ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 9 เข้าใจผิดไปแล้ว
หลินหลันตัดสินใจออกไปหยั่งเชิงปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เพียงแค่ต้องถ่วงเวลาไว้อีกซักหน่อย เอ้อร์นิวและซี่ซ่านก็จะสามารถพาคนอื่นๆ มาถึงในเร็วๆ นี้ น่าจะไม่มีอันตรายอะไรหรอกน่า
เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด หลินหลันจึงหยิบก้อนหินติดมือทั้งสองไปด้วย ทักษะความสามารถด้านอื่นนางไม่มีหรอก แต่ว่าเรื่องความแม่นยำในการโยนสิ่งของนั้นขอให้บอก ยิ่งไปกว่านั้นนางคุ้นเคยกับจุดฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี หากนางต้องต่อสู้จริงๆ ก็ยังสามารถพอจะหาเวลาให้หลบหนีได้บ้าง
“เฮ้ย! พวกเจ้ามาจากไหนกัน มาหมู่บ้านเจี้ยนซีของพวกเราทำไม แล้วได้ไปรายงานตัวกับท่านหัวหน้าหมู่บ้านแล้วหรือยัง หากยังล่ะก็ หมู่บ้านเจี้ยนซีของพวกเราไม่ต้อนรับคนแปลกหน้าหรอกนะ” หลินหลันเผยลักษณะท่าทีในแบบที่ว่าไม่ต้อนรับพวกเจ้า โดยเอ่ยออกไปอย่างไร้ความเกรงใจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นทั้งสองก็หันหลังกลับมา แล้วเหลือบตามองไปยังหลินหลัน
หลินหลันก็มองไปยังพวกเขาอย่างระมัดระวังตัว กงจื่อผู้นี้อายุดูรุ่นราวคราวเดียวกับหลี่ซิ่วฉาย สวมใส่ชุดแขนยาวเนื้อผ้าอย่างดีสีเขียวน้ำทะเล เพียงแค่มองก็รู้ได้เลยว่าเป็นพวกคนรวย จากลักษณะรูปร่างหน้าตา ดวงตาดอกท้อคู่นั้นทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเกลียดขี้หน้าได้เป็นพิเศษ จะมองอย่างไรก็ดูไม่ใช่คนดี ผู้ที่ติดตามเขามาด้วยคนนั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ใบหน้ารูปยาวราวกับก้อนอิฐ นัยน์ตาที่แสนเย็นชาและเฉียบคม จ้องมองมาทีก็ราวกับว่าจะสามารถเจาะทะลุเรือนร่างให้เป็นรูพรุนได้
เจ้าของดวงตาดอกท้อคู่นั้นเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมากะทันหัน “แม่นางท่านนี้เป็นคนหมู่บ้านเจี้ยนซีเช่นนั้นหรือ”
หลินหลันเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “ตอบคำถามของแม่นางอย่างข้ามาเสียก่อน”
ใบหน้าของผู้ติดตามบูดบึ้ง “หญิงหมู่บ้านป่าเขา มักจะไร้ซึ่งมรรยาท”
“แล้วเจ้าล่ะมาจากแห่งหนใด บุกรุกบ้านผู้อื่นตามอำเภอใจเช่นนี้ถือว่ามีมารยาทงั้นรึ” หลินหลันเอ่ยสวนทันควันอย่างไม่พอใจ นิ้วโป้งแล้วนิ้วชี้บีบก้อนหินไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะโจมตีได้ตลอดเวลา
เจ้าของดวงตาดอกท้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อย่าได้หยาบคายต่อหญิงสาว”
คนติดตามจ้องเขม็งอย่างดุดันไปยังหลินหลัน และยอมก้าวถอยหลังไปแต่โดยดีแม้ไม่เต็มใจนัก
เจ้าของดวงตาดอกท้อเผยรอยยิ้มและเอ่ยขึ้น “แม่นาง พวกเราแค่มาเยี่ยมเยียนเพื่อน หลี่ซิ่วฉายเจ้าของที่พักอาศัยนี้เป็นเพื่อนเก่าของข้า”
หลินหลันรู้สึกประหลาดใจลึกๆ “เจ้ากำลังบอกว่าหลี่ซิ่วฉายเป็นเพื่อนเก่าของเจ้า แล้วหลักฐานล่ะ?”
