ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 69 แสดงบทคนดี
วันนี้แม่เถียนไม่เพียงแต่เผชิญความอับอายขายหน้า ทั้งยังมีการลงบันทึกเรื่องไม่ดีตีตราเอาไว้ นอกจากนี้แล้วแม่โจวยังได้จัดระเบียบเรือนหลั้วเซี๋ยจายอย่างรั้วล้อมขอบชิด ตัดขาดจากเขตภายนอก ซึ่งหลังจากนี้การที่นางจะออกไปพบฮูหยินก็คงไม่สะดวกเท่าไหร่แล้ว ในใจข้องนางจึงรู้สึกถึงความอึดอัดและหดหู่เป็นยิ่งนัก
เฉี่ยวโหรวซึ่งมาบอกกล่าวเมื่อครู่ว่าห้องตำราทางด้านนั้นเก็บกวาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงให้แม่โจวนำคนไปขนย้ายสิ่งของที่นายน้อยไม่ใช้ออกไปเก็บที่ห้องเก็บของให้หมด
ขณะนี้เองแม่เถียนจึงตระหนักถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ เอ้อร์สาวหน่ายนายให้นางเป็นผู้ดูแลเรื่องเก็บกวาดทำความสะอาดทว่ามิได้มอบลูกมือให้แก่นาง ดังนั้นวันนี้นางจึงไร้ซึ่งผู้ช่วย
เฉี่ยวโหรววิ่งจากไปหลังบอกกล่าวเป็นที่เรียบร้อย โดยทิ้งท้ายว่าด้านในยังมีเรื่องต้องจัดการต่อ
แม่เถียนถึงกับทำอะไรไม่ถูก และด้วยความที่นางคร้านจะไปหาแม่โจว จึงไปหาป๋ายฮุ่ยโดยหวังให้ป๋ายฮุ่ยแบ่งคนมาให้นางสักผู้หนึ่ง
หลังจากเดินหาจนทั่วกลับไม่เจอนางแต่ดันเจอหรูอี้เข้าให้ หรูอี้เอ่ย “ต้าเส้าหน่ายนายส่งหลู่ฉีให้นำของขวัญมามอบ เออร์เส้าหน่ายนายเลยให้ข้าไปจัดการชงชาน่ะ!”
แม่เถียนถึงกับหงุดหงิดใจขึ้นมาอีกระรอก กระทั่งหลู่ฉีก็ยังสามารถนั่งจิบน้ำชาร่วมกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายที่นี่ได้ แล้วนางล่ะ! เคยเป็นถึงผู้ดูแลห้องคลังทรัพย์สินผู้มีอำนาจมีหน้ามีตา ในจวนแห่งนี้ใครกันที่พบเจอหน้าแล้วจะไม่เห็นหัวนางบ้าง ทว่าตอนนี้กลับตกต่ำถึงขั้นจะหาผู้ช่วยสักคนก็ยังหามิได้ เช่นนั้นเรื่องจิบน้ำชาด้วยกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง
จะใช้ผู้นี้ก็ใช้มิได้ จะใช้ผู้นั้นก็บอกว่ามีเรื่องต้องทำ ท้ายที่สุดแม่เถียนจึงทำได้เพียงไปหาซูอวิ๋นและซูฟาง สองคนนี้คงต้องกำลังวางงานอยู่ล่ะน่า
ทว่าซูฟางกลับเอ่ยว่า “มิใช่ว่าพวกเราไม่ยินยอมติดตามแม่เถียนไปจัดการเรื่องราวหรอกนะเจ้าคะ ด้วยวันนี้แม่โจวกำชับไว้แล้วว่า ในส่วนหลังบ้านมิอนุญาตให้เข้าออกได้ตามอำเภอใจ เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนความเงียบสงบของคุณชายรอง ขนาดแม่เถียนซึ่งมีสถานะเป็นถึงผู้ดูแลยังถูกลูกโทษ ไฉนเล่าพวกเราจะกล้าฝ่าฝืนกฎระเบียบ”
ด้วยความที่แม่เถียนโกรธจนมือไม้สั่น จึงชี้หน้าซูฟางแล้วเอ่ยตำหนิ “ฮูหยินได้สั่งไว้ว่าอย่างไรเมื่อพวกเรามาที่นี่ เพิ่งจะผ่านไปชั่วครู่ชั่วยามก็ให้คนเขาจูงจมูกเช่นนี้เสียแล้ว กระทั่งเรื่องเล็กน้อยก็ยังมิกล้าทำ แล้วจะมีพวกเจ้าไว้ทำอะไรอีกหรือ”
ซูฟางได้แต่ก้มหน้ารำพึงรำพันในใจ ผู้ที่ถูกจูงจมูกเห็นที่ว่าน่าจะเป็นแม่เถียนเสียมากกว่ากระมัง!
