ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 17 ทวยเทพเสด็จ (4)
อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางไม่เหมือนล้อเล่น ก็เชื่อว่านางตายจริง พลันในใจก็ทั้งเสียใจทั้งบอกไม่ถูก ก็ไม่รู้ควรกล่าวอันใด
จิ้งจอกม่วงกล่าวว่า “พวกเราตั้งใจมุ่งมั่นมาแดนสวรรค์ เดิมก็เตรียมพร้อมมาตายด้วยกันแล้ว เจ้าและข้าก็แค่ตายก่อน ก็ไม่เท่าไร ไว้ทุกคนมาเจอกันในแดนปรภพก็คงได้ครื้นเครงกันอีกครั้ง”
วาจานี้เดิมเป็นหลิ่วอี้ฮวนกล่าวกับศพนาง ตอนนั้นจิตวิญญาณนางยังไม่สลาย ยังคงเวียนวนอาลัยอาวรณ์อยู่รอบกายอู๋จือฉี จนกระทั่งหลิ่วอี้ฮวนกล่าวเช่นนี้ นางจึงได้รู้ตัว จากมายังแดนปรภพ
อวี่ซือเฟิ่งเคยเห็นความร้ายกาจของยมทูตพวกนั้น เป็นพวกไร้เหตุผลสิ้นดี ภาษิตว่าเข้าฝ่ายยมบาลไม่ยาก ผีน้อยรับมือยาก บรรดายมทูตทำงานด้านนี้ย่อมมีนิสัยใหญ่โต เทพเซียนหรือมารปีศาจพอตายลงสู่แดนปรภพก็เท่าเทียมกันทุกสรรพชีวิต พอดื่มน้ำลืมภพชาตินำตัวไปยังตำหนักให้ผู้พิพากษาไต่สวนเรื่องราวตอนยังมีชีวิตอย่างละเอียด ก่อนจะลงโทษ ไม่ก็ส่งไปเวียนว่ายในทันที แต่ละคนล้วนต่างกรรมต่างวาสนา ผู้ใดก็ไม่มีข้อยกเว้น จิ้งจอกม่วงโชคดี เส้นทางปรภพไม่ได้พบกับยมทูต หากถูกยมทูตจับได้ แม้มีสิบอู๋จือฉี นางก็คงไม่อาจจำเรื่องราวในอดีตได้อีกแล้ว
เห็นนางจะเดินไปข้างหน้า อวี่ซือเฟิ่งรีบกล่าวว่า “ช้าก่อน เจ้าไปครั้งนี้ก็กลับไปไม่ได้อีกแล้วนะ ดื่มน้ำลืมภพชาตินั่นก็ต้องไปเวียนว่าย ชาติหน้าก็เป็นอีกคนหนึ่ง แดนปรภพไหนเลยจะมาพบกันครึกครื้นได้ดังว่า”
จิ้งจอกม่วงถอนหายใจกล่าวว่า “ข้าก็รู้หลักการนี้ แต่เป็นปีศาจก็ดี เป็นผีก็ดี อย่างไรเหลือความหวังไว้จึงจะมีชีวิตได้อย่างสบายใจ ไม่แน่ข้าอาจมีวาสนานั้น อาจได้ไปอยู่เมืองนรกอี้ตูรอพวกเขา เมืองนรกอี้ตูไม่ใช่ว่ามีผีที่อยู่นานไม่ยอมไปเกิดหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งเดิมคิดเตือนสตินาง พวกเขาเดินทางไปเขาคุนหลุนพลการ ถือเป็นความผิดขั้นร้ายแรง แปดเก้าส่วนคงต้องลงนรกขุมสิบแปด นางคิดอยู่เมืองนรกอี้ตูต่อ ช่างเป็นเรื่องเพ้อฝันสิ้นดี แต่เห็นนางท่าทางเหมือนไม่ได้รู้สึกว่าทำอะไรผิด ก็พูดความจริงแสนโหดร้ายเช่นนี้ไม่ออก
เขาคว้าแขนเสื้อจิ้งจอกม่วง กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ข้าส่งเจ้าไปเมืองนรกอี้ตู”
