ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 10 จอมเวท (4)
“เจ้า…ไม่เป็นไรใช่ไหม” เสวียนจีเดินไปหน้าเขา นั่งยองมองเขาอย่างลังเล
มกรกุมท้อง เลือดสดเต็มฝ่ามือ ยกขึ้นมาโบกหน้านาง พลางยิ้ม “เจ้าดูแล้วเหมือนว่าไม่เป็นไรหรือ”
“อย่างนั้นข้าจะแก้แค้นให้เจ้า!” นางหันขวับไปคิดบัญชีกับมังกรเขียว ผู้ใดจะรู้ว่ามังกรเขียวลากหงส์แดงจูเชวี่ยไปหลบที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ นางย่อมไม่ใช่พวกที่ทำเรื่องชั่วแล้วจะนั่งเรียบร้อยรอให้คนเขามาเอาคืนพวกนั้น
“โอย พอได้แล้ว! แผลนี้วันเดียวก็หายสนิทแล้ว ไม่ได้มีอะไรใหญ่โต” มกรขัดสมาธิยันคางยิ้มประหลาด ทั้งสองสบตากันเป็นนาน เหมือนมีเรื่องอยากพูดแต่ไม่พูด เสวียนจีเริ่มเขินขึ้นมา คุกเข่าลงตรงหน้าเขาเสียเลย มองอยู่เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เจ้า…ไม่อยากถอนพันธะสัญญากับข้าจริงหรือ ตัดมือเดียวก็ไม่เป็นไรนี่…”
มกรสีหน้าจริงจัง กุมข้อมือขวานางไว้ ก้มหน้าลงมองเป็นนาน ก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ ไม่จำเป็น เจ้าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว ข้าไม่ต้องการให้ผู้หญิงมือขาดเพราะข้า วันหน้าย่อมฝันร้ายแน่”
เสวียนจีขำพรืดออกมาทันที มกรถูกนางขำใส่ทำเอาแปลกใจ จ้องมองเขม็ง นางค่อยๆ กล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าดูแล้วค่อยเหมือนคนหน่อย ไม่เหมือนสัตว์แล้ว”
มกร “ชิ” ขึ้นเสียงหนึ่ง สะบัดหน้าแค่นเสียงฮึกล่าวว่า “พูดอะไร! ข้าเป็นชายชาตรียืนหยัดค้ำฟ้าค้ำดินมาตลอด! หญิงไร้แววตาสิจึงคิดว่าเป็นสัตว์”
เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “ใช่ๆ เจ้าเป็นชายชาตรี แล้วก่อนหน้าที่โมโหบีบให้ข้าถอนพันธะสัญญานั่นคือผู้ใด” นางเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าก็อึมครึมอยู่บ้าง กล่าวอีกว่า “วันนั้นเจ้า…พูดจาทำร้ายจิตใจมาก”
มกรนิ่งอึ้งไปเป็นนาน จึงได้กล่าวว่า “ข้าเคยคิดว่าตนเองจะจัดการเรื่องนี้ได้ ปรากฎจริงๆ แล้วทำอะไรไม่ได้เลย” หยุดไปพักหนึ่ง กล่าวอีกว่า “เดิมวันนั้นแดนสวรรค์ส่งคนมาจับเจ้าแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม ถอนกลับไปอีก ราชันสวรรค์ไม่รู้ว่าคิดอะไรกันแน่ ข้าคิดอยู่นานก็ไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วดำริทำอะไร…”
เสวียนจียู่ปากกล่าวว่า “ผู้ใดสนใจเรื่องไร้สาระพวกนั้น ข้าบอกว่าวันนั้นเจ้าพูดจาเกินไป เจ้าควรขอโทษข้าถึงจะถูก!”
