ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 19 ทวยเทพเสด็จ (6)
“พูดจาเหลวไหลอะไร! มาเลยสิ!” มกรคิดปล่อยอัคคีเผาจริง หากสุดท้ายถูกราชันสวรรค์จับไปฟันตาย ก็ดีกว่าถูกหมอกโลหิตกลืนกินกลายเป็นกองเลือดตาย นี่มันตายแบบไหนกัน เขาไม่เอาด้วยหรอก!
เสวียนจีคว้าเขาไว้แน่น กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ให้ข้าลองอีกครั้ง!”
นางไม่อยากจะถอดใจเช่นนี้ เรื่องสังหารเป็นเรื่องง่ายเพียงใด แค่แทงกระบี่ลงไป เลือดกระเซ็นออกมาก็จบเรื่อง แต่ตลอดทางมา จิ้งจอกม่วงตาย ซือเฟิ่งหายตัวไป หลิ่วอี้ฮวนก็จากไป แต่ทุกคนในสำนักเส้าหยางยังมีชีวิตที่มีความสุขกัน ล้วนเป็นสหายนาง นางไม่อาจทำให้เพราะความวู่วามของนางเอง พลอยทำให้ญาติมิตรต้องลงสู่เปลวเพลิงไปด้วย ต้องมาโดนโทษไปด้วย ถิงหนูคนเดียวก็พอแล้ว
สังหารเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และเป็นหลักการที่นางเคยใช้ แต่ตอนนี้นางจะละทิ้งอดีตทุกอย่างแล้ว
สวรรค์เคยให้นางโอกาส?
นางคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เสียงกังงานก้องกล่าวว่า “ฉู่เสวียนจีขอเข้าเฝ้าราชันสวรรค์!”
ไม่มีคนตอบนาง หมอกโลหิตค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เห็นว่าจะโดนปลายจมูกนางแล้ว ทั้งสามเหงื่อแตกท่วมใบหน้า ฟังท่วงทำนองดนตรีจนแทบจะลืมหายใจ
ดนตรีเสียงจื่อกำสรวลลากยาวบรรเลงด้วยพิณผีพาราวเม็ดหยกร่วงลงพื้น เสียงติงตังๆ บนสายเส้นพิณไต่ระดับขึ้นราวกับหมอกสีเขียวค่อยๆ กำจายออกเบาบาง ลอยขึ้นไปยังขอบฟ้า อู๋จือฉีฟังอย่างตั้งใจ รู้สึกเพียงแค่เสียงเศร้ากำสรวลเหมือนกับเข็มเหล็กปักลงในสมอง ไม่อาจขยับกายได้อีก
ในชั่วพริบตา เสียงระฆังราว เสียงขลุ่ย เสียงพิณโบราณ…บรรเลงพร้อมกันราวกับคลื่นทะเลที่สาดขึ้นฟากฟ้าก่อนจะตกลงมาในที่สุด เสียงจื่อกำสรวลลากยาวพลันหยุดลง กลับคืนสู่เสียงจื่อปกติ อู๋จือฉีตะโกนร้องเสียงดังขึ้น เข็มเหล็กที่เหมือนแทงอยู่ในสมองราวกับถูกคนดึงออกทันที รู้สึกเจ็บปวดยากบรรยาย
หมอกโลหิตแหวกเปิดทางตรงหน้าเสวียนจี หน้าประตูมีคนผู้หนึ่งกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ทั้งสามเชิญลุกขึ้น ราชันสวรรค์รออยู่นานแล้ว”
ในใจทั้งสามร้องยินดีอย่างบ้าคลั่ง ลืมตัวหันไปคลำแผ่นหลังที่เปียกซึมไปด้วยเหงื่อ สบตากัน รู้สึกเพียงแค่สีหน้าแต่ละคนไร้สีเลือด แต่กลับเต็มไปด้วยความยินดีที่รอดพ้นวิกฤตมาได้ เสียงมกรสั่นเทา “ไป…ไป เข้าไปกันได้แล้ว!”