จิ้งจอกม่วงยิ้มร่าคล้องแขนเขาราวกับพี่น้องสนิทสนม อวี่ซือเฟิ่งนึกถึงเมื่อก่อนที่เคยถูกนางใช้เสน่ห์ยั่วยวนก็อดทอดถอนใจเล็กน้อยไม่ได้ หวนคิดถึงว่านางตายแล้ว และตลอดทางมานี้ทุกคนร่วมจิตร่วมใจเป็นหนึ่งกันนานแล้ว ดังนั้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องเดิมๆ อีก ยามนี้จึงได้กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าบอกเองว่าเป็นตายล้วนว่างเปล่า กลับอยากให้ทุกคนมาอยู่แดนปรภพเป็นเพื่อนเล่นเจ้า ใช่ว่าความคิดขัดแย้งกันเองหรือ”
จิ้งจอกม่วงยิ้มร่ากล่าวว่า “ใต้หล้าหลักการพูดง่ายนั้นมีมากมาย! ข้าหยิบยกมากล่าวสักอันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนี่ ยามนี้แม้พวกเขาไม่มา แต่เจ้ามาก็เหมือนกัน ดีกว่าข้าคนเดียว น่าเบื่อตาย”
อวี่ซือเฟิ่งถอนใจกล่าวว่า “ข้า…เกรงว่าไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้นานนัก”
จิ้งจอกม่วงตากลมโตจ้องมองมองเขาอย่างงุนงง เห็นชัดว่าไม่เข้าใจว่าเขาตายแล้ว นอกจากแดนปรภพยังมีที่ไหนไปได้อีก อวี่ซือเฟิ่งไม่คิดอธิบาย จริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ทั้งสองมายังประตูหน้าเมืองนรกอี้ตูด้วยกัน ตลอดทางได้พบกับวิญญาณใหม่ไม่น้อย รวมทั้งยมทูต ทุกคนล้วนรู้ว่าบนตัวอวี่ซือเฟิ่งมีผนึกราชันสวรรค์ จึงไม่กล้าเข้ามาสอบถามเขากับจิ้งจอกม่วง แอบพากันหลีกทางให้พวกเขาไปก่อน
จิ้งจอกม่วงไม่รู้สาเหตุ ยังคิดว่าบนเส้นทางปรภพต่างคนต่างเดินเช่นนี้ เดินไปก็ส่ายหน้าไป ดีใจเบิกบานราวกับนางไม่ได้กำลังจะไปเมืองนรกอี้ตูแต่ไปเที่ยว อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางดีอกดีใจ สองตาส่องประกายยินดีปรีดา ปากก็เอาแต่ฮัมเพลง ล้วนไม่ได้มีความเหงาเศร้าใจของคนตายใหม่ๆ แม้แต่น้อย อดแปลกใจไม่ได้ ยิ้มกล่าวว่า “ทำไมเจ้าดีใจเช่นนี้” พวกเสวียนจียังไม่รู้เสียใจขนาดไหน นางกลับดีอกดีใจ หากให้พวกเขารู้ เกรงว่าสีหน้าอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก อยากจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก
จิ้งจอกม่วงหน้าแดง อยากจะกล่าวความในใจออกมา แต่คนเบื้องหน้าไม่ใช่เสวียนจี เป็นอวี่ซือเฟิ่ง แม้นางไม่ถือสาอะไรเท่าไร แต่ก็นึกอายอยู่บ้างหากจะต้องถกความรู้สึกในใจกับผู้ชายคนหนึ่ง ทนกลั้นอยู่เป็นนาน จึงได้กล่าวว่า “ข้า…ข้าบอกเจ้านะ หากเจ้าไล่ตามคนๆ หนึ่งมานานมาก…อืม ก็คือเสวียนจีนั่นละ! ในที่สุดนางก็เริ่มมีใจให้เจ้า เจ้าดีใจไหม”
ครั้งนี้เป็นอวี่ซือเฟิ่งหน้าแดงแทน เรื่องสนิทสนมชิดใกล้อันใดเขากับเสวียนจีก็ทำมาหมดแล้ว แต่นิสัยเขาก็ยังเป็นคนขี้อายอยู่ดี ทุกครั้งที่ได้ยินคนเอ่ยถึงเขากับเสวียนจี เขาก็ยังกินปูนร้อนท้องจนหน้าแดง จิ้งจอกม่วงเห็นเขาหน้าแดง ก็หัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “หน้าแดงแล้วๆ! เจ้านี่มันคนขี้อายจริงๆ เล้ย!”
