ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 2 ไคหมิง (1)
แม่น้ำชื่อสุ่ยคือแม่น้ำสายเดียวที่ไปถึงประตูไคหมิงแห่งเขาคุนหลุน ตำนานว่าเขาคุนหลุนสูงแปดพันจั้ง บนนั้นมีตำหนักราชันสวรรค์ในโลกมนุษย์ มีบรรดาเทพคอยเฝ้าดูแลตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ตำหนักมีประตูเก้าบาน ทางตะวันออกหันไปทางดวงอาทิตย์ก็คือประตูไคหมิง หน้าประตูมีสิงห์ไคหมิงเก้าเศียรเฝ้าประตู ยังมีผาสูงชัน คนปกติไม่อาจปีนขึ้นมาได้เด็ดขาด
ยามนี้ทุกคนกำลังยืนอยู่บนแพลำใหญ่ ล่องไปตามแม่น้ำชื่อสุ่ย เสวียนจีมองออกไปไกล ล้วนมีแต่น้ำ แม่น้ำชื่อสุ่ยสายนี้ไม่รู้ยาวเท่าไร พวกเขาล่องตามน้ำมาทั้งวันยังไม่ถึงต้นน้ำ แม้แต่เงาเขาคุนหลุนก็ไม่เห็น ทิวทัศน์สองฝั่งค่อยๆ เริ่มไร้บ้านเรือนผู้คน มีแต่ป่าลึกผืนกว้างและสายน้ำลำธาร ยามคนเรายืนอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ก็ถึงกับไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วทิวทัศน์นั้นราวภาพวาด หรือว่าตนเองยืนอยู่ในภาพวาดกันแน่
แน่นอนนั่งแพไม้ล่องตามน้ำเป็นความคิดของหลิ่วอี้ฮวน เดิมพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนย่อมไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเช่นนี้ มนุษย์ธรรมดาอยากไปแดนศักดิ์สิทธิ์ เหินกระบี่ไปจนตายก็ไม่ถึง ต้องให้เดินย่ำไปด้วยเท้าทีละก้าว นี่น่าจะเพราะเทพเซียนตั้งกฎให้กับมนุษย์ธรรมดา ระหว่างเทพและมนุษย์ ล้วนมีแม่น้ำกางกั้นที่ไม่อาจก้าวข้ามถึงกันได้ตลอดไป
จิ้งจอกม่วงอยู่เฉยๆ ก็เบื่อ รบเร้าให้อู๋จือฉีเล่านิทาน ที่นี่คนที่มีอายุมากที่สุดก็คือเขา โบราณมีเรื่องแปลกอันใด เขาต้องรู้
อู๋จือฉีจึงยิ้มกล่าวว่า “อืม เช่นนั้นก็เล่าเรื่องตำนานโบราณเรื่องหนึ่งแล้วกัน ข้าเองจำไม่ค่อยได้เท่าไร ตำนานว่าแดนสวรรค์กับแดนอสุรามีปัญหาขัดแย้งกันตลอด พวกอสูรล้วนเป็นพวกกล้าหาญชาญชัย แดนสวรรค์ล้วนเป็นพวกเซียนอ่อนแอ ไหนเลยสู้พวกเขาได้! ดังนั้นก็แพ้มาตลอด สุดท้ายแดนสวรรค์คิดอุบายจับมหาอสูรมารร้ายกาจได้ตนหนึ่ง”
เขาอยู่ๆ หยุดไม่พูด เพียงแค่ยิ้มถาม “พวกเจ้าเดาว่าต่อมาเกิดอะไรขึ้น”
ทุกคนอึ้งส่ายหน้า จิ้งจอกม่วงลองถาม “ฆ่าเขา?”
อู๋จือฉีหัวเราะดังลั่น ส่ายหน้า
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “หากเป็นข้า ฝ่ายข้าไม่มีเทพสวรรค์ที่กล้าหาญชาญศึก ก็ย่อมเกลี้ยกล่อมเขามาทำงานให้ฝ่ายข้า แดนสวรรค์ไม่ได้ลงทัณฑ์มหาอสูรมารนั่น กลับเก็บเขาไว้ใช้งาน?”
