ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 71 ร่วมวงอาหารเช้า
หลี่จิ้งเสียนไปราชวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้แต่เช้าตรู่ ดังนั้นการฉิ่งอานจึงเป็นไปอย่างเรียบง่ายสบายๆ โดยแสดงความเคารพทักทายแม่มดชราผู้เดียวเท่านั้น
ฮานชิวเยว่แสดงท่าทีราวกับแม่ผู้แสนใจดี โดยการเป็นห่วงเป็นใยบาดแผลของหลินหลัน “บาดแผลหายดีแล้วหรือยัง”
หลินหลันเองก็แสดงบทบาทลูกสะใภ้ผู้เรียบร้อยแสนดีและมีคุณธรรมอย่างเข้าถึงบทบาทด้วยเช่นกัน นางก้มหน้าพลางหลุบสายตาลงเล็กน้อย ให้ความเคารพและแสดงความซาบซึ้งต่อความห่วงใยของแม่สามี
“ทำให้ท่านแม่เป็นกังวลเสียแล้ว บาดแผลนี้เล็กน้อยมิเป็นอะไรเจ้าค่ะ และบาดแผลก็เริ่มตะสะเก็ดแล้วด้วยเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อมิเป็นอะไรเช่นนั้นข้าก็วางใจแล้วล่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องระมัดระวังเอาไว้หน่อย อย่าให้เปียกน้ำเข้าเชียว หากหลงเหลือรอยแผลเป็นไว้ล่ะแย่เลย” ฮานชิวเยว่แนะเตือนอย่างใส่ใจ
หลินหลันพยักหน้าตอบรับ
บรรยากาศเป็นไปอย่างกลมเกลียวชื่นมื่นยิ่งนัก
ขณะนี้เองฮานชิวเยว่ได้เปลี่ยนมาเอ่ยถึงประเด็นการเรียนของหลี่หมิงอวินและหลี่หมิงเจ๋อด้วยความใส่ใจ
“การสอบระดับมณฑลครั้งนี้ ท่านพ่อของพวกเจ้าทั้งสองตั้งความหวังเอาไว้อย่างสูง พวกเจ้าทั้งสองจะต้องทุ่มเทให้มากๆ อย่าทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวัง ตระกูลหลี่ก็ได้แต่หวังให้พวกเจ้าทั้งสองเป็นหน้าเป็นตาให้แล้วล่ะ”
หลี่หมิงอวินและหลี่หมิงเจ๋อขานรับเป็นเสียงเดียวกัน “ขอรับ…”
ฮานชิวเย่วมองดูสีหน้าของหลี่หมิงอวินแล้วจึงกล่าวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “แต่ถึงอย่างไร ก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย อย่าหักโหมมากเสียเกินไป แม่เจียง เดี๋ยวเจ้าไปสั่งทางห้องครัวว่าทุกวันหลังจากนี้ให้จัดเตรียมซุปโสมสำหรับคุณชายทั้งสองคน อ่านตำรากันอย่างเหน็ดเหนื่อย จำเป็นต้องบำรุงร่างกายเข้าไว้ถึงจะเป็นการดี”
แม่เจียงตอบรับด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
ผู้เป็นบุตรชายทั้งสองต่างพร้อมใจกันเอ่ยขึ้นเป็นเสียงเดียวกันอีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านแม่ที่เป็นห่วงขอรับ”
ช่างเป็นฉากท่านแม่ผู้ใจดีที่แสนอบอุ่นเสียจริง แต่น่าเสียดาย…หลินหลันและหลี่หมิงอวินเห็นธาตุแท้ของแม่มดชราผู้นี้เสียก่อนแล้ว ในเมื่อนางมีความพยายามในการปั้นหน้าแสดงบทท่านแม่ผู้ใจดี เช่นนั้นพวกเขาทั้งสองก็จะแสดงเป็นเพื่อนนางด้วยแล้วกัน
ชุนซิ่งเข้ามาแล้วเอ่ยถาม “ฮูหยินเจ้าคะ อาหารเช้าเตรียมพร้อมแล้ว ให้นำมาจัดเรียงเลยไหมเจ้าคะ”
ฮานชิวเยว่เผยรอยยิ้มอ่อนโยน “ในที่สุดวันนี้ทุกคนในครอบครัวก็ได้พร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที เช่นนั้นวันนี้ก็อยู่ทานมื้อเช้าเป็นเพื่อนข้าแล้วกันนะ!”
