ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 99 สดับรับฟังเรื่องขำขัน
คิดจะหลบหลีกหนีหน้าไปสักเพียงใด ท้ายที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากันอยู่ดี ก่อนหน้านี้ยังพอมีเรื่องเตรียมตัวสอบเตี้ยนซื่อให้เป็นข้ออ้างได้บ้าง ทว่าตอนนี้หลี่หมิงอวินกลายเป็นจอหงวนแล้ว โดยถูกประดับยศเป็นฮ่านหลินเยวี้ยนซิวจ้วน [1] แม้ว่าเป็นเพียงการเริ่มจากขุนนางระดับหก ทว่าที่ผ่านมาในราชสำนักยังไม่เคยมีจิ้นซื่อ [2] ที่เข้าร่วมฮ่านหลินมาก่อน ด้วยความที่เป็นผู้มากความสามารถและมีพรสวรรค์ที่ไม่ได้พบเจอบ่อยนัก เพียงไม่นาน หลี่หมิงอวินก็กลายเป็นขุนนางที่ได้รับอำนาจ เป็นบุคคลที่ผู้คนต้องพากันให้ยำเกรง ซึ่งแน่นอนว่าการพบปะเข้าสังคมก็มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลินหลันได้รับใบรายการของขวัญมากมาย ส่วนทางด้านแม่มดชราก็เก็บของขวัญเข้ากุไม่เว้นว่างเช่นกัน
คนของเรือนหลั้วเซี๋ยจายต่างไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง นายน้อยของพวกตนได้เป็นจอหงวนทั้งที สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดกลับกลายเป็นฮูหยินแห่งจวนนี้ไปเสียได้
หลินหลันกลับมีท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด พวกหยินหลิ่วต่างพากันบ่นด้วยความไม่พึงพอใจ แต่ดันถูกนางอบรมสั่งสอนแทนเสียนี่ “มันเป็นระเบียนของจวนแห่งนี้ เป็นธรรมดาที่ต้องยึดถือปฏิบัติตามกฎระเบียบ”
พอเป็นเช่นนี้ เหล่าข้ารับใช้ในจวนต่างพากันคิดว่าภรรยาของท่านจอหงวนผู้นี้ช่างหัวอ่อนเสียจริง
ไม่ทันไรบุตรชายตัวน้อยๆ แห่งจวนเจ้าพระยาจิ้งก็ครบหนึ่งเดือนแล้ว แน่นอนว่าหลี่หมิงอวินพร้อมทั้งภรรยาก็ได้รับเชิญด้วยเช่นกัน
เมื่อได้รับของขวัญแสดงความยินดีที่ตระเตรียมโดยแม่มดชรา หลินหลันก็อดตำหนิขึ้นมาไม่ได้ “แม่มดชรานี่ช่างทุเรศสิ้นดี ให้มาแค่จินซั่ว [3] หนึ่งชิ้น กำไลเงินหนึ่งคู่ ผ้าไหมสองผืน นี่มันไม่ต่างส่งของให้ขอทานชัดๆ!”