เสวียนจีพยักหน้าประคองอู๋จือฉี ทั้งสามค่อยๆ เดินเคียงบ่ากันเข้าประตูไคหมิง เห็นเพียงบรรดาเทพเซียนแยกออกเป็นสองข้างอย่างเป็นระเบียบ กำลังหันไปทางชายหนุ่มชุดขาวหน้าตาสง่างาม หน้าผากมีแสงทองผนึก ดูจากอายุแล้วน่าจะราวสิบสามสิบสี่ หากแววตาลุกโชนทรงอำนาจอย่างน่าประหลาด เสวียนจีถึงกับไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ มองแวบหนึ่งก็ย่อมรีบก้มหน้าลง เหลือบไปมองชุดของเขา พลันเห็นแขนเสื้อมือซ้ายว่างเปล่า ชายหนุ่มหน้าตาดีอายุน้อยเช่นนี้ถึงกับไม่มีมือซ้าย
พอมกรเห็นเขา สีหน้าก็ซีดขาว นิ่งอึ้งไปเป็นนานก่อนจะคุกเข่าลงโขกศีรษะ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คารวะไป๋ตี้”
อู๋จือฉียังดี พอเห็นเขาคารวะไป๋ตี้ก็ตกใจ ดังนั้นเขาจึงประสานมือคำนับตาม แต่เสวียนจีกลับตกใจจนกรามแทบหลุด นางคิดหัวแทบแตกก็คิดไม่ถึงว่าไป๋ตี้จะเป็นหนุ่มน้อยเช่นนี้ นางจ้องมองเขาเขม็ง ไม่รู้ว่าควรกล่าวอันใดดี
ไป๋ตี้ไม่สนใจท่าทางสติหลุดลอยของนาง เพียงยิ้มเล็กน้อยราวกับสายลมวสันต์พัดผ่าน กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว เรายินดียิ่งนัก”
มกรเห็นเสวียนจีอึ้งไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ร้อนใจผลักขานางทีหนึ่ง เสวียนจีราวเพิ่งตื่นจากฝัน รีบพยักหน้ากล่าวว่า “สะ…สวัสดี!”
นี่มันธรรมเนียมบ้าอะไรของเจ้า! มกรร้อนใจแทบกระอักเลือด กลัวว่าไป๋ตี้จะโมโห โยนพวกเขาออกไปอีก
ไป๋ตี้กลับไม่ถือสา กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เรื่องชาติเก่าก่อน ท่านแม่ทัพยังจำได้ไหม”
เขาหมายถึงเรื่องชาติเก่าก่อนอันไหนกัน เสวียนจีงุนงง พยักหน้าสับสน แล้วก็ส่ายหน้าอีก สุดท้ายจึงได้กล่าวว่า “บางเรื่องจำได้ บางเรื่อง…จำไม่ได้”
ไป๋ตี้พยักหน้าเล็กน้อย ไม่ถามต่อ มองไปทางอู๋จือฉี ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ได้พบกันพันปี อู๋จือฉีก็เปลี่ยนไปไม่น้อย อ่อนโยนขึ้นมาก”
พออู๋จือฉีได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลก็ขนลุกชัน รีบหัวเราะกลบเกลื่อน “ไป๋ตี้ ท่านอย่าได้กล่าววาจาอ้อมค้อม วานรเช่นข้าไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่เข้าใจวาจาภาษากวีเช่นพวกท่าน มีวาจาใดก็กล่าวออกมาตรงๆ จะฆ่าก็ฆ่า ข้าฟังท่านก็แล้วกัน!”