อาหารเช้าถูกจัดวางภายในห้องขนาดเล็กด้านข้างถัดจากพื้นที่ห้องนี้ เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายเมนูและเคืองเคียงตามฤดูกาลสิบกว่าอย่าง ของว่างนานาชนิด ฮะเก๋า เฉียวม่ายโรว่ปิ่ง [1] ซาลาเปาไส้ผักไส้เนื้อ ขนมกุ้ยฮวา [2] แล้วยังมีโจ๊กพุทราจีน หลินหลันแอบถอดถอนหายใจอยู่ลึกๆ ลำพังอาหารเช้ามื้อเดียวก็ต้องอลังการเสียขนาดนี้ เงินเดือนของท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนั่นจะไปพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้อย่างไรกัน เกรงว่าของกินทั้งหมดนี่ล้วนเป็นเงินของท่านแม่ของหมิงอวินที่ทิ้งเอาไว้เสียมากกว่า! ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแทนหมิงอวินว่าท่านแม่ของเขาไม่ได้เรื่องเลย ยอมสละไปเสียง่ายๆ ปล่อยให้แม่มดชราอยู่เสวยสุขบนกองเงินกองทองนี้เสียได้
“มีเฉียวม่ายโรว่ปิ่งด้วย! เมนูนี้ข้าชอบที่สดุแล้ว” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม ฉุ่ยจือซึ่งอยู่ด้านข้างคีบปิ่งช่วยคีบปิ่งแทนคุณชายใหญ่ขึ้นมาหนึ่งชิ้นอย่างรู้งาน แล้วเอ่ยสาธยาย “เมนูฮะเก๋าวันนี้ห่อไว้ด้วยไส้กุ้งหน่อไม้ที่ต้าเส้าเหยียชอบมากที่สุดด้วยเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่มองดูบุตรชายกินอย่างเอร็ดอร่อย รอยยิ้มนั้นก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้น ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่ายังมี ‘ลูกชาย’ อีกหนึ่งคนกำลังร่วมโต๊ะอาหารด้วย จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แล้วหมิงอวินชอบกินอะไรหรือ ไว้คราวหน้าจะได้ให้ทางห้องครัวจัดเตรียมไว้”
หลี่หมิงอวินฉีกยิ้มอย่างไม่แยแส “ตั้งแต่ยังเยาว์วัยท่านพ่อคอยพร่ำสอนลูกว่า ต้องขยันขันแข็งและรู้จักมัธยัสถ์ การใช้ชีวิตหรูหราสะดวกสบายเกินไป จะทำให้ไม่อยากลงมือทำอะไร นอกเสียจากรักสนุกและดื่มด่ำกับความสุขสำราญ ดังนั้น สำหรับสิ่งเหล่านี้ลูกไม่เรื่องมากขอรับ มีแค่น้ำชาและอาหารง่ายๆ ไว้รองท้องก็เป็นพอขอรับ”
สนทนากันดีๆ ได้ไม่เท่าไหร่ ก็ถูกทิ่มแทงใจดำเข้ามาหนึ่งทีเสียแล้ว บนใบหน้าของฮานชิวเยว่ยังคงปรากฏรอยยิ้มขณะที่กล่าวด้วยอารมณ์อึดอัดเล็กน้อย “ที่ท่านพ่อเจ้าพูดเอาไว้ก็ถูกต้องยิ่งนัก”
หลี่หมิงเจ๋อเริ่มรู้สึกถึงความไม่พอใจ ท่านแม่หวังดีแท้ๆ เจ้าไม่เห็นน้ำใจก็ช่าง เหตุใดต้องพูดถากถางเยี่ยงนี้ด้วย กับอีแค่อาหารเช้าก็ต้องพูดให้มากความ ช่างเอาใจยากเสียจริง
เมื่อติงหลั้วเหยียนสังเกตเห็นว่าเขาต้องการจะโต้ตอบ จึงรีบเตะเข้าไปที่ขาของหลี่หมิงอวินอย่างเบาๆ ขณะตนเองก้มหน้าก้มตากินโจ๊ก
หลี่หมิงเจ๋อสกัดกลั้นอารมณ์ลงได้ กันกินเกี้ยวคำโตๆ ราวกับตั้งใจกินเย้ยให้หลี่หมิงอวินดู
หลี่หมิงอวินหาได้สะทกสะท้านไม่ เขากินโจ๊กอย่างชาๆ สบายๆ