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้มเย็นชา “ปล่อยให้นางได้ใจไปสักระยะ” ขณะเดียวกันเขาก็หยิบกล่องขนาดเล็กออกมายื่นให้หลินหลัน “เอาสิ่งนี้เพิ่มเข้าไปด้วย บนของพวกนี้ล้วนมีสัญลักษณ์ของสกุลเยี่ยปรากฏอยู่”
หลินหลันชายตามองไปที่เขา ทุกครั้งที่นางเสนอความคิดอะไรออกมา หลี่หมิงอวินก็มักจะเข้าใจในสิ่งที่ควรพึงกระทำในลำดับต่อไปได้โดยปริยาย นางคาดเดาว่าเขาเองคงจะมีแผนการอะไรบ้างอย่างขึ้นมาแล้ว
หลินหลันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางยื่นมือออกไปรับกล่องขนาดเล็กนั่น
ทั้งสองนั่งรถม้าเพื่อออกเดินทางไปยังย่านเฮ๋อฮวา ทหารบุรุษและทหารสตรีแยกย้ายกันออกมาให้การต้อนรับ ดังนั้นเมื่อเข้าไปในจวนหลี่หมิงอวินและหลินหลันก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
แม่ฟางออกมาต้อนรับหลินหลันด้วยตนเอง
หลินหลันเอ่ยถาม “ฮูหยินสบายดีหรือไม่ เสี่ยวซือจื่อล่ะเป็นอย่างไรบ้าง”
แม่ฟางเผยรอยยิ้มจนตาหยี กล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า “สบายดีเจ้าค่ะ สบายดีทั้งสองท่านเลยเจ้าค่ะ เสี่ยวซือจื่อขาวจ้ำม้ำ พอหยอกเขาหน่อยก็ยิ้มปากบานเลยเจ้าค่ะ ช่างน่ารักยิ่งนัก เมื่อเช้านี้เพิ่งชั่งน้ำหนักไป ตอนนี้น้ำหนักถึงเจ็ดโลครึ่งแล้วนะเจ้าคะ”
หลินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสุขใจเป็นอย่างมาก เพื่อรักษาชีวิตเด็กคนนี้เอาไว้นางต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อยทีเดียว ตอนนี้เด็กน้อยร่างกายแข็งแรง นางจึงรู้สึกประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง
วันนี้จวนโจวเปิดบ้านต้อนรับแขกเรื่อ ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องโถงสำหรับรับรองแขก หลินหลันถึงกับรู้สึกตาลายไปชั่วขณะ เห็นเพียงบรรดาฮูหยินและเสี่ยวเจี่ยะซึ่งอยู่ในชุดผ้าไหมหลากสี อีกทั้งแต่ละคนยังประดับอัญมณีล้ำค่า เดินละลานตากันอยู่เต็มห้อง แน่นอนว่า นางไม่รู้จักผู้ใดเลยสักคน
แม่ฟางเดินเข้าไปตามหานายหญิงท่ามกลางฝูงชนอยู่สักพัก แต่ก็ไม่พบเจอแต่อย่างใด ระหว่างนั้นมีสาวใช้ผู้หนึ่งจดจำหลินหลันได้จึงรีบเข้ามาให้การต้อนรับแล้วเอ่ยขึ้น “หลี่ฮูหยินเจ้าคะ เสี่ยวซือจื่อเพิ่งปัสสาวะน่ะเจ้าค่ะ ฮูหยินเลยอุ้มเขาเข้าไปเปลี่ยนผ้าผ่อนเจ้าค่ะ!”
แม่ฟางกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “หลี่ฮูหยิน ท่านนั่งก่อนนะเจ้าคะ อีกประเดี๋ยวฮูหยินก็ออกมาเจ้าค่ะ”
หลินหลันเข้าใจดีว่าแม่ฟางคงกำลังยุ่งมากเช่นกัน “แม่ฟางท่านไปทำธุระของท่านเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
หลินหลันหาที่ว่างแล้วหย่อนตัวลงนั่ง ขณะนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงบทสนทนาของบรรดาสตรีชนชั้นสูงที่อยู่ข้างๆ
“ปีนี้ตระกูลหลี่ช่างเป็นที่โดดเด่นและน่าสนใจเสียจริง…” สตรีชนชั้นสูงซึ่งมีน้ำเสียงนุ่มละมุนละไมผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา
“ก็นั่นน่ะสิ จะว่าไปแล้วคุณชายรองแห่งตระกูลหลี่นั่นช่างเป็นบุคคลที่ประเสริฐจริงๆ ก่อนหน้านั้นเขายืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่าต้องการแต่งการกับหญิงสาวชาวบ้าน ได้ยินว่าถูกท่านราชเลขาหลี่กักบริเวณไปตั้งพักใหญ่ๆ แต่เขาก็ไม่ยอมอ่อนข้อ จนท้ายที่สุดท่านราชเลขาหลี่จึงทำได้เพียงตอบรับให้นางเข้ามาอยู่ในบ้าน นี่ยังไม่ทันไร เขาก็ได้เป็นจอหงวนผู้มีความสามารถโดดเด่น ภายใต้หล้านี้หากจะหาบุรุษผู้ที่มีดีทั้งรูปลักษณ์และความสามารถเช่นนี้คงเป็นไปได้ยากน่าดู…” สตรีชนชั้นสูงอีกคนกล่าวเสริม
ทุกคนต่างพร้อมอกพร้อมใจกันแสดงสีหน้าอิจฉาและเสียดาย เรื่องอิจฉาน่ะใครบ้างจะไม่รู้ ส่วนเสียดายนี่…หลินหลันครุ่นคิด อาจเสียดายที่ตนเองไม่ได้เป็นแม่ยายของหลี่หมิงอวินกระมัง!