ไป๋ตี้อมยิ้มกล่าวว่า “ยังขี้ระแวงเหมือนเดิม แต่เจ้าเริ่มพูดจาน่าฟังเป็นแล้ว ให้พวกเราฆ่าได้ตามใจ นี่เป็นวาจาจากใจหรือ”
อู๋จือฉีโบกมือกล่าวว่า “ช้าก่อน! ข้าพูดไว้ก่อนเลยนะ พวกเรามาครั้งนี้มาพูดเหตุผล เดิมก็ไม่คิดลงมือ จอมเวทพวกนั้น…ฆ่าสหายสนิทข้า ข้าแก้แค้นให้นาง ข้าสังหารเองคนเดียว ไม่เกี่ยวกับนังหนูและเจ้าหนุ่มนั่นแม้แต่น้อย พวกเจ้าหากอยากจะอวดเบ่งบารมีแดนสวรรค์ก็มาลงที่ข้าคนเดียวก็พอ อย่าได้จับตัวสามีของแม่นางน้อยนี่ไป อย่าใช้อุบายต่ำช้า”
บรรดาเทพเซียนข้างๆ ต่างตวาดดังหยุดวาจาเขาไว้ ล้วนคิดว่าวันเวลาผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว เขายังคงบ้าคลั่งไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ต่อหน้าไป๋ตี้ยังกล้ากล่าววาจาเหลวไหล อู๋จือฉีค้อนขวับ กล่าวว่า “ทำไม ข้าพูดอะไรผิด?”
ไป๋ตี้ยิ้มกล่าวว่า “เรื่องไหนก็เรื่องนั้น อย่าเอามารวมกัน เจ้าทำลายล้างที่พำนักจอมเวทราบคาบ และยังขโมยเทพศาสตรา หนีโทษจากแดนปรภพ จะสังหารเจ้านั้นแสนง่ายดาย จอมเวทพลั้งมือทำปีศาจจิ้งจอกตายก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่หากไล่ตามเหตุไปแล้ว ก็ยังคงเป็นเพราะพวกเจ้าบุกรุกเขาคุนหลุนก่อน”
อู๋จือฉีถลึงตาใส่ กล่าวว่า “แดนสวรรค์วางอำนาจแท้! บอกกำหนดโทษก็กำหนดโทษ แม้แต่โอกาสอธิบายก็ไม่ให้ หรือว่าต้องถูกพวกท่านจับไปขังเฉยๆ? นี่เรียกหลักการเหตุผลอะไรกัน!”
ไป๋ตี้เป็นผู้ได้รับการอบรมมาดีจริง สีหน้าไม่โมโหแม้แต่น้อย ยังคงกล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่วิธีการอธิบายมีมากมาย พวกเจ้ากลับเลือกวิธีที่เขลาที่สุด ทว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีอะไรต้องกล่าวอีกแล้ว” เขามองไปยังเสวียนจี ก้มกายลงกล่าวว่า “ราชันสวรรค์รออยู่ตำหนักข้าง เชิญท่านแม่ทัพตามเราไป”
เสวียนจี “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง จะก้าวตามเขาไป พลันเห็นมกรกับอู๋จือฉียังอยู่ที่เดิม นางก็หยุดชะงักทันที กล่าวว่า “เดี๋ยว…ช้าก่อน ข้าอยากอยู่กับสหาย ไม่ได้หรือ”
ไป๋ตี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบโดยไม่หันหน้ามาว่า “ราชันสวรรค์ต้องการพบเพียงท่านแม่ทัพคนเดียว ทั้งสองคนนั้นเป็นกบฏแล้ว จะถูกจับเข้าคุกสวรรค์ในทันทีนี้”
อะไรนะ?! ทั้งสามต่างตกใจยิ่ง เทพเซียนที่ยืนอยู่สองข้างพากันกรูเข้ามาล้อมทั้งสองไว้ตรงกลาง มกรร้องดังขึ้นว่า “ไป๋ตี้! นี่อะไรกัน!” ไป๋ตี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เราให้โอกาสเจ้าแล้ว ไม่คว้าไว้เอง จะโทษผู้ใด” มกรใบ้กินทันที แขนเสื้อกว้างของไป๋ตี้สะบัดเบาๆ “จับไว้!”