เป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งที่ทุกคนตกอยู่ในสภาวะเงียบกริบ มีเพียงเสียงกัดกินอาหารต่างๆ ที่ออกจะเว่อร์วังไปเสียหน่อยของหลี่หมิงเจ๋อ บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลินหลันค่อยๆ ลิ้มรสซาลาเปาไส้ผักอย่างใจเย็น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ซาลาเปาไส้ผักนี้รสชาติสดใหม่และอร่อยใช้ได้เลย ไม่ทราบว่ามีกรรมวิธีทำอย่างไรหรือ”
ในที่สุดก็มีคนเอ่ยปากขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอันแสนอึดอันนี้ หากไม่มีผู้ใดยอมเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน จะได้ไม่อึดอัดขึ้นไปอีก แม่เจียงจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ง่ายมากเจ้าค่ะ ใช้ผัดสดปรุงรสด้วยซุปนกพิราบก็เป็นอันเรียบร้อยเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายชอบกินซาลาเปาไส้ผัก แม่ชิวผู้ดูแลทางห้องครัวสามารถทำออกมาได้หลายสิบชนิดเลยเจ้าค่ะ!”
นี่ยังเรียกว่าง่ายอยู่อีกหรือ แต่ซาลาเปาไส้ผักกาดขาว ยังต้องใช้ซุปนกพิราบในการเพิ่มรสชาติ นี่มันต้นทุนสูงไม่ธรรมดาเชียวนะ
หลินหลันไม่แสดงออกทางสีหน้ามากมายแต่อย่างใด “แม่ชิวช่างฝีมือดีจริงๆ ข้าไม่เคยได้ลิ้มรสซาลาเปาไส้ผักที่อร่อยเช่นนี้มากว่า ทำได้อร่อยกว่าที่กุ้ยซ่าวทำเยอะเลย”
“ไว้วันหลังเจ้ามาบ่อยๆ จะให้แม่ชิวทำไว้ให้เจ้า” ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น แล้วหยิบเอาซาลาเปาไส้ผักขึ้นมากิน อีกทั้งยังยื่นให้หลี่หมิงอวินลองกัดสักหนึ่งคำ “เจ้าลองกินดูสิ รสชาติอร่อยจริงๆ นะ”
หลี่หมิงอวินเล่นไปตามน้ำ ค่อยๆ กัดเข้าไปหนึ่งคำอย่างนุ่มนวล
ฮานชิวเยว่เอ่ยถามหลินหลันขึ้นมากะทันหันขณะมองดูนาง “ทางด้านเรือนหลั้วเซี๋ยจายเข้าที่เข้าทางหรือยัง กำลังคนเพียงพอหรือไม่”
หลินหลันตกใจขึ้นมาชั่วขณะ นี่แม่มดชราคงกำลังต้องการเอ่ยถึงเรื่องแม่เถียนสินะ
หลินหลันวางซาลาที่เพิ่งกินเข้าไปครึ่งเดียว แล้วเอ่ยตอบ “ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วเจ้าค่ะ ในส่วนของกำลังคน…ณ ตอนนี้ยังคงเพียงพอเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่พยักหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดีจ้ะ หลังจากนี้มีอะไรที่ไม่เข้าใจก็ถามแม่เถียนได้ เดิมทีนางเป็นผู้ดูแลห้องคลังทรัพย์สิน ข้าเห็นว่านางทำงานได้ละเอียดรอบครอบ ก็เลยให้นางไปช่วยเหลือแบ่งเบาเจ้า”
ความหมายที่สื่อมานี้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง สำหรับนางแม่เถียนถือว่าเป็นคนที่ใช้การใช้งานได้ และเป็นความเมตตาของนางที่มีต่อสะใภ้คนใหม่ที่ไม่รู้ประสีประสาอะไรจึงส่งคนไปช่วยเหลือแบ่งเบา เจ้าก็ต้องใช้แม่เถียนให้เหมาะสมถึงจะถูก
หลินหลันส่งเสียหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วจึงกล่าวออกไป “แม่เถียนยอดเยี่ยมมาก และมีความสามารถในการทำงาน คราวหลังข้าจะขอคำแนะนำจากแม่เถียนให้มากๆ เข้าไว้เจ้าค่ะ”