หลินหลันรู้สึกสนอกสนใจหัวข้อสนทนานี้เป็นอย่างยิ่ง เลยขยับไปนั่งข้างๆ เพื่อสดับรับฟัง
“ฮึ…ที่พวกเจ้ารู้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละ” เสียงสบถอย่างเย็นชาหลุดออกมาจากสตรีที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย ใบหน้าของนางมีโหนกแก้มที่นูนโดดเด่นออกมา
ทุกคนพากันหยุดชะงังการสนทนาแลกเปลี่ยนไปพักใหญ่ จนกระทั่งมีผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “เว่ยฮูหยินกำลังหมายถึงอะไรหรือ”
เว่ยฮูหยินแสยะยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดคุณชายรองแห่งตระกูลหลี่ถึงได้แต่งงานกับสาวชาวบ้านผู้นั้น”
มีผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “มิใช่ว่าเพื่อตอบแทนบุญคุณหรอกหรือ”
เว่ยฮูหยินแสยะยิ้มมุมปากโดยเผยสีหน้าดูถูกเหยียดยัน “ถูกต้องแล้ว อาศัยการตอบแทนบุญคุณด้วยการทำเรื่องเช่นนี้ สตรีทั่วไปที่ไหนเขาทำกันหรือ ก็มีแต่หญิงสาวชาวบ้านที่หน้าไม่อายพวกนั้น ไร้ยางอายสิ้นดี พอรู้ว่าคุณชายรองแห่งตระกูลหลี่มีฐานะและความสามารถอันโดดเด่น จึงหลอกล่อหลี่กงจื่อให้ติดกับดัก เฮ้อ…จะว่าไป หลี่กงจื่อก็น่าสงสารเหมือนกัน ความสุขชั่วชีวิตถูกพรากไปโดยเงื้อมมือของหญิงสาวชาวบ้าน ทุกข์ระทมเพียงใดก็มิอาจปริปากออกมาได้”
มีผู้หนึ่งกล่าวด้วยความแคลงใจ “เป็นไปมิได้กระมัง! หากเป็นเช่นนี้จริงๆ หลี่กงจื่อยังจะยอมทะเลาะกับคนในบ้านเสียปานนั้นเพื่อนางหรอกหรือ”
“โกหกเสียที่ไหนกัน เรื่องพวกนี้ข้าได้ยินมาจากคนตระกูลเยี่ยซึ่งมาจากเฟิงอาน พวกท่านคงรู้จักตระกูลเยี่ยอยู่ใช่ไหม ตระกูลเยี่ยเป็นตระกูลตายายของคุณชายหลี่ยังไงล่ะ”
“เรื่องนี้เป็นจริงหรือ เช่นนั้นคุณชายหลี่ก็น่าสงสารเกินไปแล้ว” ผู้คนพากันถอดถอนหายใจ
“หญิงชาวบ้านผู้นั้นก็ช่างหน้าไม่อายเกินไปแล้ว…”
“นั่นสิ ผู้หญิงที่มีนิสัยประเภทนี้ ผู้ใดแต่งด้วยผู้นั้นซวยตลอดชาติ”
ผู้คนเริ่มพูดคุยกันถึงหลินหลัน
หลินหลันส่งเสียงหัวเราะพลางยื่นจานบ๊วยอบแห้งให้เว่ยฮูหยินผู้นั้น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินรู้เบื้องลึกเบื้องหลังไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ!”