ซูอวิ๋นเอ่ย “แม่เถียน คำพูดที่ฮูหยินได้สั่งไว้นั้น พวกเรามิกล้าลืมเลือนหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่ในที่นี้เคร่งครัดกฎระเบียบยิ่งนัก อย่าว่าแต่พวกเราสาวใช้ที่มีหน้าที่เพียงปัดกวาดเช็ดถูเท่านั้นเลย กระทั่งแม่เถียนประสบการณ์มากโขก็ยังกระทำผิดพลาดเลยมิใช่หรือ เพียงวันแรกแท้ๆ พวกเราสามคนก็ทำความผิดเสียแล้ว มิเท่ากับทำให้ฮูหยินขายหน้าหรอกหรือเจ้าคะ”
ประโยคดังกล่าวทำเอาแม่เถียนแทบสำลักตาย นางจึงสะบัดชายเสื้อด้วยอารมณ์โกรธที่ครุกขุ่น “ข้าจะไปพบเอ้อร์เส้าหน่ายนาย”
มอบภาระงานให้นางแต่กลับมามอบผู้ช่วยให้แก่นาง นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี หรือว่าจะให้นางหญิงชราตัวคนเดียวขนย้ายสิ่งของงั้นหรือ
หรูอี้รับหน้าที่ส่งหลู่ฉีจนพ้นประตูไป แล้วเหลือบไปเห็นแม่เถียนหน้าดำค่ำเครียดเดินดุ่มๆ เข้ามา จึงส่งเสียงกระแอมขึ้น “พี่หลู่ฉีกลับดีๆ นะเจ้าคะ…”
หลู่ฉีเมื่อเห็นแม่เถียนจึงให้การคาราวะแก่นางด้วยความเคารพแล้วจึงเดินจากไป
ภายในใจของแม่เถียนรู้สึกชื่นมื่นขึ้นมาเล็กน้อย ช่างตาถึง สมกับที่เป็นสาวใช้ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่โต
“แม่เถียนมีเรื่องด่วนอันใดหรือ” หรูอี้เอ่ยถาม
แม่เถียนเอ่ยด้วยร้อยยิ้มฉกาจ “ข้าอยากพบเอ้อร์เส้าหน่ายนายเพื่อพูดคุยเรื่องหนึ่ง”
หรูอี้กล่าว “แม่เถียนรอตรงนี้สักครู่ ขณะนี้เอ้อร์เส้าหน่ายนายยังมีเรื่องต้องจัดการอยู่นิดหน่อย” หรูอี้เดินจากไปทันทีที่กล่าวจบ และมิได้รอฟังคำพูดจากแม่เถียนแต่อย่างใด
แม่เถียนโมโหจนควันแทบออกหู ทว่ามิกล้าเดินบุมบ่ามเข้าไปตามอำเภอใจ จึงทำได้เพียงยืนรอหลังม่านไม้ไผ่บริเวณด้านนอกเท่านั้น
ได้ยินก็เพียงเสียงพูดจากด้านในเท่านั้น “แม่โจวใช้ไม้โหดเยี่ยงนี้ก็ออกจะใจร้ายไปหน่อย นี่เพิ่งวันแรกเท่านั้นเองก็ลงโทษแม่เถียนเสียแล้ว ต่อให้ไม่เห็นแก่หน้าแม่เถียนก็เถอะ ถึงอย่างไรก็ควรไว้หน้าฮูหยินเสียหน่อยมิใช่หรอ เช่นนี้แล้วฮูหยินจะคิดต่อข้าเยี่ยงไร จะกล่าวว่าข้าเป็นสะใภ้ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่รู้ว่าอะไรควรมิควร…”
แม่เถียนรีบเอี้ยหูฟังทันทีที่ได้ยินว่าเป็นเสียงของเอ้อร์เส้าหน่ายนายนั่นเอง
เสียงอีกคนกล่าวขึ้น “จะโทษแม่โจวก็คงมิได้ เป็นเอ้อร์เส้าเหยียเองที่หาใครก็ไม่เจอเลยสักคน จึงหงุดหงิดขึ้นมา นี่จึงทำให้แม่โจวต้องเคร่งครัดต่อกฎระเบียบทั้งหมด”