ครืน บรรดาเทพเซียนพากันชักอาวุธออกมา มุ่งตรงไปยังสองคนตรงกลางอย่างแม่นยำ หากพวกเขาเคลื่อนไหวก็จะฟันให้ตายตรงนี้ทันที เนื่องจากเหตุเกิดอย่างกะทันหัน แม้แต่อู๋จือฉีก็ไม่คิดว่าพอบอกว่าลงมือก็ลงมือ พลันตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่ค้างเติ่งนิ่งอยู่กับที่ อาวุธกดร่างทั้งสองไว้ แม้ว่ามกรเก่งกาจกล้าหาญ อู๋จือฉีดุดันว่องไว ก็ถูกกดลงคุกเข่ากับพื้นในทันที
อู๋จือฉีกระชับขอสมุทรเช่อไห่ไว้มั่น ระวังไม่ให้ถูกพวกเขากดลงแนบพื้น โดนเข้าก็คงย่ำแย่แน่ เขายิ้มกล่าวว่า “ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้! สองครั้งติดๆ กันที่ข้าคิดคืนสิ่งนี้ให้พวกเจ้า พวกเจ้าก็มาลงมือก่อน เยี่ยม! เยี่ยม!”
เสือขาวใช้ทวนกากบาท[1] นางใช้แรงมากที่สุด ทีเดียวก็ฟาดอู๋จือฉีลงพื้น แทงทวนใส่ไหล่เขาจมลงไปคาไว้ลึกมาก กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “สังหารเจ้าแล้วค่อยเอาคืนก็ได้!”
เสวียนจีไหนเลยจะมัวมาสนใจเข้าเฝ้าราชันสวรรค์ หันหลังวิ่งกลับไป ร้อนใจกล่าวว่า “อย่าลงมือ!…จะเป็นกบฏ ทุกคนก็เป็นด้วยกัน! ข้าไม่ไปเฝ้าราชันสวรรค์อะไรนั่นแล้ว!” นางชักกระบี่เปิงอวี้ออกมา กระโดดเข้าร่วมวงทันที กระบี่เข้าปัดทวนกากบาทของเสือขาวออก ได้ยินเสียง เคร้ง ดัง ทวนกากบาทหักสะบั้น กระบี่เปิงอวี้ก็คือกระบี่ติ้งคุน คมยิ่งกว่าคม ทีเดียวก็ฟันทวนกากบาทหักสะบั้นลง
เสือขาวอดตกใจไม่ได้ พอไหล่อู๋จือฉีได้รับการปลดปล่อยจากทวนนั้นก็มีแรงขึ้นมาทันที ยันตัวลุกขึ้นยืน เทพดาวจิตรา[2]ร้อนใจตะโกนดังว่า “สกัดเขาไว้! รีบสกัดเขาไว้เร็วเข้า!” กล่าวจบก็ยกดาบในมือปรี่เข้าหาอู๋จือฉี บรรดาขุนพลเทพต่างพากันลงมือ จากนั้นก็เริ่มชุลมุนวุ่นวายไปหมด พวกเสวียนจีสามคนไปยืนรวมกัน พริบตาทั้งหมดก็ถูกรุมราวกับรังผึ้ง หงส์แดงจูเชวี่ยร้องดังขึ้นว่า “ช้าก่อน! หยุดมือ! อย่าทำร้ายท่านแม่ทัพ!”
จากนั้นก็ชักกระบี่ออกไป ไหนเลยบอกว่าให้หยุดก็หยุดได้ นับประสาอันใดกับคนมากมายที่ทั้งหวาดเกรงและโกรธแค้นอู๋จือฉี กับแม่ทัพเทพสงครามก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไร ผู้ใดจะสนใจนางว่าจะเป็นหรือตาย จึงไม่มีใครยอมรามือ อู๋จือฉีมองอาวุธรอบกายพลันหัวเราะเยียบเย็น ขอสมุทรเช่อไห่ราวกับสื่อกับใจเขาเป็นหนึ่ง วาดรัศมีกลางท้องฟ้า ทุกคนรู้สึกเพียงแค่เบื้องหน้าสว่างวาบ ข้างหูได้ยินเสียงเคร้งๆ ดังหลายที ในมืออยู่ๆ พลันเบาหวิว อาวุธทุกคนถูกเขาฟันหักหมด
อู๋จือฉีกระโดดขึ้นกลางท้องฟ้าทันที ขาข้างหนึ่งเตะเทพองค์หนึ่งล้มลงกุมลำคอหมอบกับพื้นลุกไม่ขึ้นอีกเลย บรรดาเทพเซียนเห็นว่าเอาเขาไว้ไม่อยู่ รู้ว่าคนผู้นี้หากปล่อยไปก็เหมือนกับปล่อยเสือร้ายออกจากกรง เจอผู้ใดก็กัดผู้นั้น ยามนั้นได้แต่กลัวถูกเขาฟัน กระโดดกระจายตัวกันหนีจ้าละหวั่นอู๋จือฉีวาดขอสมุทรเช่อไห่เป็นวงรัศมีเล็งไปที่จมูกหงส์แดงจูเชวี่ย มกรรีบร้อนตะโกนขึ้นว่า “ไม่ได้นะ!”