เว่ยฮูหยินหยิบบ๊วยอบแห้งขึ้นมาหนึ่งเม็ดทว่ายังไม่ได้กินมันในทันที “ข้ายังได้ยินมาว่าสาวชาวบ้านผู้นั้นเป็นหญิงกาลากิณี ซึ่งจะทำให้หลี่กงจื่อย่ำแย่ไปทั้งชีวิต เฮ้อ…”
“เฮ้อ ช่างน่าเสียดายจริงเชียว เรื่องงานแต่งของตระกูลท่านกับตระกูลหลี่ในตอนแรกดันถูกสาวชาวบ้านนั่นพังไม่เป็นท่า” คนผู้หนึ่งถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
สีหน้าของเว่ยฮูหยินเผยให้เห็นอาการเสียดายอยู่ไม่น้อย “หากข้ารู้แต่เนิ่นๆ ว่าสาวชาวบ้านผู้นั้นจิตใจต่ำทราม คงไม่ปล่อยให้นางได้สมหวังอย่างแน่นอน”
หลินหลันมองไปยังเว่ยฮูหยินภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม ที่แท้ท่านนี้ก็คือภรรยาของเว่ยซื่อหลาง [4] ผู้ที่คะยั้นคะยอให้หลี่หมิงอวินแต่งงานกับบุตรสาวของตนเอง มิน่าล่ะถึงได้จงเกลียดจงชังนางเข้ากระดูกดำ ว่าแต่ที่นางเอ่ยว่าคนของตระกูลเยี่ยเป็นผู้บอกกล่าว หมายถึงผู้ใดกันนะ คงไม่ใช่เยี่ยซินเอ๋อร์หรอกกระมัง
“แต่ข้าได้ยินมาว่าสาวชาวบ้านผู้นั้นมีทักษะด้านการรักษาด้วย ครั้งนี้ที่ฮูหยินจิ้งปั๋วโหว์ให้กำเนิดบุตรชายออกมาได้อย่างราบรื่นล้วนเป็นฝีมือของนางทั้งสิ้น” สตรีชนชั้นสูงผู้หนึ่งเดินเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น
ทันทีที่หลินหลันหันไปมอง ก็จำได้ทันทีว่าท่านนี้คือเฟิ่งซูหมิ่นภรรยาของแม่ทัพฮ๋วยหยวนมิใช่หรือ
“ทักษะการรักษากับอุปนิสัยเกี่ยวกันหรือไร” เว่ยฮูหยินกล่าวโต้แย้ง
“ฮ่าๆ ข้าคิดว่า ในเมื่อนางเป็นผู้มีพระคุณสำหรับภรรยาจิ้งปั๋วโหว์ เช่นนั้นวันนี้ก็น่าจะถูกเรียนเชิญมาเช่นกันนะ!” เฟิ่งซูหมินมองมายังหลินหลันพลางพยักหน้าให้เล็กน้อย หลี่ฮูหยินก็ช่างประหลาดดีจริง สามารถนั่งฟังผู้อื่นเขานินทาเสียๆ หายๆ ได้อย่างไม่สะทกสะท้านเช่นนี้
ฮูหยินผู้นี้ถึงกับชะงักไปชั่วขณะ หันมองซ้ายมองขวา ทว่าไม่มีผู้ใดเคยเห็นสาวชาวบ้านผู้นั้นมาก่อนแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านางรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร
เว่ยฮูหยินสบถฮึแล้วกล่าวขึ้น “ดีที่นางไม่อยู่ตรงนี้ หากนางอยู่ล่ะก็ข้าจะฉีกหน้านางแล้วสั่งสอนให้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่ายางอาย”
เฟิ่งซูหมิ่นไม่อาจทนฟังต่อไปได้แล้ว อยากเอ่ยปากต่อว่านางสองสามประโยค
กลับเห็นหลินหลันอมยิ้มแล้วยื่นบ๊วยอบให้อีกครั้ง “เว่ยฮูหยินช่างเป็นผู้ที่ตรงไปตรงมาเสียจริงนะเจ้าคะ”
เว่ยฮูหยินเห็นฮูหยินซึ่งดูเยาว์วัยท่านนี้ช่างมีไมตรีจิตรู้จักเอาใจใส่ จึงเกิดความรู้สึกดีต่อนางและหันไปเอ่ยกับหลินหลันด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็พูดอย่างตรงไปตรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ” นางชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “ว่าแต่ท่านเป็นฮูหยินแห่งตระกูลใดหรือ นามว่าอันใดล่ะ”
หลินหลันซึ่งกำลังกินบ๊วยอย่างเอร็ดอร่อย เผยรอยยิ้มสดใสออกมา “ข้าเป็นภรรยาของคนในครอบครัวสกุลหลี่ ต้องขออภัยด้วยอย่างยิ่ง ข้าก็คือฮูหยินซึ่งเป็นสาวชาวบ้านผู้นั้นที่กำลังเอ่ยถึง”