อวี่ซือเฟิ่งเองก็รู้สึกขำอยู่บ้าง ลูบคางไปมาเข้าใจการเปรียบเทียบของจิ้งจอกม่วงได้ทันที ดังคาด ยังคงนุ่มนวลกล่าวว่า “อ้อ อู๋จือฉีบอกความในใจกับเจ้าหรือ” เขาถาม อยู่ๆ นึกถึงว่านางตายแล้ว อู๋จือฉีพูดไปอาจไม่ใช่วาจาแท้จริง ในใจก็รู้สึกทนไม่ไหวอยากบอก
จิ้งจอกม่วงกลับส่ายหน้า กล่าวอ่อนโยนว่า “เรื่องขัดเขินเช่นนี้ เขาจะทำไปได้อย่างไร หากเขาบอกความในใจกับข้าจริง ก็คงไม่ใช่อู๋จือฉีแล้ว ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกมาตลอดว่าในใจเขาไม่เคยมีข้า แต่ตอนนี้ได้รู้ว่าในใจเขามีข้า เช่นนี้ตายไปก็ไม่เสียใจ”
นางนึกถึงคำพูดสุดท้ายอู๋จือฉี ตอนเปลวเพลิงกลืนกินร่างนาง อารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกบนสีหน้าเขาทำให้คนที่เห็นแล้วแทบทนไม่ไหว เดิมนางคิดว่าเขาจะกล่าวคำพูดทำร้ายจิตใจ ผู้ใดจะคิดว่าเขากลับบอกว่าในฝันมีนาง ไม่ได้หลอก ก่อนนางตาย ก็ราวกับมารเข้าแทรกครอบงำจิตใจ ถึงกับไม่ได้ถามเขาว่าชอบนางไหม มัวแต่สนใจเรื่องราวในฝันไม่ยอมปล่อย ราวกับนั่นเป็นความปรารถนาสุดท้ายของนาง พอได้รับคำตอบจากเขาแล้ว แม้นางไม่เชื่อแต่ก็จากไปอย่างสบายใจ ต่อมาเขายังยอมรับว่าที่กล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่คิดให้นางตื่นเต้นดีใจ
แน่นอน หลังความตื่นเต้นดีใจก็คือนึกเสียใจ หากรู้ก่อนว่าพอถามเขาว่าชอบนางไหมแล้ว เขาจะพยักหน้ายอมรับ ไยต้องไปคิดเล็กคิดน้อยมัวแต่สนใจถามความฝันของเขา โง่เง่าแท้ จิ้งจอกม่วง!