มกรจ้องมองนางเขม็ง แค่นเสียงฮึดังจากจมูก “ขอโทษจอมวายร้ายหัวโจกอย่างเจ้า…”
หากไม่ใช่ยังเป็นห่วงบาดแผลเขา เสวียนจีก็อยากจะลงมือกับเขาแรงๆ สักที
อยู่ๆ มกรก็กล่าวว่า “หากเจ้าหมายถึงที่ข้าว่าเจ้าไร้ใจเรื่องนั้น จริงๆ แล้ววาจานี้มีคนบอกข้า”
ที่แท้วันนั้นมกรได้รับอนุญาตจากเสวียนจีไปหาอะไรกินในหมู่บ้านได้ กินไปได้สองคำ ก็รู้สึกว่ามีคำสั่งเรียกตัวจากแดนสวรรค์ เซียนลงมาทำงาน ขอเพียงแดนสวรรค์ว่าคาถาเรียกตัว ภายในเวลาสามเค่อก็ต้องเร่งกลับไป มกรย่อมเช่นกัน
เขาเร่งรุดไปถึงข้างกายคนร่ายคาถาอย่างไม่ยินยอม พบว่าคนนั้นก็คือมังกรอิงหลง แน่นอนว่ามากล่อมเขากลับไป ไม่เพียงกล่อมให้กลับไป ยังนำข่าวน่าตกใจเรื่องเสวียนจีกบฏมาบอกด้วย ราชันสวรรค์ตัดสินพระทัยส่งคนมาจับกุมตัวแล้ว มกรวันๆ อยู่กับเสวียนจี แน่นอนย่อมต้องแสดงออกถึงความไม่พอใจในเรื่องนี้อย่างที่สุด มังกรอิงหลงกล่อมอยู่นานก็ไม่อาจกล่อมได้ สุดท้ายกล่าวว่า “เราสองผูกพันดังพี่น้อง ข้าจึงลงมาเพื่อเตือนสติเจ้าโดยเฉพาะ ความหวังดีข้าถูกเจ้ามองเป็นพวกชั่วร้ายแล้งน้ำใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเอ่ยถึงอีก เจ้าก็ตามเจ้าสัตว์ประหลาดไร้ใจนั้นต่อไปเถอะ! ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะชื่อเสียงโจนทะยานหรือว่าชื่อเสียงพังพินาศ”
มกรเอะใจทันที รุกถามว่า “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไร สัตว์ประหลาดไร้ใจอะไร ด่าผู้ใด”
มังกรอิงหลงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “งั้นก็ต้องถามเจ้าหน้าโง่เช่นเจ้าไปเป็นสัตว์ภูตผู้ใด! ทิ้งหน้าที่สัตว์เทพไม่ทำ กลับจะไปเป็นสัตว์ภูตให้สัตว์ประหลาด เจ้าเป็นทาสรับใช้จนติดใจแล้วสินะ! ถึงกับยังออกตัวพูดแทนนาง!”
มกรไม่สนใจวาจาดูหมิ่นเหยียดหยามของเขา ถามเพียงว่า “เจ้าพูดมาให้ชัด สัตว์ประหลาดไร้ใจ หมายถึงเสวียนจี? นางทำไม”
มังกรอิงหลงกล่าวน้ำเสียงมีเลศนัยว่า “นางก็คือสัตว์ประหลาดที่มีแต่กระดองอย่างไร มากกว่านี้ข้าไม่บอกเจ้าแล้ว สรุปเจ้าดูแลตัวเองให้ดี หากวันนี้เจ้าไม่ตามข้ากลับไป วันหน้าเจอกันอีก เจ้าก็ย่อมเป็นนักโทษกบฏแล้ว เชอะ มิตรภาพครึ่งชีวิต ถือว่าข้าทำดีที่สุดแล้ว”
กล่าวจบก็หันหลังจะจากไป มกรรีบกระชากเขา “เจ้า ช้าก่อน! ในเมื่อวาจากล่าวออกมาแล้ว กล่าวให้จบก็ได้นี่! เจ้าต้องการให้ข้าตามเจ้าไป ได้! แต่เจ้าต้องบอกข้ามาให้จบ!”