หงส์แดงจูเชวี่ยรู้สึกเพียงแค่ลมพัดวูบมา ในใจอยู่ๆ เย็นวาบ ไหนเลยจะหลบทัน ได้แต่หลับตารอความตาย ผู้ใดจะรู้ว่าขอสมุทรเช่อไห่แค่วาดมาทางจมูกเขาไปห่างแค่สามนิ้วก็หยุดลง เขาสงสัยมองจ้องอู๋จือฉี ก็เห็นวานรบังอาจแสยะยิ้ม ค่อยๆ กล่าวเนิบนาบว่า “ไม่ลืมตามอง คู่ควรให้ข้าลงมือ?”
ทุกคนทั้งตกใจทั้งโมโห แต่กลับไร้วาจาจะกล่าว อู๋จือฉีกระชับขอสมุทรเช่อไห่ในมือเล่นไปมา กล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “นังหนู เจ้าตามไป๋ตี้ไป ไม่ต้องเป็นห่วง”
เสวียนจีท่าทางลำบากใจ หันกลับไปมองมกรแวบหนึ่ง เขาก็พยักหน้า กล่าวว่า “เจ้ารีบไปสิ! จะมาพูดจาเหลวไหลอะไรอีก! ไม่ตายง่ายๆ อย่างนั้นหรอก!”
นางได้แต่พยักหน้า กล่าวว่า “ไม่ว่าสุดท้ายผลเป็นเช่นไร ทุกคนร่วมเป็นร่วมตาย!” กล่าวจบก็สะบัดหน้าวิ่งตามไป๋ตี้ไปยังตำหนักข้าง
อู๋จือฉีเห็นนางวิ่งไปไกล ก็หันกลับมองบรรดาเทพเซียนที่มีสีหน้าย่ำแย่ หัวเราะร่ากล่าวว่า “เอาอย่างไร จะเล่นกับพวกเราต่อไหม”
ทุกคนล้วนหวั่นเกรงขอสมุทรเช่อไห่ในมือเขา ผู้ใดก็ไม่กล่าวอันใด เสือขาวกล่าวน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้าก็อาศัยแค่เทพศาสตราร้ายกาจในมือ! ข้าไม่เชื่อ หากเจ้าไม่มีมันแล้วจะสู้กับพวกเราได้!”
อู๋จือฉียกขอสมุทรเช่อไห่วาดรัศมีวงหนึ่งเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “พี่เสือขาวกล่าวได้มีเหตุผล ตกลง ข้าเก็บขอนี่ก็ได้!” ขณะที่พูด เขาถึงกับทำท่าจะยัดขอสมุทรเช่อไห่กลับเข้าใต้วงแขน ทุกคนล้วนดีใจ อู๋จือฉีที่ไร้ขอสมุทรเช่อไห่ก็แค่มารปีศาจร้ายกาจสักหน่อยเท่านั้น ใช่ว่าพวกเขาจะเอาชนะไม่ได้
เสือขาวมองมกรแวบหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าตัดสินใจจะเป็นปรปักษ์กับพวกเราที่เคยเป็นสหายกันมาให้ถึงที่สุดหรือ”
สีหน้ามกรย่ำแย่ เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ข้าเป็นกบฏหรือไม่ บัญชีนี้อย่างน้อยก็ต้องสู้คดีก่อน!”