ทันใดนั้นสีหน้าของเว่ยฮูหยินถึงกลับถอดสี เต็มไปด้วยความรู้สึกอับอาย สตรีผู้อื่นที่เข้าร่วมวงสนทนาในการประณามหลินหลันต่างก็หันหน้าหนีด้วยความอับอายเช่นกัน บ้างก็แสร้งทำเป็นดื่มชาหรือปิดปากด้วยผ้าเช็ดหน้า ภายในใจของพวกนางเต็มไปด้วยความกังวล ด้วยสามีของพวกนางกำลังพยายามคิดหาวิธีที่เชื่อมมิตรไมตรีกับหลี่หมิงอวิน ทว่าพวกนางกลับทำให้ภรรยาของเขาขุ่นเคืองเสียแล้ว
เฟิ่งซูหมิ่นมองดูพวกนางเหล่านั้นที่ใบหน้าเผยให้เห็นอาการอับอาย จึงแอบยิ้มเยาะในใจ ใครใช้ให้พวกเจ้านินทาผู้อื่นลับหลัง ครานี้จะดูสิว่าจุดจบของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร
หลินหลันกล่าวด้วยอากับกิริยาอ่อนน้อม “เรื่องงานแต่งของตระกูลเว่ยกับตระกูลหลี่ ผู้คนต่างรับรู้ทั่วบ้านทั่วเมือง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นแค่ลมปากเพราะข้าเข้ามาแทนที่ คงมิแปลกหากฮูหยินจะจงเกลียดจงชังข้า เพียงแต่เรื่องการแต่งงานนี้มันต้องอาศัยวาสนาบุญสัมพันธ์ที่มีต่อกันสักหน่อย คงเอ่ยได้เพียงบุตรสาวของฮูหยินกับสามีของข้าไม่มีวาสนาต่อกัน”
ประโยคที่อ่อนน้อมและเรียบง่าย ช่วยให้คำสบประมาทก่อนหน้านี้ทั้งหมดของเว่ยฮูหยินกลายเป็นว่าเกิดมาจากการใส่ร้ายป้ายสีเพราะถูกทำลายเรื่องการแต่งงาน
“ข้าขออภัยอย่างสุดซึ้งแด่เหว่ยฮูหยินไว้ ณ ที่นี้ ขอให้บุตรสาวของตระกูลเว่ยฮูหยินได้พบคู่ครองที่ดีในเร็ววันนะเจ้าคะ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา หลังจากนั้นก็ไม่สนใจเว่ยฮูหยินที่ทั้งใบหน้ากำลังแดงกล่ำด้วยความอึดอัดคับข้องใจ หลินหลันลุกขึ้นยืนแล้วหันไปคาราวะอย่างอ่อนน้อมให้เฟิ่งซูหมิ่น “หลินฮูหยิน คาดไม่ถึงว่าจะพบท่านที่นี่”
เฟิ่งซูหมิ่นจูงมือหลินหลันอย่างเป็นกันเองและบ่นเล็กน้อยภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม “ดีที่เจ้ายังจำข้าได้ ตั้งนานเนแล้วที่เจ้าไม่แวะเวียนไปหาข้าบ้างเลย…”
“ช่วงก่อนหน้าด้วยหมิงอวินต้องเข้าร่วมการสอบ เพื่อดูแลเขาให้เต็มที่เลยปลีกตัวออกไปไม่ได้เลยน่ะเจ้าค่ะ…”
ทั้งสองพากันเดินออกไปพลางพูดคุยและหัวเราะ
“หลี่ฮูหยินท่านนี่ช่างเก็บอารมณ์เก่งเสียจริง นั่งฟังพวกเราด่านางขนาดนั้น นางยังไม่เผยสีหน้าออกมาเลยแม้แต่น้อย” คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นด้วยเสียงบางเบา
“ข้าว่าอากับกิริยารวมถึงคำพูดคำจาของนางไม่เหมือนสาวชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย”
“อืม! ข้าก็คิดเช่นนั้น…”
“เฮ้อ…พวกเราว่านางเช่นนี้ นางกลับไม่โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย ถือเป็นคนที่จิตใจกว้างขวางอยู่เหมือนกันนะ”
“วันหน้าวันหลังน่ะ! คำเล่าลือประเภทนี้พวกเรารับฟังไว้ให้น้อยๆ หน่อยจะเป็นการดี” สตรีหนึ่งในนั้นชายสายตามองไปยังเว่ยฮูหยินอย่างเหยียดหยัน ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป
สีหน้าของเว่ยฮูหยินเจื่อนขึ้นเรื่อยๆ