“เฮ้อ…แม้ว่าข้าไม่ค่อยเข้าใจการจัดการเรื่องภายในบ้านเท่าไหร่นัก แต่ก็รู้ดีว่ากฎระเบียบมีความสำคัญเพียงใด ทว่า…ให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเองก็ทำตัวไม่ถูกจริงๆ เจ้าก็รู้ดีว่าภูมิหลังของข้ามิได้สวยหรู ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เหล่าเหยียและฮูหยินจะยอมรับข้า…” ในเนื้อเสียงนี้เผยให้เห็นถึงความกังวลอย่างชัดเจน
“ที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายกล่าวมาก็ถูกเจ้าค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องที่แม่เถียนละทิ้งหน้าที่ไปโดยภาระการก็เป็นจริง จะให้โทษก็คงต้องโทษที่ช่างเลือกเวลาได้ประจวบเหมาะเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ไว้ข้าค่อยไปพูดเกลี้ยกล่อมให้แม่เถียนรู้สึกผ่อนคลายขึ้น จะทำให้นางเข้าใจผิดเป็นว่าข้าจ้องเล่นงานนางไปมิได้”
แม่เถียนเมื่อได้ยินถึงประโยคนี้ คิ้วขมวดเข้าหากันจนปนเป็นปมของนางก็ค่อยๆ คลายออก ที่แท้เรื่องในวันนี้มิใช่ความประสงค์ของเอ้อร์เส้าหน่ายนาย แต่เป็นเอ้อร์เส้าหน่ายนายและแม่โจวที่ไม่ลงรอยกับฮูหยิน อีกทั้งเอ้อร์เส้าหน่ายนายท่านนี้ก็ดูเหมือนให้ความเคารพแด่ฮูยินเป็นอย่างมากเสียด้วย… ขอแค่ท่านรู้จักยำเกรงไว้ก็ดีแล้ว
แม่เถียนเข้าใจว่าตนเองได้รับข้อมูลหนึ่งที่สำคัญมากพ่อตัว จึงอดมิได้ที่จะเผยสีหน้าอิ่มเอมใจออกมา
“แม่เถียน เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่…”
จิ่นซิ่วซึ่งมาจากด้านหลังและส่งเสียงขึ้น จนทำให้แม่เถียนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาฟังตื่นตกใจ
แม่เถียนหันไปแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “อ่อ! ข้ามีเรื่องต้องเข้าพบเอ้อร์เส้าหน่ายนายน่ะ หรูอี้บอกว่าเพลานี้เอ้อร์เส้าหน่ายนายมีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย จึงให้ข้ารออยู่บริเวณนี้”
จิ่นซิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “งั้นข้าเข้าไปบอกกล่าวให้แม่เถียนอีกแรงแล้วกัน!”
“ได้เช่นนั้นก็ดีไปเลย ข้ามีเรื่องด่วนน่ะ!” แม่เถียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จิ่นซิ่วเข้าไปภายในห้อง หลินหลันมุ่ยปากไปทางด้านนอก จิ่นซิ่วพยักหน้าพลางเผยรอยยิ้มภายใต้ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากัน หลินหลันและอวี้หลงมองหน้ากันและยิ้มออกมา ทุกคนเป็นอันรู้กันว่าประโยคพวกนี้เป็นการตั้งใจพูดเพื่อให้แม่เถียนได้สดับรับฟัง
จิ่นซิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียดังฟังชัด “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย แม่เถียนรออยู่ด้านนอกทางเข้าโดยบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการพบเอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ!”