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าดีกับเขาเช่นนี้ ในใจอู๋จือฉีต้องซาบซึ้งแน่ จะไม่มีเจ้าในสายตาได้อย่างไร”
จิ้งจอกม่วงยังคงส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้าไม่ได้ต้องการให้ซาบซึ้ง หากคนหนึ่งทำสิ่งใดจึงจะทำให้อีกฝ่ายซาบซึ้งได้ เช่นนี้ในใจอีกฝ่ายก็ย่อมมีความรู้สึกผิดติดค้างในใจ อยู่ร่วมกันก็ย่อมไร้ความหมายยิ่ง”
นางมองอวี่ซือเฟิ่งเงียบงันไม่กล่าวอันใด ก็เข้าใจทันทีว่าตนเองกล่าวถึงความเจ็บปวดที่เขาเคยมี เมื่อก่อนเขาก็ดีกับเสวียนจีมากไป นางทำอะไรก็ย่อมต้องคอยระมัดระวังไม่ให้เขาไม่พอใจ
จิ้งจอกม่วงกล่าวว่า “นี่เป็นแค่ความเห็นน้อยๆ ของข้าเองคนเดียว อาจไม่ใช่ก็ได้ แม้อีกฝ่ายที่เราหลงรักจะไม่รู้สึกซาบซึ้ง แต่อย่างน้อยก็ย่อมทำให้ตนเองซาบซึ้ง พวกเราหลงรักคนอื่นก่อนก้าวหนึ่ง มักจะต้องทนทุกข์ก่อน นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
อวี่ซือเฟิ่งเงียบงัน
พอทั้งสองเดินเข้าประตูเมืองนรกอี้ตู ก็มียมทูตและขุนพลทหารมาขวางไว้ แม้บนตัวอวี่ซือเฟิ่งมีผนึกราชันสวรรค์ แต่ก็ไม่อาจไม่เคารพธรรมเนียมแดนปรภพ ด้านหลังมียมทูตหลายคนรีบวิ่งเข้ามา จดเรื่องราวตอนจิ้งจอกม่วงยังมีชีวิตลงไปบนแผ่นป้ายส่งให้ขุนพลทหาร ขุนพลทหารผู้นั้นกวาดตามองแล้วก็กำลังเลิกคิ้วคิดจะเอ่ย หน้าอกอวี่ซือเฟิ่งอยู่ๆ ก็เปล่งแสงสีทองสายหนึ่ง
ทุกคนมองแสงนั่น ต่างลนลานไม่รู้ทำเช่นไร ผีน้อยหลายตนพากันคุกเข่าลงตัวสั่นไปทั้งตัว จิ้งจอกม่วงตะลึงมองอวี่ซือเฟิ่ง เขาเองก็งุนงงเช่นกัน เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า ราวกับรับรู้อะไรได้สักอย่าง ตัวอักษรสีทองตรงหน้าอกส่องประกายออกมา จิ้งจอกม่วงหลบไม่ทันโดนปะทะเข้าเต็มๆ อักษรสีทองนั่นก็ประทับลงบนไหล่ซ้ายของนางส่องแสงประกายสีทอง
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าต้องไปแล้ว จิ้งจอกม่วง เจ้าดูแลตัวเองให้ดี มีผนึกราชันสวรรค์อยู่บนตัวเจ้า ยมทูตย่อมต้องดูแลพิเศษ อีกร้อยปี เจอกันในแดนปรภพอีกครั้ง”
จิ้งจอกม่วงยังคงงุนงง เห็นร่างเขาค่อยๆ โปร่งแสง ตกใจส่งเสียงเรียกดังว่า “เจ้าไปไหน?! นี่! อย่าไปนะ! ซือเฟิ่ง!” อวี่ซือเฟิ่งไม่ทันได้ตอบ ร่างก็หายวับไปท่ามกลางหมอกเลือนราง มองไม่เห็นอีกแม้เงา
บรรดายมทูตผีน้อยคำนับท้องฟ้าหลายที หันกลับไปเห็นผนึกราชันสวรรค์ประทับบนไหล่จิ้งจอกม่วงก็ย่อมไม่กล้าทำกับนางแบบวิญญาณใหม่ทั่วไป ขุนพลทหารผู้นั้นพากันกล่าวว่ามีมารยาทว่า “ขอเชิญแม่นางตามยมทูตไป ไปพบผู้พิพากษาแล้วค่อยตัดสิน”
