดชั่วขณะแล้วจึงกล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย “เจ้าคิดได้อย่างรอบคอบอยู่เสมอเลยนะ”
เมื่อหมิงจูเห็นว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ของนางได้พูดคุยสนทนากันแทนที่จะทำหน้าตาเย็นชาและพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นใส่กันเสมือนเมื่อก่อน นางจึงรู้สึกมีความสุขแทนพวกเขาอยู่ภายในใจ จึงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เกอกับซ่าวจื่อดูรักกันมากมายเสียจริง ช่างน่าอิจฉาชะมัด!”
หมิงเจ๋อฉีกยิ้มขณะเหลือบสายตามองไปที่หมิงจู “ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวของเจ้าไปซะ”
หลั้วเหยียนได้แต่ยิ้มขื่นขมอยู่ภายในใจ รักกันมากมาย คำที่ว่านี้ เกรงว่าชั่วทั้งชีวิตคงมิอาจได้สัมผัสมันเสียแล้วล่ะ กับหมิงเจ๋อ นางขอเพียงแค่ให้ความเคารพซึ่งกันและกันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
——
[1] เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะ (表小姐) เป็นคำเรียกหญิงสาวที่มีศักดิ์เป็นพี่ลูกพี่ลูกน้องกัน ในที่นี้คือผู้ที่อยู่ในฐานะซึ่งเป็นลูกน้อง