ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 14 ทวยเทพเสด็จ (1)
เขาลืมตาขึ้นหลังจากผ่านไปนานมาก แววตาสลดมองไปยังความว่างเปล่า
เปลวไฟค่อยๆ มอดดับลง เขาบรรจงเก็บเถ้ากระดูกจิ้งจอกม่วงขึ้นมา ก่อนจะฉีกแขนเสื้อออกมาห่อเอาไว้อย่างดี ซุกลงในอกเสื้อ กล่าวว่า “ไปกันเถอะ ไปเข้าเฝ้าราชันสวรรค์ ที่ควรพูดก็พูดให้หมด จัดให้สะใจไปเลย!”
ใบหน้าเสวียนจียังคงมีคราบน้ำตา พยักหน้าเงียบๆ หลิ่วอี้ฮวนเห็นนางสีหน้าไม่ดีนัก รีบกล่าวว่า “ช้าก่อน มีเรื่องหนึ่งข้าต้องพูดไว้ก่อน”
ทุกคนเห็นเขายากจะมีท่าทางเป็นการเป็นงาน ดังนั้นจึงพากันมองมาทางเขา ไม่รู้เขาจะพูดความเห็นอะไรที่เป็นการเป็นงานออกมา
หลิ่วอี้ฮวนสีหน้าจริงจังกล่าวว่า “เรื่องจิ้งจอกม่วง พวกเราล้วนเสียใจมาก แต่หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจว่าหนี้ใดล้วนมีเจ้าหนี้ลูกหนี้ ผู้ใดทำร้ายจิ้งจอกม่วง ผู้นั้นก็ควรรับไป ไปเข้าเฝ้าราชันสวรรค์ ไม่ใช่ไปเล่น มีความแค้นหนักหนาเทียมฟ้าเท่าไรก็ต้องอดกลั้น เสวียนจี ตอนนี้ยังไม่พบซือเฟิ่งแม้เงา ถือเสียว่าเพื่อเขา เจ้าต้องใจเย็น”
เสวียนจีนิ่งอึ้งไปนาน ในที่สุดยังคงพยักหน้า ในใจหลิ่วอี้ฮวนผ่อนคลายลง ผู้ใดจะรู้ว่าอู๋จือฉี พลันยิ้มกล่าวว่า “ผู้ใดไม่รังแกข้า ข้าไม่รังแกผู้นั้น เรื่องจอมเวทไม่เกี่ยวกับราชันสวรรค์ แต่เทพเซียนพวกนั้นหากคิดจะขี่คอขึ้นหัวข้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ! แหะๆ สังหารให้จบเรื่อง!”
สังหารให้จบเรื่อง ห้าคำนี้กระแทกโดนใจเสวียนจีมาก อยู่ๆ นางก็รู้สึกผ่อนคลายลง
ใช่แล้ว อดกลั้นไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ นางไม่อาจจะเอาแต่อดกลั้นปล่อยให้คนมารังแกอยู่ฝ่ายเดียว ในยามจำเป็นนางก็ย่อมปล่อยพลังทั้งหมดออกมาจัดการปัญหา ลงโทษสถานหนักที่สุดก็แค่ตาย คนที่นี่มีผู้ใดกลัวตาย
หลิ่วอี้ฮวนถอนหายใจ “เจ้าวานรบ้า เอาแต่ขัดคออยู่ได้ เอาเถอะ เจ้าพูดมาก็ถูก สังหารให้จบเรื่อง เพื่อถกเหตุผลนี้ อย่างมากทุกคนได้ตายพร้อมกันที่นี่ก็ดีเหมือนกัน วันหน้าไปแดนนรกได้ครื้นเครงกันต่อ”
อู๋จือฉีไม่กล่าวอันใด เขาเงยหน้ามองเขาคุนหลุนไกลออกไป ตำหนักเทพทั้งหลายถูกเมฆบดบัง โชคชะตาพวกเขาเองก็ราวกับถูกเมฆหมอกบดบังจนมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เป็นหรือตาย ก็แล้วแต่ฟ้าลิขิตแล้ว
ทุกคนหันหลังจะเดินทาง อู๋จือฉีเห็นหลิ่วอี้ฮวนยังคงนิ่งอยู่กับที่ อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นไรไป บาดเจ็บ?”