เจ้าของดวงตาดอกท้อเผยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะแล้วเอ่ยออกมา “หลักฐาน? หากแม่นางไม่เชื่อ รอประเดี๋ยวได้พบซิ่วฉายก็ถามเอาหลักฐานจากเขาแล้วกัน” แม่นางผู้นี้ชักจะน่าสนใจเกินไปเสียแล้ว เรื่องเช่นนี้ยังต้องมีหลักฐานด้วยงั้นหรือ หรือว่าเขาจะต้องหยิบยกมิตรภาพดีๆ ระหว่างเขากับหลี่ซิ่วฉายในสิบกว่าปีมานี้เล่าให้นางฟัง? นางคิดว่านางเป็นใครกัน?
หลินหลันรู้สึกเคอะเขิน นางเองก็ไม่ได้รู้จักมักจีกับหลี่ซิ่วฉายนัก หากเขาแต่งเรื่องราวโกหกขึ้นมา นางก็คงจะแยกแยะไม่ออกเรื่องใดจริงหรือโกหก ขณะที่กำลังคิดจนปวดหัว กลับได้ยินเสียงของผู้ติดตามเจ้าของใบหน้าเย็นชาซึ่งกำลังมองจับจ้องไปยังทิศทางหนึ่งและเอ่ยขึ้น “กงจื่อ เขากลับมาแล้ว”
เจ้าของดวงตาดอกท้อและหลินหลันพร้อมใจกันหันมองไปยังทิศทางดังกล่าว และเห็นเพียงหลี่ซิ่วฉายกำลังถือตะกร้าลงมาจากภูเขา หลินหลันร้อนรนใจยิ่งนัก
เจ้าของดอกตาดอกท้อหรี่ตาลง นัยน์ตาของเขากำลังสว่างไสว ราวกับเสือดาวกำลังมองเห็นเหยื่อ ออกวิ่งตรงไปยังทิศทางของหลี่ซิ่วฉายทันที หลินหลันไม่รีรอที่จะขัดขวาง โดนยื่นขาด้านซ้ายออกไป สกัดเขาจนล้มลง แล้วเอ่ยตะโกนเสียงดัง “หลี่ซิ่วฉาย รีบหนีไป”
หลี่ซิ่วฉายเมื่อได้ยินหลินหลันตะโกนเสียงสูง อีกทั้งยังอยู่จากระยะที่ห่างไกลออกไป ไม่อาจเห็นชัดเจนว่าทางด้านนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาตื่นตระหนกตกใจไปชั่วขณะแล้วจึงรีบวิ่งหนีไป
เจ้าของดวงตาดอกท้อซึ่งถูกหลินหลันสกัดล้มลงบนกองขี้โคลน ในใจของเขากำลังโมโห ทว่ากลับเห็นว่าหลี่ซิ่วฉายวิ่งหนีไปแล้ว จึงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “เฉินเต๋อรีบตามไปเร็วเข้า”
ตอนที่ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาผู้นั้นเห็นผู้เป็นเจ้านายของตนถูกหลินหลันสกัดจนล้มลง เดิมทีอยากจะพุ่งเข้าไปจับตัวหลินหลันเอาไว้ ทว่าเมื่อผู้เป็นเจ้านายเอ่ยเตือนขึ้นมาเช่นนั้น เขาจึงรีบเปลี่ยนทิศทางแล้วเร่งฝีเท้าวิ่งขึ้นไปบนเขา
หลินหลันไม่ปล่อยให้เขาตามขึ้นไปได้ง่ายๆ เพียงสะบัดข้อมือ ก้อนเห็นขนาดเล็กก็ลอยละลิ่วออกไป และไปโดนเข้ากับข้อพับตรงบริเวณน่องขาของเจ้าของใบหน้าเย็นชาผู้นั้นพอดิบพอดี ส่งผลให้เขาเจ็บปวดจนเข่าอ่อนก้าวต่อไปไม่ไหว แล้วล้มทรุดตัวลงบนพื้น อีกทั้งปากยังกระแทกลงกับก้อนหิน ขณะนั้นเองเลือดสีแดงสดก็ไหลซึมออกมา
ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทันทีที่พยุงตัวลุกขึ้นยืน ก็พุ่งเข้าไปยังหลินหลันและตะคอกออกไป “ทำอะไรของเจ้า?”