หลินหลันลุกขึ้นยืนแล้วแสร้งทำเป็นกระตือรือร้น “ยังไม่รีบไปเชิญเข้ามาอีก”
เมื่อแม่เถียนถูกพาเข้ามา หลินหลันก็เผยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน “แม่เถียน ข้าก็กำลังอยากพบท่านพอเลยเลย!”
แม่เถียนซึ่งได้ยินคำพูดก่อนหน้าทั้งหมดแล้ว ความขุ่นเคืองที่มีต่อนายหญิงท่านนี้จึงลดลงไปบ้างเล็กน้อย นางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายมีเรื่องอันใดสั่งการข้าน้อยเช่นนั้นหรือ”
หลินหลันเอ่ยพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา “ข้ามิรีบร้อน แม่เถียนเชิญพูดเรื่องของท่านก่อนเถิด”
แม่เถียนไม่รีรอที่จะบอกกล่าวประเด็นปัญหาของตนเอง พูดออกมาจนดูเหมือนตนเองเป็นผู้น่าสงสาร จะหาผู้ช่วยสักคนก็หามิได้ แต่ละคนต่างบอกปัดด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา
หลินหลันแอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ แม่เถียนหารู้ไม่ว่า ที่พวกหรูอี้นางบอกปัดด้วยข้ออ้างต่างๆ นานานั้นล้วนเป็นการรับคำถ่ายถอดความประสงค์จากนางเอง เพื่อที่จะปลุกเร้าให้แม่เถียนมาพบนาง และเป็นการง่ายที่จะได้พูดสักสองสามประโยคให้นางได้ยิน “เรื่องนี้มิใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด จิ่นซิ่ว เจ้าไปบอกเหวินซานทีสิว่าให้เขาพาผู้ช่วยมาสักสองคนเพื่อมาช่วยแม่เถียนสักประเดี๋ยว”
เดิมทีแม่เถียนยังคิดว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะมอบผู้ช่วยให้แก่นางสักคนเสียอีก จึงรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจเล็กน้อย จึงทำได้แค่เอ่ยปากออกมาเอง “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านให้ข้าน้อยดูแลเรื่องเก็บกวาดข้าวของ ทว่าข้าน้อยมิมีผู้ช่วยเลยสักคน เช่นนี้คงไม่สะดวกในการจัดการเท่าไหร่นะเจ้าคะ! จะให้ข้ามาร้องขอท่านเช่นนี้อยู่ร่ำไปก็คงมิได้กระมังเจ้าคะ…”
หลินหลันกล่าวอย่างครุ่นคิด “ที่แม่เถียนพูดก็ถูกยิ่งนัก งั้นไว้ข้าพูดกับแม่โจวแล้วกัน และให้นางจัดการเรื่องนี้ให้แก่ท่าน”
หลังจากเรื่องของแม่เถียนได้ข้อสรุปเรียบร้อย หลินหลันจึงให้จิ่นซิ่วและอวี้หลงออกไปเสียก่อน แล้วจึงเอ่ยพูดกับแม่เถียน “เรื่องในวันนี้ ท่านอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลยนะ แม่โจวเป็นผู้ที่เอาจริงเอาจังในทุกเลยไปหน่อย ทว่านางมิใช่คนไม่ดีแต่อย่างใด แน่นอนว่ามิได้มีประสงค์ร้ายต่อท่าน ในส่วนของการลงโทษ ในเมื่อได้ป่าวประกาศออกไปต่อหน้าทุกคนแล้ว ข้าเองก็มิอาจหักหน้านางได้และเป็นเรื่องที่มิอาจกระทำได้ด้วย เช่นนั้นเงินตอบแทนครึ่งเดือนนี้…ข้าจะให้ท่านเป็นการส่วนตัวแล้วกัน”