มังกรอิงหลงสะบัดแขนเสื้อ “เจ้าเอาวาจานี้ไปถามนางเอง อย่ามาตอแยข้า! คำเดียว ไปหรือไม่ไป”
มกรเห็นสถานการณ์เริ่มเคร่งเครียดเช่นนี้ ตนเองไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อได้แล้วจริงๆ ได้แต่รับปากตามเขากลับแดนสวรรค์ ตนเองไปขออภัยโทษจากไป๋ตี้ เดิมเขากะว่าพอขึ้นไปแดนสวรรค์ คงได้แก้ไขความเข้าใจผิดกับไป๋ตี้ให้กระจ่างได้ ผู้ใดจะรู้ว่าพอไป๋ตี้เห็นเขาก็ไม่ได้เมตตาเหมือนเมื่อก่อน กลับมีสีหน้าเย็นชา หากไม่ใช่มังกรอิงหลงช่วยขอไว้ เกรงว่าเขาคงได้ถูกจำคุกใต้ดินไปแล้ว ไหนเลยจะมีวาสนาแค่กักบริเวณ
“มังกรอิงหลงให้ข้ามาถามเจ้า ข้าถามแล้ว แต่เจ้าเลอะเลือนเอง ข้าเดาว่า เรื่องนี้ฟังแล้วไม่เหมือนเป็นเรื่องดี น่าจะมีอะไรแอบแฝง ไว้ไปเข้าเฝ้าราชันสวรรค์ เจ้าต้องลองถามดูเอง”
เสวียนจีไม่กล่าวอันใด นางนึกถึงว่าก่อนทำลายห่วงฟ้าเทียนจวิน ในหูนางได้ยินเสียงพวกนั้นก้องไปมา
นางมักจะเหมือนใกล้นึกอะไรออก แต่ทั้งหมดก็ล้วนลืมไปหมดสิ้น รสชาตินี้ยากทนรับไหว เหมือนอาการจามไม่ออก นางเป็นสัตว์ประหลาดไร้ใจหรือ มีแต่กระดองหรือ
ตอนเด็กนางไม่เคยคิดสนใจอะไรเลย ทุกอย่างล้วนจืดชืดน่าเบื่อ เรื่องที่ชอบทำที่สุดก็คือเหม่อลอย ทุกคนล้วนว่านางไร้หัวใจ ที่แท้ไม่ใช่เรื่องเท็จ ที่แท้ถึงกับเป็นเรื่องจริง! นางไม่มีหัวใจจริงหรือ เช่นนั้นนางคืออะไรกันแน่ ไม่ใช่แม่ทัพเทพสงครามหรือ
ไม่ ไม่…แม่ทัพเทพสงครามคืออะไร แดนสวรรค์มีขุนพลสามารถมากมายเพียงนั้น เหตุใดต้องให้นางผู้เป็นสตรีคนเดียวออกไปรับการโจมตีของพวกอสูร นางมาเป็นเทพสงครามได้อย่างไร เทพเซียนแต่ละองค์ล้วนมีอดีตของตนเอง บ้างก็บำเพ็ญสำเร็จผลเป็นเซียน บ้างก็เป็นจิตญาณสุดยอดแห่งฟ้าดินรวมตัวกัน นางมาจากไหน
อู๋จือฉีบอกว่าห่วงฟ้าขอสมุทรเป็นเทพศาสตราเทพองค์หนึ่ง แต่ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าเทพองค์ใด ทำไมนางจึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อห่วงฟ้าขอสมุทรมากมายเช่นนั้น
เสวียนจียิ่งคิดก็ยิ่งสับสน สมองราวกับมีมือหนึ่งใช้แรงกระชากทำเอาทุกอย่างสับสนปนเปกันไปหมด นางหาเหตุไม่เจอ คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น
แท้จริงแล้วมีเทพสงครามมาได้อย่างไร
คำถามนี้ นางตอบไม่ได้เลย
มกรเห็นนางสีหน้าย่ำแย่ก็กล่าวว่า “เจ้าเองคิดไม่ออก ไม่สู้ไว้รอไปถามราชันสวรรค์ ยามนี้เก็บแรงไว้เถอะ มังกรเขียวกับหงส์แดงจูเชวี่ยย่อมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ตามนิสัยมังกรเขียวหญิงน่ารังเกียจนั่นแล้ว ย่อมต้องมาลอบโจมตีได้ตลอดเวลา ถึงตอนนั้นเจ้าถูกนางบีบคั้นจนขาดสติ ไม่คิดลงมือก็คงไม่ได้แล้ว”
เสวียนจีพยักหน้า ลุกขึ้นหันกลับไปเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง “พี่หลิ่ว พวกเราไปกันเถอะ…” แต่พอหันกลับไปมองก็เห็นแต่ความว่างเปล่า ไหนเลยยังมีเงาหลิ่วอี้ฮวน! นางหน้าตาเซ่อซ่าไปทันที นางคุยกับมกรไม่นานนี่นา! ทำไมคนหายตัวไปแล้ว
“ไม่ได้การแล้ว! ต้องถูกมังกรเขียวจับไปแน่เลย!” เสวียนจีมั่นใจในทันที
มกรกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่งกล่าวว่า “ไม่…ข้าเห็นเขาตามมังกรเขียวไปเอง ครั้งนี้…ไม่เกี่ยวกับมังกรเขียว”
“เจ้าเห็น?!” เสวียนจีกระโดดขึ้น “เจ้าเห็น ทำไมไม่รั้งเขา?!”