เสือขาวพยักหน้ากล่าวว่า “เยี่ยม เยี่ยมมาก!” คำว่าเยี่ยมยังกล่าวไม่จบ ทวนกากบาทที่หักท่อนนั้นก็ไปถึงหน้ามกร เขารู้สึกเย็นวาบเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าผงะไปด้านหลัง พลันได้ยินเสียงลมดังขึ้นที่ข้างหู เป็นเทพอู่ฉวี่ซิงจวิน[3] ฟันทวนขวานใส่ สองฝ่ายปะทะกัน มกรแอบสบถด่าในใจ มือขวายันพื้นกระโดดตีลังกา ผู้ใดจะรู้ว่าเทพดาวปุนัพสุ[4] เทพดาววิสาขะ[5] ก็รุมเข้ามาอีก แม้เขากล้าหาญต่อสู้ แต่ยากจะรับมือคู่ต่อสู้มากมายเช่นนี้ ประกันดาบหนึ่งก็รีบสยายปีกเพลิงออก
บรรดาเทพเซียนต่างรู้ความร้ายกาจของปีกเพลิงมกร ไม่กล้าเข้าปะทะตรงๆ พากันกระจายตัวออก ปล่อยให้เขากระพือปีกเพลิงวาดวงรอบหนึ่ง ทันใดนั้นพื้นก็ไหม้ดำไปแถบหนึ่ง คมดาบเทพดาววิสาขะจะแทงลงบนหลังเขาแล้ว เทพดาววิสาขะหลบไม่ทันแล้ว ถูกปีกเพลิงกระพือใส่ เผาผมไหม้ไปครึ่ง ผิวหน้าก็ไหม้เกรียม เจ็บปวดจนต้องส่งเสียงร้องดัง
ในฉับพลันนั้น ทุกคนไม่รู้จะทำอย่างไรกับปีกเพลิงเขา ในตอนนี้มกรครองความได้เปรียบอยู่ที่นี่ นอกจากมีคนปล่อยอัคคีสวรรค์เก้าชั้นได้ ไม่เช่นนั้นก็มีแต่ถูกเขาเผาเท่านั้น เทพดาวจิตรากุมลำคอตะกายขึ้นจากพื้น คำรามเสียงเจ็บปวดว่า “ไปตามเทพมังกรอิงหลงมา!”
พอมกรได้ยินชื่อเทพมังกรอิงหลงก็สีหน้าแปรเปลี่ยน น้ำดับไฟได้ เขาปล่อยไฟยิ่งใหญ่ออกไป เจอน้ำเข้าก็คงเหลือแค่กระจิบจ้อย เห็นเทพดาวปุนัพสุจะหนีออกไปตามเทพมังกรอิงหลง เขารีบจะคว้าไว้ หากคว้าได้แต่ลม พลันเห็นแสงเงินวาบ ไม่รู้อู๋จือฉีไล่ตามออกไปตอนไหน ขอสมุทรเช่อไห่เกี่ยวเทพดาวปุนัพสุกลับมา
เสือขาวร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้เก็บขอสมุทรเช่อไห่ไปแล้วหรือ?! เจ้าพูดจากลับกลอก!”
อู๋จือฉียิ้มร่าถือขอสมุทรเช่อไห่พลางแคะขี้มูกมองนาง กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าบอกว่าเก็บก็เก็บ? เช่นนั้นข้าบอกว่าเป็นราชันสวรรค์ ผู้ใดให้ข้าเป็น? พี่เสือขาว เป็นคนก็อย่างได้ซื่อตรงไปนักเลย! อ้อ ใช่แล้ว ข้าจำได้ พวกเจ้าไม่ใช่คน เป็นเทพเซียนตัวจริง…”
[1] อาวุธทวนประเภทหนึ่ง ลักษณะเหมือนทวนสองอันเอามาไขว้กันเป็นกากบาท มีปลายคมสี่มุม
[2] หรือเทพดาวเจี่ยว แปลว่าเขาสัตว์ หนึ่งใน 28 ดาวนักษัตรจีน
[3] เทพอู่ฉวี่ซิงจวิน เป็นเทพเจ้าปกป้องนักษัตรปีมะเส็งและมะแม
[4] หรือเทพดาวจิ่ง แปลว่าบ่อน้ำ หนึ่งใน 28 ดาวนักษัตรจีน
[5] หรือเทพดาวตี่ แปลว่ารากไม้ หนึ่งใน 28 ดาวนักษัตรจีน