เมื่อนายหญิงเริ่มแสดงทีท่าให้ความโปรดปราน แม่เถียนจึงแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “จะทำเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ เป็นข้าน้อยเองที่ประมาทเลินเล่อจนทำผิดกฎ แล้วจะให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายสมทบเงินให้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “แม่เถียนอย่ามัวเกรงใจข้าอยู่เลย ข้าเองก็รู้ว่าการที่ให้ท่านทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเก็บกวาดนั่นเป็นการทำให้ท่านน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ด้วยตอนนี้ไม่มีส่วนอื่นที่ขาดแคลนจริงๆ ดังนั้นแม่เถียนแค่จัดการเรื่องที่ได้รับมอบหมายให้สบายๆ ไปก่อน รอให้ผ่านไปสักระยะ ข้าจะมองดูอีกครั้งว่ามีหน้าที่ใดซึ่งเหมาะสมกับแม่เถียนหรือไม่ แล้วจะได้ปรับเปลี่ยนให้ท่าน”
ขณะนี้เองที่แม่เถียนดีใจจริงๆ จนออกหน้าออกตา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายมีความตั้งใจจะยกระดับข้าน้อยขึ้น ข้าน้อยเองจะทำให้สุดความสามารถเจ้าค่ะ”
หลินหลันฉีกยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “เจ้ารู้อยู่ในใจก็เป็นพอ ออกไปทำงานของเจ้าเถิด! เอ้อร์เส้าเหยียกำลังรอใช้ห้องตำราอยู่น่ะ!”
หลังจากส่งแม่เถียนออกไปเป็นที่เรียบร้อย อวี้หลงและจิ่นซิ่วก็กลับเข้าไปในห้อง “เอ้อร์เส้าหน่ายนายจะมอบผู้ช่วยให้แม่เถียนจริงหรือเจ้าคะ” จิ่นซิ่วเอ่ย
หลินหลันแสยะยิ้มเล็กน้อย “เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของแม่โจวแล้วล่ะ” นางยังไม่เพรียบพร้อมพอ จึงไม่สะดวกที่จะออกตัวแรงนัก เช่นนั้นก็ให้แม่โจวและหลี่หมิงอวินรับบทร้าย ส่วนนางรับบทคนจิตใจดี ทำให้นังแม่มดชรามองนางไม่ออก
การเข้ามายังตระกูลหลี่ในวันแรกก็ได้ผ่านพ้นไปเช่นนี้
หลังมื้อค่ำสิ้นสุดลง หลินหลันกับหลี่หมิงอวินจึงได้พูดคุยกันเรื่องที่พี่สะใภ้ใหญ่ส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้
หลี่หมิงอวินดูเหมือนไม่สนใจใยดีเท่าไหร่นัก เพียงส่งเสียง “อืม” ออกมาเท่านั้น แล้วหยิบตำราไปนั่งอ่านบนเตียงนอนเดี่ยวอย่างสบายใจ
หลินหลันเอ่ยพำพึมอยู่กับตนเอง “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าท่านนี้ ข้ายังมองไม่ออกจริงๆ เมื่อกลางวันที่หนิงเฮ๋อถาง นางไม่เหลือบสายตามองข้าเลยแม้แต่น้อย เอาแต่นิ่งเงียบเย็นชา ทว่าภายหลังกลับส่งของขวัญมาให้มากมายเช่นนี้ แล้วยังให้สาวใช้นำคำมาบอกกล่าวประมาณว่าหลังจากนี้ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ให้ทำความสนิทสนมกันเอาไว้มากๆ ”
หลี่หมิงอวินซึ่งกำลังพลิกเปิดอ่านตำราอยู่นั้นหยุดชะงักขึ้นกะหันหัน เขาช่างใจคิดทบทวนแล้วจึงกล่าวขึ้น “หลังจากนี้เจ้าแค่ให้ความสุภาพต่อนางเท่านั้นเป็นพอ”
หลินหลันกล่าว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ได้โง่ขนาดที่ว่าไม่รู้จักพูดจาดีๆ สักสองสามประโยคต่อผู้ที่ส่งของขวัญมากมายมาให้ข้าหรอกนะ ข้าเองก็รู้จักคู่ต่อสู้ของข้าดีอยู่ ใครจะรู้ว่าบางทีที่นางทำเช่นนี้อาจเป็นเพราะหมิงเจ๋อให้นางทำก็ย่อมได้ แสร้งทำเป็นตีสนิทข้า แล้วหลอกล่อด้วยกลอุบายต่างๆ คนประเภทนี้ในครอบครัวเจ้า ข้าไม่เคยเชื่อถือผู้ใดทั้งสิ้น”