“ข้าต่างหากที่ต้องถามพวกเจ้าว่าคิดจะทำอะไร!” หลินหลันสวนกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดุดันยิ่งกว่าเขา
“ข้าทำอะไรงั้นรึ? ข้าบอกแล้วไงว่าข้ามาพบหลี่ซิ่วฉายเพื่อนเก่าของข้า เจ้าขัดขวางพวกข้าหมายความว่าอย่างไร” เจ้าของดวงตาดอกท้อขณะนี้โกรธจนควบคุมอารมณ์และน้ำเสียงของตนเองไม่ไหวแล้ว เขารู้สึกโกรธเคืองยิ่งนัก ไม่ง่ายเลยที่จะสืบเสาะจนได้เบาะแสของหลี่ซิ่วฉายในที่สุด แต่ใครจะไปคิดว่าระหว่างทางจะดันมาเจอแม่เสือตัวร้ายหนึ่งตัว ยิ่งไปกว่านั้นดันเข้ามาทำให้เรื่องราววุ่นวายไปหมด แถมยังเล่นงานเขาจนล้มลงไปในกองขี้โคลน เขาเฉินจื่ออวี้ชั่วชีวิตที่ผ่านมานี้ล้วนไม่เคยต้องมาตกอยู่ในสภาพเลวร้ายเช่นนี้มาก่อน ช่างสุดเกินกว่าจะบรรยายเสียจริง
หลินหลันแสยะยิ้มเย็นชา “ยังจะกล้าพูดว่าเป็นเพื่อนเก่าอีกงั้นเรอะ! หากเป็นเพื่อนเก่า แล้วทำไมหลี่ซิ่วฉายจะต้องวิ่งหนี?”
เฉินจื่ออวี้โกรธจนพูดไม่ออก ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกให้เขาวิ่งหนีไปหรอกหรือ จนหลี่ซิ่วฉายตื่นตกใจถึงได้วิ่งหนีไปจริงๆ
“กงจื่อ อย่าได้เสียเวลาพูดกับนางเลย ปล่อยให้ข้าน้อยจัดการนางเอง” เฉินเต๋อเตรียมเผยวรยุทธ์ วันนี้ด้วยประมาทในสาวน้อยผู้นี้เกินไป จึงโดนเล่นงานยับเยิน ถึงขั้นปากแตกเสียได้ ความโกรธแค้นครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็กล้ำกลืนลงไปไม่ได้
ภาพลักษณ์ของชายหนุ่มใบหน้าน้ำแข็งดับอนาจ ริมฝีปากของเขาเผยอและบวมเปล่ง แม้กระทั่งพูดก็ยังพูดไม่ชัดเจน มีเพียงสายตาอาฆาตคู่นั้น ที่เผยให้เห็นถึงความโกรธแค้น หลินหลันเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย การกระทำเมื่อครู่มันออกจะเกินคาดไปเสียหน่อย ผลจึงออกมาเป็นอย่างที่เห็น ในตอนนี้คนพวกนั้นคงอดไม่ได้ที่อยากจะเอาชีวิตนางเสียแล้ว แน่นอนว่านางคงมิอาจสู้เจ้าของใบหน้าน้ำแข็งผู้นั้นได้เป็นแน่
“ข้าขอแนะนำว่าทางที่ดีพวกเจ้ารีบไสหัวไปซะ หัวหน้าชุมชนของพวกเราอีกประเดี๋ยวก็จะนำกำลังพลชาวบ้านมา ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็คอยดูให้ดีแล้วกัน” หลินหลันเอ่ยด้วยท่าทีข่มขู่ ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดเกรง เอ้อร์นิวปกติไม่ทำอะไรชักช้าเสียขนาดนี้หนิ หากยังไม่พาคนมาอีกล่ะก็ นางคงรับมือไว้ต่อไม่ไหวแล้วแน่
เจ้าของดวงตาดอกท้อผู้นั้นยิ้มออกมาทั้งๆ ที่ยังอัดแน่นไปด้วยความโกรธ แล้วปัดเศษฝุ่นที่ติดอยู่บนชุด “หัวหน้าหมู่บ้านกำลังมา? เช่นนั้นก็ยิ่งดีไปเลย ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนของหมู่บ้านเจี้ยนซีล้วนไร้ซึ่งเหตุผลเฉกเช่นเจ้าหรือไม่”
หลินหลันสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เหตุใดถึงกลับเป็นนางที่ไร้ซึ่งเหตุผลไปได้? เห็นอยู่ทนโท่ว่านางกำลังทำเรื่องที่ถูกต้อง
“หากจะไสหัวไปก็ต้องจัดการคนอย่างเจ้าให้เรียบร้อยเสียก่อน” เฉินเต๋อชักมีดออกมาแล้วพุ่งเข้าไปยังหลินหลัน
หลินหลันไหวตัวทัน โยนก้อนหินออกไป แล้วกลับหลังหันวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ช่างตอนนี้หลี่ซิ่วฉายก็วิ่งหนีไปแล้ว หน้าที่ของนางจึงเป็นอันสำเร็จลุล่วง
เฉินเต๋อใช้คมมีดฟันสกัดก้อนหินนั้นล่วงหล่นลง ภายในใจคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งความโกรธแค้น ออกวิ่งตามไป
หลินหลันตะโกนร้องเรียกให้ช่วยชีวิต ขณะเดียวกันก็วิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต
และในเวลาคับขันนี้เองก็ได้ยินเสียงของเอ้อร์นิวตะโกนกลับมา “หลินหลัน…พวกเรามาแล้ว!”