ประโยคดังกล่าวถึงจะพูดออกมาก็ไม่ต่างจากการไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ฮานชิวเยว่ฉีกยิ้ม เจ้าคิดจะบ่ายเบี่ยงข้างั้นหรือ ข้าต้องการให้เจ้าพูดอย่างกระจ่างชัดแจ้งต่างหาก
“ข้าได้ยินมาว่า แม่เถียนกำลังดูแลในส่วนเก็บกวาดทำความสะอาดอยู่หรือ”
หลินหลันคิดในใจ นี่นังแม่มดชราต้องการพูดต่อรองเพื่อแม่เถียนหรือต้องการหยั่งเชิงนางกันแน่
“เรียนท่านแม่ ด้วยความที่แม่เถียนมาช้าไปหน่อย แม่โจวจึงได้จัดสรรปันส่วนงานไปจนเกือบเรียบร้อยแล้ว จะขาดก็แต่ผู้ดูแลด้านเก็บกวาดทำความสะอาดเท่านั้น ลูกจึงทำได้แค่ให้นางดูแลในส่วนนั้นไปก่อน แล้วภายหลังค่อยปรับเปลี่ยนกันอีกทีเจ้าค่ะ” หลินหลันโยนความผิดกลับไปยังแม่มดชรา แม้ว่าจะไม่ถูกใจเจ้าเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องว่ากันไปตามลำดับก่อนหลัง!
หลี่หมิงอวินซึ่งกินอิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยคด้วยทีท่าผ่อนคลาย “แม่โจวเป็นผู้ดูแลคนเก่าคนแก่เคียงกายของท่านยายน่ะขอรับ”
ไม่เอ่ยอะไรให้ยืดเยื้อ เพียงแค่ประโยคเดียวซึ่งกำลังให้การอธิบายแก่แม่มดชราว่าแม่โจวเป็นคนของใคร ทว่ากลับเป็นการแสดงจุดยืนของเข้าได้อย่างชัดเจน แม่เถียนเป็นคนที่เจ้าส่งมา ส่วนแม่โจวเป็นคนที่ท่านยายส่งมา ใครกันที่สำคัญกว่า เจ้าไปคิดเอาเองแล้วกัน!
ฮานชิวเยว่แสร้งยิ้มและกล่าวออกไป “มีแม่โจวอยู่ทั้งคน ข้าก็เบาใจขึ้นเยอะ”
หลี่หมิงอวินหันไปมองหลินหลันพลางเอ่ยถามด้วยเนื้อเสียงนุ่มนวล “เจ้ากินอิ่มแล้วหรือยัง”
หลินหลันมองซาลาเปาที่เพิ่งกินเข้าไปเพียงครึ่งเดียว นี่ยังไม่แสดงให้เห็นได้อีกหรือว่ายังกินไม่อิ่ม
“กินอิ่มแล้วล่ะ” หลินหลันกล่าวอย่างเซงๆ ภายใต้ทีท่าเสียดายอาหารที่อยู่เบื้องหน้าเป็นอย่างยิ่ง
หลี่หมิงอวินพยักหน้าแล้วจึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปคาราวะให้แด่นางฮาน “ท่านแม่ ลูกกับหลินหลันต้องไปเยี่ยมเยียนท่านแม่ทัพฮวยหย่วนที่จวน จึงต้องขอตัวก่อน”
ฮานชิวเยว่ตื่นตกใจ จวนแม่ทัพฮวยหย่วนงั้นหรือ หมิงอวินไม่อยู่เมืองหลวงตั้งหลายปี เหตุใดพอกลับมาพร้อมกับความสัมพันธ์เกี่ยวข้องก้องท่านพระยาจิ้งและท่านแม่ทัพฮวยหย่วนไปได้ หรือว่าแม้ตัวเขาจะอยู่ที่เฟิงอาน ทว่ามีการติดต่อสร้างสัมพันธ์ในเมืองหลวงอยู่ตลอด ตลอดจนวางแผนการต่างๆ ไว้แต่เนิ่นๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่อาจถามซักไซ้ไล่ความอะไรได้ ฮานชิวเยว่จึงได้แต่กล่าวออกไป “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปกันก่อนเถิด”
หลินหลันลุกขึ้นยืนและให้การคาราวะพร้อมกับเอ่ยลาเช่นกัน
หลังจากทั้งสองเดินจับมือกันออกจากหนิงเฮ๋อถางไป
หลินหลันเป่าแก้มตุบป่อง กล่าวด้วยอาการเคืองใจ “ข้ายังกินไม่อิ่มเลยนะ!”