หลี่หมิงเจ๋อเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เจ้ารู้แล้วก็ดี” แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือของเขาต่อไปดั่งเดิม
“เหตุใดเจ้าไม่อ่านหนังสือที่ห้องตำรา อยู่ที่นี่ฟังข้าพูดบ่นไปเรื่อยแล้วเจ้าอ่านหนังสือรู้เรื่องด้วยหรือ” หลินหลันไม่ชอบท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของเขาเอาเสียเลย และก็รู้ดีด้วยว่าเวลาของเขากระชันชิดเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว จึงจำเป็นต้องเอาจริงเอาจริงอย่างหนักแข่งกับเวลา แต่เมื่อเขาอยู่ที่นี่นางก็อดไม่ได้ที่จะรบกวนเขาด้วยการชวนพูดคุยนู้นนี่
“คืนนี้ข้าจะอ่านหนังสืออยู่ที่นี่ แล้วพรุ่งนี้ข้าค่อยไปห้องตำรา ส่วนกลางคืน…ก็จะนอนที่ห้องตำรานั่นเลย” หลี่หมิงอวินพูดแบบลอยๆ
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ข้าไม่เสียงดังรบกวนเจ้าแล้ว” หลินหลันมุ่ยปากแล้วหันไปเปิดกล่องยาของนาง เตรียมจะทำแผลทายาใหม่อีกครั้ง
เมื่อเปิดกล่องยาขึ้น หลินหลันก็เห็นจดหมายที่ภรรยาท่านเจ้าเมืองให้นางนำติดตัวมา ลืมไปเสียสนิทเลย ด้วยช่วงระยะก่อนหน้าวุ่นวายอยู่กับการรักษาเฉียวอวิ๋นซี จึงยังไม่ได้จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย อีกทั้งไม่รู้ว่าในจดหมายนี้มีเรื่องเร่งด่วนอันใดด้วยหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นการทำให้เรื่องสำคัญของเขาล้าช้าไป นางจะทำให้ความไว้วางใจของผู้อื่นที่มีต่อนางต้องผิดหวังไปมิได้
“หมิงอวิน…เจ้าจะมีเวลาว่างเมื่อใดหรือ”
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว มิใช่ว่าจะไม่เสียงดังรบกวนเขาแล้วหรอกหรือ นี่เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงสองบรรทัดเท่านั้นเองนะ
“มีธุระอันใดหรือ”
หลินหลันถือจดหมายขึ้นมาส่ายไปมา “ข้าลืมเจ้าจดหมายนี่ไปเสียสนิทเลย เวลาก็ล่วงเลยมานานมากแล้วจึงจำเป็นต้องรีบนำไปส่งถึงจะเป็นการดี”
หลี่หมิงอวินก็เพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้เมื่อเห็นจดหมายเช่นกัน เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วจึงเอ่ยขึ้น “วันมะรืนแล้วกัน! วันมะรืนเข้าไปฉิ่งอานแม่มดชราแล้วข้าค่อยพาเจ้าไปจวนแม่ทัพฮวยฮั้ว”
หลินหลันประหลาดใจ “ทำไมต้องวันมะรืนด้วย พรุ่งนี้เลยมิได้หรือ”
หลี่หมิงอวินหลี่สายตามองไปยังหัวเข่าของนาง “ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังบาดเจ็บหรอกหรือ หากให้แม่มดชรารู้ว่าเจ้าออกจวนไป แต่กลับไม่เข้าไปให้การฉิ่งอานแด่นาง จะไม่ตกเป็นขี้ปากของคนพวกนั้นหรือ”
หลินหลันตาสว่างขึ้นมาทันที นางลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน