ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 98 เตียงนอนของข้า
หลินหลันมองดูหลี่หมิงอวินที่อยู่ในชุดคลุมสีแดงสดซึ่งมีลวดลายปักประณีตงดงาม อีกทั้งบนหมวกที่เขาสวมใส่ยังมีกงฮวา [1] เสียบอยู่ด้วย “ช่างมีสง่าราศีสมกับที่เป็นจอหงวนเสียจริง” นางกล่าวเชยชม
สาวใช้ที่อยู่ในห้องต่างพากันยิ้มเล็กยิ้มน้อย
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามนาง “มองพอแล้วหรือไม่ หากมองพอแล้วข้าจะได้ไปถอดชุดเสียที”
หลินหลันกล่าวขึ้นทันควัน “อย่าใจร้อนไปสิ! คนอื่นเขาอยากสวมใส่ชุดนี้กันจะแย่แต่หามีโอกาสสวมใส่ไม่! หากเป็นข้า คงได้ใส่นอนในค่ำคืนนี้ด้วยเสียเลย”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความรู้สึกอึดอัด “เจ้าไม่รู้ว่าการสวมใส่หมวกนี้มันร้อนมากเพียงใด แล้วยังมีเข็มขัดนี่อีก เส้นหนาเตอะขนาดนี้ ข้ารู้สึกไม่คุ้นชิน”
หลินหลันมองไปยังเข็มขัดที่มีหน้ากว้างพอตัว ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างหน้าตาเฉย “ชุดขุนนางก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้นมิใช่หรือ มิฉะนั้นจะเก็บพุงพลุ้ยของขุนนางฝ่ายทหารพวกนั้นไปได้อย่างไรกัน ไว้เจ้าเป็นขุนนางไปสักสามสี่ปีแล้วกลับมาคาดเข็มขัดเส้นนี้ก็คงพอดิบพอดีแล้วล่ะ”
หลี่หมิงอวินถึงกับหน้าเสีย ที่นางเอ่ยนั่นหมายความว่า ภายหลังเขาก็จะเปลี่ยนไปอ้วนพุงพลุ้ยเฉกเช่นขุนนางฝ่ายทหารงั้นหรือ
“เอาล่ะๆ เลิกมองได้แล้ว หรูอี้ ช่วยเตรียมชุดใหม่ให้ข้าเปลี่ยนด้วย” วันนี้หลี่หมิงอวินเดินทางไปตามถนนสายหลักของเมืองหนึ่งรอบภายใต้เรือนร่างที่ถูกปรกคลุมไว้ด้วยผ้าไหมสีแดงสด ผู้คนคงพากันคิดว่าเขาซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีแดงและขี่ม้าตัวใหญ่ชั้นยอด คงกำลังรู้สึกสง่าผ่าเผย แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วการที่เขานั่งอยู่บนหลังม้า โขลงเขลงไปมา มันทำให้รู้สึกเหนื่อยมากเพียงใด
“ไม่ได้ๆ ข้ายังมองดูไม่เต็มอิ่ม…” หลินหลันคัดค้าน
หลี่หมิงอวินมุ่งตรงไปยังห้องน้ำทันทีโดยหาสนใจนางไม่
หลินหลันมุ่ยปากและบ่นพึมพำ “ใจแคบจริงๆ ทีกับผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกลับให้เชยชมเสียเนิ่นนาน แต่กลับไม่ให้พวกเราที่คอยปรนนิบัติอย่างเหน็ดเหนื่อยได้เชยชมให้เต็มตาเสียหน่อย”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมา
ป๋ายฮุ่ยกล่าว “วันนี้ทั้งสอบเตี้ยนซื่อ ทั้งเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองหลังการสอบ ทั้งขี่ม้าไปรอบๆ ถนนสายหลัก เกรงว่าเอ้อร์เส้าเหยียคงจะเหนื่อยแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
“ข้าว่าผู้ที่เหนื่อยยิ่งกว่าคงเป็นเหล่าเหยีย ข้าได้ยินมาว่าเหล่าเหยียเที่ยวออกพบปะสังคมไปทั่วจนป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาเลย” จิ่นซิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลี่หมิงอวินเปลี่ยนไปอยู่ในชุดลำลองผ้าไหมตัวยาวสีขาว ผมของเขาถูกปล่อยสยายลงมา โดยมีป๋ายฮุ่ยรับหน้าที่ช่วยถักเปียให้เขา ทางด้านอวี้หลงหลังตระเตรียมเตียงนอนให้เป็นที่เรียบร้อยก็รมธูปหอมตามมุมเตียงทั้งสี่มุมรวมถึงผ้าห่มและหมอนด้วยเช่นกัน
หลินหลันทำเพียงมองดูอย่างเงียบๆ พวกนางตระเตรียมอย่างพิถีพิถันเช่นนี้ทุกวัน โดยไม่รู้ว่าเตียงนอนนี้มีเพียงนางผู้เดียวที่ขึ้นไปนอน กลิ่นธูปนี่ก็มีเพียงนางผู้เดียวที่ได้สูดดม หลี่หมิงอวินผู้น่าสงสาร! เก้าอี้นวมตัวยาวที่เขาใช้หลับนอนปราศจากคนช่วยตระเตรียมให้ หลินหลันมุ่ยริมฝีปากก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกายแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า
ขณะที่หยินหลิ่วกำลังจะติดตามนางไปเพื่อปรนนิบัติ หลินหลันก็หันกลับมาแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าช่วยไปชงน้ำผึ้งให้ข้าสักแก้วและชงชาปี้หลัวชุนมาให้เอ้อร์เส้าเหยียสักกาเถอะ!”
กว่าหลินหลันจะออกมา ภายในห้องก็หลงเหลือเพียงหลี่หมิงอวินเท่านั้น ทว่าเหตุใดเขาถึงได้ขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงล่ะ แล้วยังหลับตาด้วยหรือ
“นี่! หมิงอวิน ตรงนี้เป็นอาณาเขตของข้า” หลินหลันเดินเข้าไปแล้วผลักเขา
หลี่หมิงอวินไม่แม้แต่จะลืมตาขณะเดียวกันก็เอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยล้า “อย่ารบกวนน่า…ขี่ม้าวันนี้เล่นเอากระดูกข้าจะแยกออกจากกันแล้ว บนเตียงนี่นุ่มสบาย ข้าขอนอนบนเตียงแล้วกัน…”
หลินหลันย่นจมูก ขณะเดียวกันก็แอบตำหนิอยู่ในใจ เจ้าดูเหมือนคนที่อ่อนแอขนาดนั้นหรือไร
“แต่ข้าต้องเข้านอนแล้ว!” หลินหลันเอ่ย
หลี่หมิงอวินพลิกตัวเขยิบเข้าไปด้านในเพื่อเป็นการเว้นพื้นที่ให้ “เตียงกว้างใหญ่ขนาดนี้ มิใช่ว่านอนไม่ได้เสียหน่อย”
เอ่อ! นี่เขาต้องการแย่งชิงอาณาเขตของนางหรือ พอได้เป็นจอหงวนขึ้นมาก็คิดตั้งตนเป็นใหญ่?
“นี่! ปัญหาไม่ได้อยู่ที่นอนได้หรือไม่ได้ แต่นี่มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของข้าและของเจ้าต่างหาก…”
หลี่หมิงอวินที่กำลังมุดศีรษะแสร้งหลับกำลังเผยรอยยิ้มมุมปากขึ้นมา “สามีภรรยาไม่นอนร่วมเตียงเดียวกัน นี่สิมีปัญหา อีกอย่าง เจ้าเป็นหลี่ฮูหยินมาตั้งเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว เจ้าคิดหรือว่าผู้อื่นยังคงมองว่าเจ้าเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่” เขากล่าวอย่างสบายอกสบายใจ
หลินหลันกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม “ข้าไม่สนหรอกว่าผู้อื่นจะมองข้าอย่างไร ไม่ว่ายังไงเจ้าก็นอนตรงนี้ไม่ได้”
หลี่หมิงอวินเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าเหนื่อยมากแล้วจริงๆ หรือไม่คืนนี้เจ้าไปนอนบนเก้าอี้นวมนั่น”
ได้สิ๊! ในที่สุดก็เผยธาตุแท้อันแสนเจ้าเล่ห์ออกมาแล้วสินะ “ไม่มีทาง ไว้เจ้าไปนอนเองเถอะ” ขณะเอ่ยหลินหลันก็ปีนขึ้นไปบนเตียงนอน จะยอมไม่ได้เด็ดขาด หากยอมแล้วหนึ่งครั้ง พ่อหนุ่มนี้มีหวังได้คืบจะเอาศอกอย่างแน่นอน แล้วหลังจากนั้นนางได้แต่นอนบนเก้าอี้นวมตัวยาวนั่นเสียแล้ว หลินหลันจึงตัดสินใจตาต่อตาฟันต่อฟันไม่ยอมลดละ
เมื่อรู้สึกได้ว่านางเอนกายนอนลงมาแล้ว รอยยิ้มมุมปากอันเจ้าเล่ห์ของหลี่หมิงอวินก็เผยชัดยิ่งขึ้น
หลินหลันนอนลงภายใต้ความอึดอัดใจและหงุดหงิด นางเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มที่เคยคลุมเรือนร่างของหลี่หมิงอวินเอาไว้มาห่มบนตัวนางแต่เพียงผู้เดียว
หลี่หมิงอวินซึ่งยังคงหลับตา เขายื่นมือออกไปคลำจนเจอชายผ้าห่มแล้วดึงกลับคืนไป
หลินหลันออกแรงดึงกลับคืนมาอีกครั้ง พ่อหนุ่มผู้นี้คิดจะยึดครองเตียงนอนของนางไม่ว่า กระทั่งผ้าห่มของนางก็ยังจะแย่งไปด้วยหรือ
“นี่ไม่ใช่ผ้าห่มของเจ้าเสียหน่อย” หลินหลันยืนหยัดที่จะรักษาผลประโยชน์ของตนเองไว้ให้ได้
หลังจากนั้นหลี่หมิงอวินก็ทำให้สิ่งที่ส่งผลให้หลินหลันได้แต่มองอย่างงุนงง เขาค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาหานางขณะที่ทั้งสองยังคงหันหลังให้แก่กัน แล้วดึงชายผ้าห่มมาคุมช่วงเอวของเขาไว้พลางบ่นพึมพำ “ใจแคบจริงๆ …”
หลินหลันโกรธจนแทบคลั่ง นี่มันเขาเป็นอะไรไปแล้ว มิใช่ก็แค่ได้เป็นจอหงวนแล้วเท่านั้นเองหรือ เหตุใดถึงเริ่มผิดแปลกไปเสียแล้ว
หลินหลันออกแรงดึงอีกครั้ง แต่ไร้ซึ่งการขยับเขยื้อน นางเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปตะครุบผ้าหุบเตรียมจะดึงมันจากเขา
“เจ้าจะทำอะไร” หลี่หมิงอวินหันมองนาง เห็นเพียงดวงตาคู่กลมของนางที่กำลังจ้องเขม็งกับท่าทีโกรธเกรี้ยวจนกระหืดกระหอบ ซึ่งนั่นทำให้เขาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ผ้าห่มของเจ้าทำจากผ้าไหมซึ่งมันให้ความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มสบายเสียจริงเลย”
หลินหลันกล่าวด้วยอารมณ์หงุดหงิด “งั้นผ้าห่มนี่ข้ายกให้เจ้าแล้วเจ้าก็ไปนอนที่ของเจ้าซะ”
“ช่วยมีน้ำใจหน่อยได้ไหม ข้าขอนอนแค่คืนเดียวได้หรือไม่” หลังสิ้นประโยค เปลือกตาของหลี่หมิงอวินก็ปิดลงและกอดผ้าห่มเอาไว้แน่น
ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ มาชั่วขณะหนึ่งแล้ว และรู้สึกได้ว่านางยังคงอยู่ในอากับกิริยาเดิม อีกทั้งดวงตาคู่กลมโตยังคงจ้องเขม็งใส่เขาอย่างไม่ลดละเช่นกัน จังหวะหัวใจของหลี่หมิงอวินค่อยๆ เต้นถี่ขึ้น ในใจก็อดนึกตำหนิไม่ได้ เหตุหญิงสาวผู้นี้ถึงได้ใสซื่อเสียขนาดนี้นะ เขาอุตส่าห์หน้าด้านหน้าทน นางก็ยังไม่ยอมลดราวาศอกอีกหรือ ช่างไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ถูกผู้อื่นแย่งลูกกวาดไปอย่างไงอย่างงั้น นี่มันออกจะเกินไปเสียแล้ว
หลินหลันเบ้ปาก ขณะเดียวกันดวงตาก็เริ่มแดงระเรื่อ นางโน้มตัวข้ามไปแล้วแล้วดึงเอาผ้าห่มอีกผืนที่วางอยู่บนหัวเตียงก่อนจะกอดผ้าห่มแล้วลงจากเตียงนอนไป
หลี่หมิงอวินตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาชะโงกหน้ามองนางที่กำลังกอดผ้าห่มไว้ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมตัวยาว นัยน์ตาของนางมองมาที่เขาอย่างคับข้องใจกว่าครั้งไหนๆ
หลี่หมิงอวินแอบถอนหายใจ เห็นที่ว่าลูกไม้นี้จะไม่ได้เรื่องเสียแล้ว หญิงสาวผู้นี้ไม่เปิดช่องว่างให้เขาเลยแม้แต่น้อย ท้ายที่สุดหลี่หมิงอวินก็ยอมลงจากเตียงอย่างจำใจ เขาเดินไปข้างนางแล้วหย่อยตัวลงนั่ง “ก็ได้ เจ้ากลับไปนอนเถอะ!”
หลินหลันเห็นว่าแผนการของนางเป็นผล แอบรู้สึกพึงพอใจอยู่ลึกๆ ขณะที่ใบหน้ากลับแสดงออกอย่างผู้น่าสงสาร “เจ้าเพิ่งได้เป็นจอหงวนแท้ๆ ก็เริ่มรังแกข้าแล้ว เมื่อไหร่ที่เจ้าเป็นถึงขุนนางชั้นสูง เห็นทีว่าข้าคงได้แต่นอนบนพื้นกระดานแข็งๆ แล้วสินะ” นางโอดครวญ
มุมปากของหลี่หมิงอวินกระตุกเล็กน้อย นี่มันเกี่ยวกันตรงไหนหรือ
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน! ก็แค่เหนื่อยมากจริงๆ เท่านั้น” หลี่หมิงอวินไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปแล้วเช่นกัน เกิดเขาพูดความจริงออกไปแล้วนางรับไม่ได้ จนทำให้นางหนีเตลิดไปแล้วจะทำอย่างไรเล่า ช่างเถอะ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปแล้วกัน!
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงของเขาที่ราวกับกำลังรู้สึกอ่อนใจยิ่งนัก หลินหลันเริ่มคิดว่าหรือตนเองจะคิดเลยเถิดเกินไป ในเมื่อหลี่หมิงอวินมีมรรยาทต่อนางอย่างมากมาโดยตลอด หลินหลันจึงกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกละอายแก่ใจ “เช่นนั้นเจ้าขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ! ข้านอนตรงนี้สักคืนเป็นอันจบเรื่องไป”
“ช่างเถอะ บนเก้าอี้นี่มันแข็งกระด่าง เจ้านอนไม่คุ้นชินหรอก รีบขึ้นเตียงนอนไปเถอะ ข้าง่วงมากแล้วจริงๆ” หลี่หมิงอวินคว้าเอาผ้าห่มในอ้อมกอดของนางแล้วขึ้นไปนอนบนเก้าอี้ตัวยาว
พอกลายเป็นเช่นนี้ หลินหลันกลับรู้สึกละอายแก่ใจขึ้นมาเสียแล้ว นางสะกิดท่อนแขนของเขา “เจ้าไปนอนบนเตียงเถอะ เดี๋ยวข้านอนตรงนี้เอง”
หลี่หมิงอวินลืมตาขึ้นแล้วชายตามองนางพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “งั้นก็นอนเตียงเดียวกัน หรือไม่งั้นข้าก็นอนตรงนี้แหละ”
หลินหลันระดมความคิดอย่างหนักพลางเหลือบสายตาไปมองเตียงนอนนั่นซึ่งมันก็กว้างขวางเอาการจริงๆ และความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมา หลินหลันวิ่งไปยังห้องขนาดย่อมที่เชื่อมติดกันแล้วหยิบหมอนข้างขนาดใหญ่มาวางกั้นไว้ระหว่างกลางของเตียง เมื่อกั้นอาณาเขตเป็นที่เรียบร้อยตนเองก็กอดผ้าห่มแล้วปีนขึ้นเตียงไปฝั่งด้านในสุด หลังจากนั้นจึงตบมือลงบนตำแหน่งด้านข้างพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม “แค่คืนเดียวนะ!”
หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อนแล้วรีบหอบผ้าห่มมายังเตียงนอน
ทันทีที่แสงไฟดับลง ภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ
ทว่าหลี่หมิงอวินกลับจิตใจว้าวุ่นเสียยิ่งนัก แม้ว่าหมอนข้างขนาดใหญ่กำลังกั้นระหว่างกลาง แต่ด้วยระยะที่ใกล้แค่เอื้อมเช่นนี้ มันช่างรู้สึกประหลาด…ช่างชวนให้หัวใจสั่นไหวยิ่งนัก ภายใต้แสงพระจันทร์อันน้อยนิด ผมสลวยของนางกำลังแผ่สยายบนหมอนหนุน เผยให้เห็นลำคอระหงส์อันขาวเนียน บนผืนผ้าห่มปรากฏสัดส่วนเว้าโค้งของนางให้เห็นจางๆ ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนของสตรีที่สง่างามชวนให้หลงใหล และนาทีนั้นเองหญิงสาวบริสุทธิ์ผู้นี้ก็ทำให้ใครคนหนึ่งมีอัตราการเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
ความจริงแล้วหลินหลันก็นอนไม่หลับเช่นกัน จู่ๆ ก็คิดถึงคำพูดชวนขำขันขึ้นมาที่ว่า ชายหนุ่มกับหญิงสาวหนึ่งคู่นอนร่วมเตียงเดียวกัน ฝ่ายหญิงจงใจกั้นอาณาเขตของตนเองแล้วเอ่ยว่า ‘หากเจ้าล้ำเส้นเข้ามาก็เท่ากับเป็นสัตว์ร้าย’ ผลลัพธ์ในวันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้ล้ำเส้นมาแต่อย่างใด หญิงสาวเกรี้ยวโกรธเป็นอย่างมากและเอ่ยขึ้นว่า ‘เจ้านี่มันสู้สัตว์ร้ายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ…’
เมื่อก่อนได้ฟังเรื่องชวนขำขันนี้ เล่นเอานางหัวเราะท้องแข็ง ทว่าตอนนี้เมื่อตนเองดันเผชิญกับเหตุการณ์เฉกเช่นเรื่องนี้เข้าจริงๆ กลับหัวเราะไม่ออกเลยแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่าหลี่หมิงอวินดีต่อนาง ทว่าสิ่งดีๆ ที่เขาปฏิบัติต่อนางมันมิใช่ความรู้สึกดั่งหนุ่มสาวเช่นนั้น มันเป็นเพียงความห่วงใยและความเชื่อมั่นที่มีระหว่างผู้ร่วมอุดมการณ์เท่านั้น นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะแย่ขนาดที่ว่าคงไม่มีผู้ใดมาชอบพอ ทว่าด้วยแนวความคิดของคนโบราณที่หยั่งรากลึก หลี่หมิงอวินแต่งงานกับนางเพียงเพื่อทำให้ท่านพ่อของเขาโมโห เพียงแค่เขาเห็นว่าความสามารถในการต่อกรของนางแข็งแกร่งใช้ได้ หลี่หมิงอวินไม่มีทางตกหลุมรักนางไปได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาเป็นถึงจอหงวน เส้นทางหน้าที่การงานรุ่งโรจน์โชติช่วง เช่นนี้แล้วในอนาคตเขาจะต้องได้แต่งงานกับผู้หญิงสักคนที่คู่ควรกับเขาอย่างแท้จริง…หลินหลันแอบถอดถอนหายใจอย่างเงียบๆ ข่มใจตัวเอง มิให้แสดงออกใดๆ ที่เป็นการบ่งบอกถึงความรักใคร่เด็ดขาด เพื่อจะได้ไม่ทำลายบรรยากาศแห่งการร่วมมือกันระหว่างเขากับนาง
ค่ำคืนนี้ทั้งสองต่างนอนหลับกันอย่างไม่สบายเอาเสียเลย ขณะนอนก็ไม่กล้าขยับเขยื้อน จนกระทั่งสะลึมสะลือหลับใหลไปในที่สุด
ที่ผ่านมานาฬิกาปลุกตามสัญชาติญาณของหลินหลันทำงานตรงเผงและหลี่หมิงอวินก็มิใช่คนเกียจคร้านจนนอนตื่นสายแต่อย่างใด ทว่ารุ่งเช้าวันนี้ หยินหลิ่วกับป๋ายฮุ่ยมองดูท้องฟ้าที่สว่างโล่งโจ้งแต่ด้านในยังคงไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ จึงรู้สึกลังเลใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปปลุกดีหรือไม่
“ไปเคาะประตูเรียกดีไหม” ป๋ายฮุ่ยเอ่ยถาม
หยินหลิ่วกำลังลังเลใจ “รออีกสักหน่อยเถอะ!”