เอ้อร์นิวมาพร้อมกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพากันวิ่งหน้าตั้งเข้ามาพร้อมกับในมือที่กำลังถือจอบและมีดทำครัว ก่อนจะพากันรายล้อมเฉินเต๋อซึ่งวิ่งตามหลินหลันมาติดๆ เอาไว้
หลินหลันรีบเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังของเอ้อร์นิว เอ่ยกระซิบกระซาบ “ทำไมเจ้าเพิ่งจะมา”
เอ้อร์ตอบ “เรียกกำลังพลชาวบ้านมารวมกันก็ต้องใช้เวลาเป็นเรื่องธรรมดา”
เจ้าของดวงตาดอกท้อเมื่อเริ่มเห็นว่าสถานการณ์ชักจะบานปลายไปใหญ่ หากทำให้ชาวบ้านโง่เขลาเหล่านี้เกิดไม่พอใจขึ้นมา แม้เฉินเต๋อจะมีวรยุทธ์เก่งกาจเพียงใดก็ยังเสียเปรียบอยู่ดี จึงรีบเข้ามาเพื่อให้การอธิบาย
“ทุกท่าน เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว พวกเราแค่มาเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าก็เท่านั้นเอง”
เอ้อร์นิวกำลังชี้ไปยังเฉินจื่ออวี้และเฉินเต๋อ “เกอ เป็นพวกเขาสองคน”
ต้าหู่พี่ชายเอ้อร์นิวเห็นเฉินเต๋อถือมีดวิ่งไล่หลินหลันเช่นนั้น แล้วยังจะหลงเชื่อคำอธิบายของชายหนุ่มดวงตาดอกท้อผู้นั้นได้อีกหรือ กล้ารังเเกคนของหมู่บ้านเจี้ยนซีเช่นนี้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ? ขณะนั้นก็ม้วนพับแขนเสื้อขึ้น “มาให้ข้าจัดการเสียดีๆ ”
ฝูงชนพร้อมใจกันชูขึ้น ทั้งจอบและมีดทำครัวหันไปทางสองคนนั้น
เจ้าของดวงตาดอกท้อตื่นตกใจอย่างมาก คนหมู่บ้านนี้ทั้งป่าเถื่อนและไร้ซึ่งการเจรจาด้วยเหตุและผล
ขณะที่เฉินเต๋อร้อนรนปกป้องกงจื่อ คอยกำบังและถอยหลังไปในเวลาเดียวกัน
“หยุดก่อน หยุดเดี๋ยวนี้…”
หลี่ซิ่วฉายที่เมื่อครู่ตื่นตระหนกไม่ทันได้ไตร่ตรองแล้ววิ่งหนีไป พอมาได้คิดก็นึกขึ้นได้ว่าทำไม่ถูก หากเกิดอันตรายขึ้นมาจริง เขาวิ่งหนีไปเช่นนี้ แล้วหลินหลันจะทำอย่างไร ดังนั้นเขาจึงแอบกลับมาสอดส่องดูอีกครั้ง ทันทีที่กลับมาเห็นเขาก็ทั้งดีใจและตระหนกตกใจ ที่ดีใจก็เพราะผู้มาเยือนนั้นเป็นจื่ออวี้ และที่ตระหนกตกใจก็เพราะ จื่ออวี้และเฉินเต๋อกำลังถูกชาวบ้านรายล้อมเอาไว้
ชาวบ้านมองเห็นหลี่ซิ่วฉายพุ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต จึงรั้งมือไว้ และมองไปยังหลี่ซิ่วฉายด้วยความสับสนมึนงง ไม่เข้าใจว่าฉากนี้จะยังมีอะไรรออยู่อีก
หลี่ซิ่วฉายพุ่งไปยังชาวบ้านที่กำลังชูหมัด แล้วเอ่ยอธิบาย “เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแล้ว ทั้งสองท่านนี้คือเพื่อนเก่าของข้า มาจากถิ่นแดนไกลเพื่อเยี่ยมเยียนข้า”