หลิ่วอี้ฮวนหน้าแดง ติดอ่างกล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่ไปแล้ว ข้ารอคนอยู่”
“รอใคร ยังจะมีใครมาอีก” อู๋จือฉีงุนงง
มกรยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “อย่าไปสนใจเขา! คนผู้นี้ถูกนารีครอบงำใจไปหมดแล้ว ไร้ทางเยียวยาแล้ว เขาต้องการรอพบนางในดวงใจอย่างไร!”
“นางในดวงใจ?” อู๋จือฉียิ่งงงเข้าไปอีก
หลิ่วอี้ฮวนร้อนใจกล่าวว่า “ไปๆๆ อย่ามายุ่ง สรุปพวกเจ้าไปกันเอง ข้าจะรออยู่ตรงนี้ เป็นหรือตาย ก็ชีวิตข้าเอง”
อู๋จือฉียังงงงวย มกรแค่นเสียงฮึกล่าวว่า “เจ้ารอไปเหอะ! รอมังกรเขียวมาควักไส้เจ้าออกมา! ถึงตอนนั้นคงงามเจ้าละ!”
หลิ่วอี้ฮวนคอแข็ง ฟังไม่เข้าหูแม้แต่น้อย เขาสะบัดแขนเสื้อปัดฝุ่นบนพื้นก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน ครั้งนี้อู๋จือฉีเริ่มได้กลิ่นแล้ว กระซิบถามมกร “เขาคงไม่ได้ต้องตามังกรเขียวหญิงสกปรกนั่นกระมัง” มกร “อือฮึ” ขึ้นเสียงหนึ่ง ยิ้มเยียบเย็น “นี่ก็คือที่เรียกว่ากลิ่นเน่าด้วยกันเข้าหากันอย่างไร!”
อู๋จือฉีตกใจ มองหลิ่วอี้ฮวนด้วยแววตาสงสาร สุดท้ายลูบคลำศีรษะถอนใจกล่าวว่า “ใต้หล้านี้ คนเราต่างจิต แม้แต่สตรีเช่นนั้นยังมีคนต้องตาได้” นึกถึงเกล็ดมังกรเขียวนั่น ‘ยาแก้สลบ’ ที่ตนพกติดตัว กลิ่นนั่นพอเขานึกถึงก็ยังอดสยองไม่ได้ ดังคาด สิ่งแปลกประหลาดในโลกนี้ไม่มีอะไรไม่มี ถึงกับมีคนหลงชอบมังกรเขียวได้
“ไปละๆ!” มกรขี้เกียจพูดกับเขามาก สะบัดหน้าเดินออกไปทันที เสวียนจียังคงไม่วางใจ หันกลับไปกล่าวว่า “พี่หลิ่ว ท่านอยู่ที่นี่คนเดียวต้องระวังตัวนะ มีเรื่องอะไรผิดปกติก็ปล่อยสัญญาณแจ้ง ข้าจะรีบมาช่วยท่านทันที”
หลิ่วอี้ฮวนจัดเสื้อผ้าตนเอง พยักหน้าหงึกๆ เห็นชัดว่าฟังไม่เข้าหู
เสวียนจีถอนหายใจ กำลังจะเดินออกไปกับพวกเขา พลันได้ยินเสียงระฆังบนยอดเขาคุนหลุนไกลออกไปดังเหง่งหง่างก้องกังวานมา ทำเอาทุกคนจิตใจสั่นไหว ทั่วท้องฟ้าพลันสว่างวาบ ลำแสงอ่อนโยนทอดลงมาจากสรวงสวรรค์ ทุกสิ่งแลดูเลือนราง
ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เห็นเพียงแสงสีนับไม่ถ้วนจากสรวงสวรรค์สาดส่องลงมาพร้อมเสียงดังไพเราะ เขาคุนหลุนสูงเสียดเมฆราวกับมีบันไดแสงสว่างวาบพาดลงมากลางท้องฟ้า เส้นทางตรงขึ้นแดนสวรรค์ ไม่ต้องให้ผู้ใดเอ่ย ทุกคนล้วนเข้าใจ นี่ก็คือแสงแห่งสรวงสวรรค์สาดส่อง บันไดสวรรค์ทอดลงมาแล้ว
ราชันสวรรค์ลงมาเขาคุนหลุนแล้ว
ฉับพลันนั้นเอง ในใจทุกคนก็สับสนยิ่ง ราชันสวรรค์เสด็จมายังโลกมนุษย์ ประตูทั้งเก้าแห่งเขาคุนหลุนก็จะปิดหมดทุกบาน ไม่อาจเล่นอุบายหาทางเข้าไปแบบก่อนหน้าแล้ว โอกาสเข้าเฝ้าราชันสวรรค์ริบหรี่ยิ่งขึ้น นอกจากพวกเขาร่วมกำลังกันบุกสังหารเปิดเส้นทางโลหิตเข้าไป แต่นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คิดทำที่สุด
อู๋จือฉีมองอย่างตกในภวังค์ กล่าวเบาๆ ว่า “เปิดตัวยิ่งใหญ่ยิ่ง…ราชันสวรรค์เสด็จลงมาครั้งนี้ ไม่รู้นำเทพเซียนอารักขามาเท่าไร…”
มกรขมวดคิ้วกล่าวว่า “ทำไม! พวกเจ้าคงไม่คิดสังหารเปิดทางเข้าไปจริงๆ หรอกนะ เจ้าสนใจทำไมว่านำเทพเซียนมาเท่าไร!”
“อันนี้ก็นะ…” อู๋จือฉียู่ปาก “อย่างไรก็ควรมีการเตรียมใจไว้ก่อนไม่ใช่หรือ…เทพเซียนพวกนั้นบางคนก็เคยมีเรื่องพ่ายแพ้ให้ข้ามาในอดีต ตอนนี้อยู่ๆ มาเจอกัน ในใจพวกเขาคงไม่พอใจ คงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้”
มกรร้องดังขึ้นว่า “เจ้าสู้กับพวกเขา ไม่สู้มาสู้กับข้า! นี่ ข้ารอเจ้ามานานแล้วนะ!”
อู๋จือฉีหัวเราะดัง “เจ้าไม่ใช่สาวงามเสียหน่อย มาคอยตามข้าทำไม หรือว่ารอให้ข้าเห็นใจนึกอยากทะนุถนอมหยกงามขึ้นมา”
“ผายลม!” มกรโมโหขึ้นมาทันที กำลังจะเข้าไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง อู๋จือฉีกลับเดินออกไปไกลแล้ว หันมากล่าวว่า “ไปน่า! ดีหรือร้าย ขึ้นไปดูก็รู้ไม่ใช่หรือ ดูอยู่ที่นี่ก็มีแต่ทำให้หวาดกลัวยิ่งขึ้น! ที่นั่นมีอีกหลายคน หากเจ้าอยากจะสู้กับข้า อย่างไรก็ต้องหาโอกาสดีๆ หน่อย คิดว่าเจ้าและข้าคงไร้วาสนาแล้ว”
มกรรีบไล่ตามไป ร้อนใจกล่าวว่า “ครั้งนี้ไม่สู้กันอีก วันหน้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว! ข้าว่าพวกเจ้าขึ้นไปรนหาที่ตายอาจเป็นที่แน่นอนแล้ว เห็นแก่ข้าที่รอคอยโอกาสสู้กับเจ้ามาพันปี ให้ข้าได้สมหวังเถอะนะ!”
อู๋จือฉีเลิกคิ้วหัวเราะดัง “น่าเสียดายที่เจ้ารอข้ามาพันปี ความลุ่มหลงนี้ข้ารับด้วยใจแล้ว หากเราสองล้วนเป็นชายชาตรี เจ้ารอข้าต่อไปก็คงไม่ได้ผลอะไรหรอกนะ”
“ผายลม!” มกรนิสัยใจร้อน ถูกเขาแหย่จนกระทืบเท้า ทั้งสองคนหนึ่งเดินคนหนึ่งไล่ วิ่งหายลับไป
****
ที่นี่เป็นระเบียงทางเดินมืดมิดทอดตัวยาว บนกำแพงมีคบไฟจุดไว้นับไม่ถ้วน แต่แสงคบไฟไม่อาจทำลายความมืดรอบได้
เงียบ เงียบมาก ราวกับได้ยินแต่เสียงเต้นหัวใจตนเอง
อวี่ซือเฟิ่งลืมตาขึ้นมองเห็นสภาพเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าตนเองมาที่นี่ได้อย่างไร ยามมีลำแสงเหนือศีรษะคลุมเขาไว้ เขาคล้ายได้ยินเสียงคนคุยอะไรกันอยู่แต่ได้ยินไม่ชัด พอกะพริบตาก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว
กล่าวตามจริง ที่นี่ดูแล้วไม่ใช่ที่ดีอะไร เหมือนคุกใต้ดิน เขาไม่แน่ใจว่าตนเองถูกจองจำหรือไม่ เพราะร่างกายเขาไม่ได้มีโซ่ตรวน และก็ไม่มีประตูเหล็กปิดกั้นไว้
อวี่ซือเฟิ่งยกเท้าก้าวไปข้างหน้า เสียงฝีเท้าดังไปตามระเบียงยาว ฟังแล้วทำเอาใจเต้นแรง
ประตูสีดำสนิทนับไม่ถ้วนเรียงรายบนกำแพง มองไม่ชัดว่ามีคนหรือไม่ หากเป็นจิ้งจอกม่วงหรือมกรที่ชอบโวยวาย เกรงว่ายามนี้คงได้โวยวายร้องตะโกนดังแล้ว แต่ที่มาเป็นอวี่ซือเฟิ่ง
เขาไม่ร้องตะโกน เพียงแต่สำรวจหลังบานประตูทุกบานอย่างระมัดระวังจนมั่นใจว่าหลังบานประตูไม่มีคน
เขาเดินไปอีกสองสามก้าว คบไฟบนกำแพงพลันวูบไหวสองที ด้านหน้ามีเสียงเยียบเย็นแว่วมา “มานี่ เจ้ามานี่ มาให้ข้าดูหน่อย”
อวี่ซือเฟิ่งอึ้งไปเล็กน้อย รู้สึกเพียงแค่เสียงนั้นคุ้นเคยมาก พลันคิดไม่ออกว่าแท้จริงคือผู้ใด เขาเดินไปถึงหน้าประตูเหล็กบานหนึ่ง ด้านในมืดดำสนิท มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ทันใดนั้นใบหน้าซีดขาวก็โผล่ออกมาจากความมืด เขาตกใจเฮือก อดผงะถอยหลังไม่ได้ ใบหน้านั้นทำให้เขาสว่างวาบ นึกถึงคนคนหนึ่ง
“รองเจ้าตำหนัก?!” เขาหลุดเรียกออกมา
ใบหน้าที่ถูกจองจำอยู่หลังประตูเหล็กเต็มไปด้วยความแค้น ดวงตาลุกโชน เป็นหยวนหลางรองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อ พอเห็นอวี่ซือเฟิ่ง เขาก็ไม่ตกใจแม้แต่น้อย เพียงส่งเสียงหัวเราะเยียบเย็น “ดี! ดี! คนตำหนักหลีเจ๋อล้วนถูกขังกันที่นี่แล้ว!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่…มีแค่ข้าคนเดียว ที่นี่คือที่ไหน”
หยวนหลางมองเขาอย่างชั่วร้าย หากยังคงหัวเราะ “ที่นี่? แน่นอนคือคุกใต้ดินแดนปรภพ! ที่แท้มีเพียงเจ้า!…ไม่เลว! เจ้ามาแดนปรภพเพราะเป็นคนปล่อยอู๋จือฉีออกไป! ยังมีเจ้าหลิ่วอี้ฮวน! ฮาๆๆ! แดนสวรรค์มีแค้นต้องชำระดังคาด เรื่องเล็กเท่าเมล็ดงายังไม่ยอมปล่อยผ่านแม้แต่น้อย!”
อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด หยวนหลางหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็รู้สึกว่าผิดปกติ เขาพลันพุ่งตรงมาข้างหน้า โซ่ตรวนด้านหลังส่งเสียงดัง กระแทกประตูเหล็กดังปัง แทบอยากจะบีบตัวลอดออกมาจากซี่กรง
“เจ้า! เหตุใดเจ้าไม่ถูกขัง?! ทุกคนล้วนทำผิด เหตุใดมีเพียงเจ้า…พวกเจ้า…พวกเจ้าล้วนไม่เป็นไร เหตุใดขังแต่ข้า?! เจ้ากับอู๋จือฉีสินักโทษ!” เขาคำรามแผดเสียงร้องโหยหวน
อวี่ซือเฟิ่งจ้องมองใบหน้าบิดเบี้ยวของเขาเงียบๆ รอให้เขาระบายออกมาหมด จึงได้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ถูกต้อง คนใต้หล้าล้วนทำผิด มีแต่หยวนหลางเจ้าไม่ผิด เจ้าบริสุทธิ์สูงส่งสะอาดสะอ้านยิ่งกว่าราชันสวรรค์ ทุกคนล้วนหาทางทำร้ายเจ้า กล่าวเช่นนี้ เจ้าพอใจไหม”
เขาไม่คิดจะเสวนากับคนผู้นี้ต่อ หันหลังคิดจากไป หยวนหลางถูกขังที่นี่มานานแล้ว ไม่ได้กิน ไม่ได้ดื่ม ไม่มีคนคุยด้วย ใกล้จะอัดอั้นจนเสียสติแล้ว กว่าจะได้เจอคนรู้จัก เขาจะปล่อยให้จากไปง่ายๆ ได้อย่างไร รีบตะโกนเรียกสุดเสียง “อย่าไป! เจ้าอย่าไป! อยู่ก่อน! บอกข้ามา อู๋จือฉีเป็นอย่างไรบ้าง! ถูกแดนสวรรค์จับไปให้ห้าม้าแยกร่างแล้วหรือยัง”
อวี่ซือเฟิ่งเผยรอยยิ้มกล่าวเบาๆ ว่า “เปล่านี่ เขายังอยู่ดี อิสระเสรี ไร้พันธนาการ”
เสียง ปัง ดังขึ้น หยวนหลางทุบประตูเหล็กอย่างแค้นใจ โซ่ตรวนในมือกระแทกประตูเหล็กส่งเสียงดังก้องไม่หยุด
เขาคำรามราวสัตว์ป่าออกมาจากลำคอ น่ากลัวจนขนลุก
อวี่ซือเฟิ่งเห็นท่าทางเขาไม่เหมือนคนปกติ ในใจก็ปลดปลง กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สายตาเจ้ามักเอาแต่จับจ้องความผิดผู้อื่น แต่ไรมาไม่เคยมองเห็นความผิดตนเอง มีชีวิตเช่นนี้ย่อมทรมานมาก”
หยวนหลางเสียงแหบพร่ากล่าวว่า “ข้าไม่ผิด! คนผิดก็คือพวกเขา! ข้าไม่ผิด! เป็นพวกเจ้าที่ผิดต่อข้า!”
อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจ กล่าวว่า “เจ้าและข้าได้มาเจอกัน โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง เจ้าจะเอาแต่กล่าววาจาเหลวไหลกับข้าเช่นนี้หรือ”
เสียงหยวนหลางพลันชะงัก เขานิ่งอึ้งไปเป็นนาน คอเริ่มตกลง เป็นนานก็ไม่กล่าวอันใด