“ทว่าอีกชั่วโมงข้างหน้าก็ถึงเวลาที่จะต้องไปฉิ่งอานแล้วนะ” ป๋ายฮุ่ยกล่าวอย่างกระวนกระวายใจ
อวี้หรงเข้ามาเร่งเร้า “เหตุใดพวกเจ้ายังไม่ไปคอยปรนนิบัติเอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก กุ้ยซ่าวทำมื้อเช้าไว้เรียบร้อยแล้ว”
หลินหลันและหลี่หมิงอวินถูกเสียงเคาะประตูปลุกให้ตื่นขึ้น ทั้งสองเกือบจะลืมตาขึ้นในเวลาพร้อมๆ กัน หลินหลันขยับขาโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียง ‘อ๊า’ ของหลี่หมิงอวิน
ป๋ายฮุ่ยกล่าวอย่างเป็นกังวล “เอ้อร์เส้าเหยีย ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
ทันใดนั้นน้ำเสียงเฉกเช่นอารมณ์เบื่อหน่ายของนายน้อยก็ลอยออกมา “ไม่เป็นไร…”
หลินหลันมุดศีรษะลงไปใต้ผ้าห่มอย่างอับอาย ความหงุดหงิดในใจนั่น! นางดันลืมไปว่าตนเองไม่ได้นอนแผ่สบายอยู่ลำพัง เมื่อครู่ขาของนางพาดข้ามหมอนข้างไปซึ่งกระแทกลงไปที่ระหว่างต้นขาของเขา แล้วยัง…แล้วยังกดไปถึงไอนั่นของเขา…อ๊ายๆๆๆๆ หลินหลันกัดผ้าห่มแน่น อยากจะทำตนเองให้ขาดอากาศหายใจแล้วตายไปเสียสิ้นเรื่อง
หลี่หมิงอวินนึกถึงเมื่อครู่ที่เกือบถูกนางทำลายกล่องดวงใจของเขาแตกสลายไปเสียแล้ว ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แดงระเรื่อขึ้นมา มันน่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก เขามองดูหมอนข้างขนาดใหญ่นั่น แล้วหันไปมองหลินหลันที่กำลังคุดคู้อยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา แต่กลับขำไม่ออก ยังมีหน้ามาบอกเขาว่าห้ามล้ำเส้น ผลสุดท้ายคนที่ล้ำเส้นกลับเป็นนางเสียเอง…มิน่าล่ะเมื่อคืนตอนฝัน อยากจะวิ่งหนีแทบตายก็วิ่งหนีไม่พ้น
——
[1] กงฮวา (宫花) หมายถึงดอกไม้ในลานแห่งพระราชวัง โดยในอีกความหมายหนึ่งคือเป็นเครื่องประดับปิ่นปักผมที่ทำจากผ้าไหมด้วยรูปทรงดอกไม้ ฮ่องเต้ทรงมอบให้เพื่อถือเป็นรางวัล ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากฮ่องเต้จะประดับมันเมื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองที่ทรงจัดขึ้น ตามนิยายโบราณการสอบหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ในยุคโบราณผู้ที่สอบได้จอหงวนจะได้รับปิ่นดอกไม้สีแดง