มกรค้อนขวับ “ทำไมข้าต้องรั้งเขาไว้…จะว่าไป จิตใจเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ข้ารั้งเขาไว้ไม่ใช่ว่าเสียเปล่าหรือ ข้ายังบาดเจ็บสาหัสนะ”
แน่นอนเขากล่าวได้มีเหตุผล หลิ่วอี้ฮวนน่าจะสมองเสื่อมแล้ว เหมือนเคยเห็นสาวงามเป็นครั้งแรก เมื่อก่อนเขาก็หลงใหลอิสตรี หากแต่ไรมาไม่เคยเห็นเขาสติหลุดลอยเช่นนี้ ที่นี่ไม่ใช่เมืองชิ่งหยางที่เขาจะวิ่งแล่นไหนมาไหนได้ตามใจราวกับลิงน้อยเป็นราชา บุกเขาคุนหลุน เขามีความผิดเพียงใด ไม่ใช่รนหาที่ตายเองหรือ
“ไปได้แล้ว! เร็วหน่อย!” เสวียนจีกำลังกลุ้มจนผมแทบหงอกแล้ว ตลอดทางมากันห้าคน แค่ครู่เดียวเดียวก็เหลือนางคนเดียว ดีที่หามกรเจอ แต่เขากลับมาบาดเจ็บอีก
“เจ้าจะทำอะไร” มกรถามอย่างไม่สบอารมณ์
“หาพี่หลิ่ว!” ยังต้องถาม? อู๋จือฉีกับจิ้งจอกม่วงนางก็รั้งไม่อยู่ ซือเฟิ่งนางก็คว้าไม่อยู่ ตอนนี้มาปล่อยหลิ่วอี้ฮวนหนีหายไปอีก นางไม่สู้ชนกำแพงตายเลยแล้วกัน
มกรถอนใจกล่าวว่า “เจ้าอย่าไปหาเลย ไปเข้าเฝ้าราชันสวรรค์สำคัญกว่า สองวันนี้พระองค์น่าจะลงมายังเขาคุนหลุนแล้ว ก่อนลงมาย่อมมีบรรดาเทพนับร้อยลาดตระเวนเขาคุนหลุน ที่นี่กว้างใหญ่มาก รอเจ้าหาเขาเจอ เกรงว่าคงถูกรุมเละไปก่อน เก็บแรงไว้เถอะ! ไปในตำหนักหามุมนั่งรอจึงจะเป็นการถูกต้องกว่า!”
เสวียนจีไหนเลยจะฟังเขา ทั้งสองโต้เถียงกันเป็นนาน นางกำลังยกมือคว้ามกร พลันได้ยินด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังมา ทั้งสองหันกลับไปมอง เป็นหลิ่วอี้ฮวนกลับมาเองแล้ว
“พี่หลิ่ว! ท่านไปไหนมา?!” เสวียนจีรีบพุ่งเข้าไปดึงเสื้อเขา
หลิ่วอี้ฮวนหน้แดงก่ำ ยิ้มหน้าตาเซ่อซ่าเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ข้าไปคุยเรื่องตัดสินใจร่วมชีวิตในวันหน้ากับสาวงาม”
อะไรนะ?! เสวียนจีกับมกรตกใจสะดุ้งโหยง มกรเสียงสั่นกล่าวว่า “เดี๋ยวนะ! สาวงามที่เจ้าว่านั่น…คงไม่ใช่มังกรเขียวกระมัง?!”
หลิ่วอี้ฮวนหน้าแดงกล่าวว่า “ที่แท้พวกเจ้าดูออกแล้ว…อืม เป็นนาง”
เห็นท่าทางเขินอายของเขา เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ขนบนหลังลุกพรึ่บขึ้นทันที รีบกล่าวว่า “ท่าน…ท่านกับนาง…ตัดสินใจร่วมชีวิต? พวกท่านคุยอะไรกันไป”
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะเหอๆ ดังขึ้นเบาๆ สีหน้าลุ่มหลงเต็มที่ จมอยู่ในห้วงจินตนาการตนเองอย่างไม่อาจดึงสติกลับมาได้ จนเสวียนจีกับมกรใกล้ทนไม่ไหวแล้ว คิดลงมือกับเขาสักที เขาจึงเอ่ยเล่าสิ่งที่ผ่านมาเมื่อครู่ออกมา