หลินหลันและเอ้อร์นิวหน้าเสีย เป็นพวกนางที่เข้าใจผิด? ต้าหู่ถลึงตาใส่เอ้อร์นิว เอ้อร์นิ้วได้แต่ละอายใจแล้วก้มหน้าก้มตาลง
“ขอบใจทุกท่านที่ประสงค์ดี ไม่มีอะไรแล้วไม่มีอะไรแล้ว เชิญทุกท่านกลับกันไปเถิด!” หลี่ซิ่วฉายยกมือขึ้นประสานเข้าหากันเบื้องหน้าแสดงความเคารพ
ต้าหู่กลับเอ่ยขึ้นอย่างว่าง่าย “ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เช่นนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันเถิด!”
ชาวบ้านเองก็ต่างเชื่อฟังและพร้อมใจกันตามต้าหู่ลงภูเขาไป เอ้อร์นิวก็เดินจากไปพร้อมใบหน้าแสนสลดเช่นกัน
หลินหลันยังคงตะลึงอยู่กับที่ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัด นางรู้สึกอับอายขายหน้า จนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี
ได้ยินเพียงน้ำเสียงของหลี่ซิ่วฉายซึ่งเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ “จื่ออวี้ เจ้าตามหาเจอได้อย่างไรกัน”
เฉินจื่ออวี้ทุบหลี่ซิ่วฉายเข้าไปหนึ่งหมัดอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก และเอ่ยโทษ “เจ้าเด็กน้อย หลังเจ้าออกมาก็สามปีเข้าไปแล้ว จดหมายก็ไม่รู้จักส่งไปหาข้าบ้าง มาแอบอยู่ในที่ลับหูลับตาผู้คนเช่นนี้ ทำให้ข้าตามหาแทบแย่ อีกทั้งยังเกือบถูกคนจัดการเพราะคิดว่าเป็นผู้ร้าย” เฉินจื่ออวี้เอ่ยพลางมองไปยังหลินหลันซึ่งยังคงตกตะลึงและขยับปากคล้ายจะโต้เถียง เขาเผยท่าทีหยิ่งผยอง อีกทั้งยังมีความเยาะเย้ยเล็กน้อยราวกับกำลังเอ่ยว่า เจ้าไม่ได้ต้องการหลักฐานหรอกหรือ ดูเสียสิ! หลักฐานก็อยู่ตรงหน้านี่ไง หญิงชนบทผู้ไร้ซึ่งสมอง
หลินหลันเบิกตากว้างจ้องกลับไป และเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครใช้ให้พวกเจ้าสองคนทำลับลับล่อล่อ อีกทั้งยังเอ่ยออกมาว่า หนีไปแค่ไหนก็หนีไม่พ้นอะไรทำนองนี้ แล้วใครจะไปรู้ว่าเจ้ามาตามหาเพื่อนหรือมาตามแก้แค้นแน่?”
“ใครกันที่ทำลับลับล่อล่อ ข้ารูปลักษณ์อ่อนโยน หน้าต่อหล่อเหลา ตรงไหนหรือที่ดูเหมือนคนไม่ดี” เฉินจื่ออวี้รู้สึกโกรธมาก เฉินซานเส้าเป็นที่เรื่องลือยิ่งนักในเมืองหลวง แต่กลับถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีไปได้ แม่นางในหมู่บ้านนี้นอกจากไม่มีสมองแล้ว สายตายิ่งไม่ดีเข้าไปอีก
หลินหลันกรนด่าในใจ ยังมีคนประเภทที่เอ่ยชมตนเองได้ขนาดนี้อีกรึ! ช่างหน้าไม่อายเสียจริง