จิ้งจอกม่วงยังไม่ยอมไป เดินวนรอบประตูอยู่นาน หวังว่าจะหาอวี่ซือเฟิ่งเจอ บรรดายมทูตผู้ใดก็ไม่กล้ายุ่งกับนาง ได้แต่ปล่อยนาง จิ้งจอกม่วงเดินหารอบหนึ่ง จึงได้เชื่อว่าเขายังไม่ตายจริงๆ ไม่รู้ว่าเหตุบังเอิญใด ถึงกับทำให้ได้มาเจอกับเขาที่นี่ได้
ยมทูตข้างๆ กระซิบเตือนนางให้เข้าเมืองนรกอี้ตู จิ้งจอกม่วงได้แต่พยักหน้า ยอมตามบรรดายมทูตไปพบผู้พิพากษาแต่โดยดี บนตัวนางมีผนึกราชันสวรรค์ ย่อมไม่มีคนกล้าทำอะไรนาง อย่าว่าแต่นรกขุมสิบแปด แม้แต่น้ำลืมภพชาติก็ไม่ได้แตะต้องนาง วันๆ นางได้แต่เดินไปเดินมาอยู่ในเมืองนรกอี้ตู ถึงกับคบหาสหายกลุ่มหนึ่ง ค่อยๆ พักอาศัยที่เมืองนรกอี้ตูจนเริ่มชินชา แน่นอนเรื่องนี้ไว้ก่อน ไม่กล่าวถึงชั่วคราว
****
พวกเสวียนจีทั้งสามคนมาปีนหน้าผาประตูไคหมิงอีกครั้ง สิงห์ไคหมิงที่นอนอยู่หน้าประตูหายตัวไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย ประตูไคหมิงยิ่งใหญ่อลังการตรงหน้าเหนือความคาดหมายของทุกคน ถึงกับเปิดกว้างอยู่ รอบๆ มีควันหมอกขาว ผู้ใดก็มองไม่เห็นว่าด้านในเป็นอย่างไรกันแน่
มกรกล่าวอย่างแปลกใจว่า “แปลกแล้ว ราชันสวรรค์เสด็จลงมา ประตูทุกบานควรปิดถึงจะถูก! ประตูนี่ทำไมเปิดอยู่”
กล่าวไปก็เดินไปอีกสองก้าว มองไปด้านใน พลันสีหน้าแปรเปลี่ยน ตัวแข็งทื่อทันที
“ทำอะไร ข้างในมีผี?” อู๋จือฉียิ้มถามเดินเข้าไป ทำตามแบบเขาชะโงกมองเข้าไป พอเห็นเท่านั้นก็ตัวแข็งทื่อทันที สีหน้าแปลกประหลาดมาก
เสวียนจีไม่ได้เคลื่อนไหวว่องไวเหมือนเขาสองคน ยามนี้เพิ่งจะปีนขึ้นหน้าผามาได้ก็เหนื่อยจนหอบไม่หยุด บ่นว่า “พวกเจ้าทำไมเดิน…เร็วอย่างนั้น! ทิ้งข้าไว้ข้างหลังคนเดียว!”
นางเห็นท่าทางประหลาดของทั้งสองคนก็อดแปลกใจไม่ได้ เดินเข้าไปตบศีรษะมกรทีหนึ่ง กล่าวว่า “ทำอะไร! ประตูเปิดอยู่ทำไมไม่เข้าไป”
มกรหันมาถอนหายใจเฮือกใส่นางทีหนึ่ง สีหน้าหนักใจ แอบด่าเบาๆ ว่า “เจ้าโง่! ข้างในมีแต่เทพเซียน!”
ในใจเสวียนจีแอบตกใจเล็กน้อย รีบเงยหน้ามองจ้องเข้าไป เห็นเพียงแสงหมอกเลือนราง ฝั่งด้านในประตูไคหมิงมีร่างยืนออกันแน่นไปหมด แสงมงคลเปล่งประกายทะยานพุ่งขึ้นท้องฟ้า แสงมงคลนับพันสาย ล้วนเป็นแสงแห่งเทพเซียนสวรรค์ แต่ละองค์สีหน้าไร้ความรู้สึกประทับเฝ้าอยู่ที่ประตู จ้องมองพวกเขาทั้งสาม
ฉับพลันนั้นเอง รอบๆ ก็ตกในสภาวะเงียบงันแปลกประหลาด
อู๋จือฉีหรี่ตามอง อยู่ๆ พลันเห็นมังกรเขียว หงส์แดงจูเชวี่ย เสือขาว พวกเขาอยู่กันครบ ยังมีขุนพลที่เคยพ่ายให้ตนเองตอนนั้นหลายองค์ เขาอดพลิกฝ่ามือมากุมขอสมุทรเช่อไห่ที่เอวไว้ไม่ได้ พึมพำกล่าวว่า “โอ้โฮ สงสัยได้เล่นใหญ่แล้ว”