หลี่หมิงอวินอมยิ้ม “หากข้าไม่รีบพาเข้าออกมา เกรงว่าแม่มดชราจะยังถามเจ้าไม่เลิกไม่รา และด้วยการเผชิญหน้าต่อคนเหล่านี้ ต่อให้อาหารเลิศรสเพียงใดก็ไม่ต่างจากเคี้ยวขี้ผึ้ง ไปกันเถอะ! ข้าพาเจ้าไปกินของอร่อยๆ ”
หลินหลันตาลุกวาวขึ้นมาทันทีทันใด “จริงนะ?”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มจางๆ “แน่นอน เจ้าไปกับข้า ข้าจะปล่อยให้เจ้าอดอยากได้อย่างไรกันหรือ”
ภายในหนิงเฮ๋อถาง หลี่หมิงเจ๋อวางตะเกียบลง และเอ่ยบ่น “ช่างขวางโลกเสียจริง กะอีแค่กินข้าวก็ยังต้องทำให้มีปัญหา”
ติงหลั้วเหยียนมองสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักของผู้เป็นแม่สามี ก่อนจะส่งสายตาเป็นสัญญาณให้แก่หลี่หมิงเจ๋อ พลางเอ่ยเสียงบางเบา “อย่าทำให้ท่านแม่เสียอารมณ์”
หลี่หมิงเจ๋อสบถฮึด้วยความอึดอัดใจ “ข้ากลับไปอ่านหนังสือก่อนแล้วกัน” เขายกมือขึ้นให้การคาราวะขณะพูด แล้วเดินจากไปอย่างไม่แยแส
ฮานชิวเยว่เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา มองดูอาหารที่เหลือเต็มไปหมดบนโต๊ะอย่างเหม่อลอย
แม่เจียงโบกมือเป็นสัญญาณให้ชุนซิ่งพร้อมคนอื่นๆ ออกไปก่อน
“หลั้วเหยียน เจ้าคิดว่าหลินหลันผู้นี้เป็นคนเยี่ยงไร”
การโยนคำถามนี้ออกมากะทันหันของผู้เป็นแม่สามี ทำให้ติงหลั้วเหยียนครุ่นคิดไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยออกมา “ข้ามองว่าน้องสะใภ้ดูน่ารักและน่าถะนุถนอมเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่กระตุกยิ้มมุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชา น่ารักและน่าถะนุถนอมงั้นหรือ เห็นทีว่าหลั้วเหยียนจะไร้เดียงสาเกินไปเสียแล้ว
“เจ้าเองก็กลับไปก่อนเถอะ! เกลี้ยกล่อมหมิงเจ๋อ อย่าได้ใจร้อนเกินไป การรักษาชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง อย่าให้เรื่องสำคัญต้องล่าช้าออกไปเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้” ฮานชิวเยว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ติงหลั้วเหยียนพยักหน้าตอบรับ แล้วออกไป
“ต้าเส้าหน่ายนายจิตใจงดงามเกินไป เล่ห์กลสักนิดก็ไม่มี…” แม่เจียงกล่าวอย่างกังวลใจ ในภายภาคหน้าคุณหนูสะใภ้ใหญ่จะต้องเป็นผู้ดูแลเรื่องในบ้าน พอมาเป็นเช่นนี้แล้วจะไหวหรือ
ฮานชิวเยว่ถอดถอนหายใจ “หากนางได้หลินหลันสักครึ่งหนึ่ง ข้าก็คงไม่ต้องเป็นกังวลใจแล้วล่ะ”