หลินหลันกับเฟิ่งซูหมิ่นเดินไปยังที่สงบเงียบ เฟิ่งซูหมิ่นถึงได้กล่าวขึ้น “เหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงไม่โต้แย้งกลับไป ปล่อยให้พวกนางตำหนิเจ้าอยู่ได้”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้สึกว่ามันน่าสนใจดีออก ข้ารับฟังมันเป็นเรื่องขำขันเรื่องหนึ่งก็เท่านั้น”
เฟิ่งซูหมิ่นฉีกยิ้มแล้วกล่าวตำหนิเบาๆ “ข้าว่าเจ้าจงใจอยากดูพวกนางเป็นตัวตลกมากกว่ากระมัง”
หลินหลันเม้มริมฝีปากและเผยรอยยิ้มอ่อน ถือว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย
ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงสาวใช้กล่าวขึ้น “โหว์เหยียฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ…”
หลินหลันหันไปมอง เห็นเพียงกลุ่มสาวใช้ที่กำลังรายล้อมเฉียวอวิ๋นซีออกมา วันนี้เฉียวอวิ๋นซีอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวเข้มลายก้านพลับ ผมสลวยสีดำเงาขมวดขึ้นเป็นทรงพระจันทร์เสี้ยว และมีปิ่นปักผมสีทองเสียบเอาไว้ ผิวพรรณของนางดูขาวผุดผ่อง ใบหน้าแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นเปล่งประกายเป็นพิเศษ แสดงให้เห็นความมีชีวิตชีวา ถือว่านางฟื้นตัวได้ดีเยี่ยมทีเดียวเชียว
ไม่ทันรอให้หลินหลันเข้ามาหาถึงเบื้องหน้า เฉียวอวิ๋นซีกลับเห็นนางเสียก่อนแล้วเดินเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว
“หลี่ฮูหยิน ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวซือจื่ออายุครบหนึ่งเดือนทั้งทีแล้วข้าจะพลาดได้อย่างไรหรือ”
เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รีบอุ้มเสี่ยวซือจื่อมาให้หลี่ฮูหยินดูเร็วเข้า”
แม่นมรีบอุ้มคุณชายตัวน้อยมาด้านหน้า
หลินหลันมองดูเด็กทารกที่อยู่ในผ้าห่อตัว หน้าตาแป้นแล้น ผิวขาวจ้ำม่ำ ดวงตากลมโตซึ่งมีนัยน์ตาสีดำ สันจมูกโด่ง ริมฝีปากเล็กๆ สีชมพูกำลังบ้วนฟองน้ำนมออกมา ช่างน่ารักเสียจริง
“ข้าสามารถอุ้มได้หรือไม่” หลินหลันเอ่ยถามอย่างมีความสุข
เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเป็นคนแรกบนโลกนี้ที่เคยอุ้มเขาหนิ”
หลังได้รับการอนุญาตจากนายหญิง แม่นมถึงได้ส่งเด็กน้อยให้แก่หลินหลันอย่างระมัดระวัง
——
[1] ฮ่านหลินเยวี้ยนซิวจ้วน
[2] จิ้นซื่อ (进士) แปลตามตัวอักษรว่า “บัณฑิตขั้นสูง” คือผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับราชสำนัก หรือระดับราชวัง ที่จัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี หากบัณฑิตคนใดสอบได้เป็นจิ้นซื่อ ก็เท่ากับมีโอกาสได้เป็นขุนนางในราชสำนักค่อนข้างแน่นอนแล้ว
[3] จินซั่ว (金锁) เครื่องประดับจีน เป็นเสมือนจี้สร้อยคอ
[4] ซื่อหลาง (侍郎) มียศสี่ร้อยต้านเป็นขุนนางหลางที่มีหน้าที่ประจำอยู่ในพระราชวัง … นอกจากนี้ขุนนางหลางยังมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการเดินทางขององค์จักรพรรดิในทุกครั้งที่จะประพาสไปยังที่ต่างๆ และเป็นผู้ถืออาวุธประจำตัวองค์จักรพรรดิ