แม่เจียงขมวดคิ้ว “ฮูหยินมองออกแล้วหรือเจ้าคะ”
นัยน์ตาของฮานชิวเยว่ฉายแสงแห่งความเจ้าเล่ห์ และกล่าวอย่างเย็นชา “จะเป็นการดีที่สุดหากพวกเรามองผิดไป มิเช่นนั้น คงเป็นการยากที่จะต่อกรได้”
แม่เจียงบ่นพึมพำ “จริงอย่างที่ฮูหยินว่าเจ้าค่ะ เมื่อครู่จากการฟังคำตอบของนาง ทั้งบ่ายเบี่ยงและจงใจสับหลอกไปมา พูดออกมาได้เป็นอย่างดี…และเอ้อร์เส้าเหยียก็ดูเหมือนไม่ค่อยตอบรับน้ำใจด้วยความขอบคุณของฮูหยินที่มอบให้เท่าไหร่นัก”
“ยิ่งเสียกว่าไม่ตอบรับน้ำใจที่ข้ามอบให้ด้วยความขอบคุณเสียอีก การให้ความเคารพของเขาก็เป็นเพียงแค่การแสดงพอเป็นพิธีเท่านั้น ทว่าในใจเกลียดข้าจนอยากจะกำจัดข้าให้สิ้นซากจะแย่” ฮานชิวเยว่กล่าวภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม
“พวกเขาสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ร่วมมือกันได้อย่างแยบยลสมบูรณ์แบบเสียจริงเจ้าค่ะ” แม่เจียงกล่าวด้วยความหงุดหงิด คนเดียวค่อยต่อกรง่ายดายหน่อย ทว่าสองคนร่วมมือกัน มันก็ชักไม่ง่ายเสียแล้ว
สีหน้าของฮานชิวเยว่เคร่งเครียดมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ “ต่อให้หลินหลันเป็นคนหัวแหลม พวกเราก็ต่อกรนางได้อยู่แล้ว ที่ต่อกรยากคือหลี่หมิงอวินต่างหาก…ตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว เจ้าไปส่งข่าวให้คนนั้นเตรียมพร้อมไว้ ในเร็วๆ นี้ให้ลงมือได้”
ติงหลั้วเหยียนก้าวเดินไปอย่างอ้อยอิ่งพลางครุ่นคิดสับสนภายในใจ ประโยคคำถามที่ท่านแม่เอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่ามีความหมายอื่นแอบแฝง หลินหลันเป็นคนอย่างไร นางไม่จำเป็นต้องไปไขว่คว้าหาคำตอบ หมิงอวินให้ความสำคัญต่อหลินหลันเสียขนาดนี้ นั่นหมายความว่าหลินหลันจะต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาผู้หนึ่ง ท่านแม่ดูเหมือนเมตตาใจดีต่อหมิงอวิน ทว่านางรู้ดีว่าภายในใจของแม่สามีคิดอย่างไร หมิงอวินผูกใจเจ็บ แล้วท่านแม่จะปล่อยวางใจได้เยี่ยงไร ด้วยความรู้สึกลึกๆ นางไม่อยากให้แม่สามีเล่นงานหมิงอวิน ด้วยหลักการเป็นเหตุเป็นผล นางกลับทำได้เพียงช่วยเหลือสามีของตนเอง ช่างสร้างความลำบากใจยิ่งนัก จึงได้แต่หวังว่าหมิงเจ๋อจะฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง!
——
[1] แผ่นแป้งข้าวสาลีลัควิทอบข้างในมีใส่หมู หรือจะเป็นเนื้อวัว หรือเนื้อแพะ
[2] ส่วนผสมหลักคือแป้งข้าวโพด