อู๋จือฉีไม่ค่อยได้มีท่าทีเลื่อมใสใครเช่นนี้ ยามนี้ยกนิ้วให้เขา “เยี่ยมมาก เจ้าหนุ่ม! ข้ายอมให้เจ้าเลย! สมองเจ้านี้ทำจากผลึกแก้วหรือ ทำไมไม่ว่าเรื่องอะไรก็คาดเดาได้ตรงเผงไปหมด”
“แดนสวรรค์เกลี้ยกล่อมมหาอสูรมารผู้นั้นจริง น่าเสียดายเขาไม่ยอมปะทะกับสหายเก่าที่เคยคบหากันมา ราชันสวรรค์เห็นแก่ความสามารถการรบของเขา ตัดใจตำหนิไม่ลง ได้แต่ดูแลเขาไว้อย่างดีในแดนสวรรค์ มีสุราอาหารอย่างดี ต่อมา…”
“ต่อมาทำไม?” ทุกคนรีบถาม
อู๋จือฉียักไหล่ เบ้ปากกล่าวว่า “ไม่มีต่อมา มหาอสูรมารอยู่ๆ ก็หายตัวไป ไม่มีใครเอ่ยถึงเขาอีก มีคนเดาว่าเขายังคิดถึงแดนอสุรา ดังนั้นจึงแอบกลับไป ความจริงเป็นเช่นไร ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้”
“เชอะ!” ทุกคนพากันสบถ มีใครเขาเล่านิทานกันเช่นนี้! ความองอาจเช่นมารปีศาจหายไปหมดสิ้น
แพไม้ไผ่ค่อยๆ ล่องตามน้ำไป ผืนน้ำเริ่มกว้างขึ้น น้ำเริ่มไหลแรง แพไม้ไผ่แล่นพุ่งไปด้านหน้าราวกับบินทะยาน ป่าเขียวขจีมรกตสองฝั่งราวกับสุดทางแล้ว เบื้องหน้าเป็นโค้งแม่น้ำ เลี้ยวไปก็เป็นพื้นที่เปิดกว้างเห็นสองฝั่งมีแต่เขาหินผาชะโงกสูงชันเสียดเมฆ ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ ว่าเขาหินผาใหญ่เพียงนี้เกิดโดยธรรมชาติรังสรรค์ พวกดูเหมือนกับเป็นองครักษ์สองฝั่ง เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ หากไม่ใช่ธรรมชาติรังสรรค์แล้วจะเป็นผู้ใดสรรค์สร้างเช่นนี้ขึ้นมาได้ ผู้ใดรังสรรค์ภาพทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้ได้
ที่น่าแปลกที่สุดก็ไม่ใช่เขาหินผาใหญ่เรียงตัวเป็นระเบียบตรงหน้า หากเป็นสีของภูเขาที่ออกสีแดงอ่อนๆ ราวกับอาบด้วยแสงสายัณห์บางๆ ยิ่งคล้อยไปด้านหลังก็ยิ่งแดงเข้ม ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงราวสีเลือด
“ที่นี่ผิดปกติ” อวี่ซือเฟิ่งอยู่ๆ เอ่ยขึ้น “พอเลี้ยวมา ข้าไม่ได้ยินเสียงนกร้องอะไรอีก แม่น้ำก็ไม่มีปลา ฟังสิ…นอกจากเสียงน้ำก็ไม่มีเสียงอะไรเลย”
อู๋จือฉีหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ข้ายอมเจ้าจริงๆ เลย เรื่องประหลาดอะไรไม่อาจรอดสายตาเจ้าไปได้สักอย่าง ถูกต้อง เพราะใกล้จะเข้าสู่เขตแดนเทพแล้ว ทิวทัศน์รอบๆ ก็ย่อมไม่เหมือนเมื่อครู่ นกเอย ปลาเอย ล้วนเป็นสัตว์ในแดนมนุษย์ จะกล้ามาอาศัยที่นี่ได้อย่างไร”
เสวียนจีได้ยินว่าใกล้ถึงเขาคุนหลุนแล้ว ก็อดลุกขึ้นยืนมองไปด้านหน้าแพไม่ได้ มองออกไปไกลสุดสายตา สองฝั่งมีเขาหินสีแดงเพลิง พอแล่นผ่านไป นอกจากเสียงน้ำไหลแรงแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกแม้แต่น้อย ความเงียบนี้ดูเคร่งขรึมมาก ความเงียบที่มีมาแต่โบราณไม่เคยเปลี่ยน เทพสวรรค์แอบมองลงมาเบื้องล่าง อาจสงสาร อาจอิจฉา อาจไร้ความรู้สึก
พื้นที่ฟ้าดินตรงนี้เพียงพอจะทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้แล้ว เสวียนจีเม้มปาก ทุกคนล้วนเหมือนกับนาง ณ ที่แห่งนี้ ทุกคนล้วนไม่อยากพูดอะไรในเวลาฉับพลันนี้ และไม่กล้าพูดอะไร
แม่น้ำสีครามก่อนหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงหม่น เส้นทางน้ำเลี้ยวลดคดเคี้ยว เต็มไปด้วยสีแดงดังสีเลือด ราวกับเส้นเลือดใหญ่สายหนึ่ง
ท่ามกลางความเงียบสงัด อยู่ๆ อู๋จือฉีก็กระเด้งตัวขึ้นมา สองมือป้องปากตะโกนดังราวกับเด็กน้อย ทุกคนล้วนถลึงตาจ้องมองตกใจกับการกระทำของเขา เขาหัวเราะเบาๆ ลูบศีรษะเขินอายเล็กน้อย “ข้าทนกับสภาพเงียบกริบราวกับคนตายเช่นนี้ไม่ไหว ร้องตะโกนสักหน่อย รู้สึกสบายขึ้นมาก”
กล่าวจบก็เริ่มตะโกนดังอีก ตอนแรกยังแค่ร้องตะโกนเปล่งเสียงธรรมดาไม่มีอะไร ต่อมาเสียงเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเสียงมังกรคำรามหงส์ส่งเสียงแผดร้อง เสียงสะท้อนกลับจากหน้าผาที่มีสีแดงดังสีเลือด ราวกับเสียงร้องเพลง ยังราวกับเสียงโห่ร้องยินดี เสวียนจีเองก็อดป้องปากตะโกนตามไม่ได้ ตามมาด้วยจิ้งจอกม่วง หลิ่วอี้ฮวน สุดท้ายแม้แต่อวี่ซือเฟิ่งที่นิ่งสุขุมที่สุดก็เริ่มทำตาม เด็กโง่ห้าคนยืนบนแพไม้ไผ่ตะโกนดังพลางกระโดดโลดเต้นราวกับเสียสติ
อู๋จือฉีตะโกนได้พักหนึ่งก็เสียงดังขึ้นว่า “ราชันสวรรค์! ท่านรอก่อน! ข้ามาขอชาท่านดื่มแล้ว!”
เสียงสะท้อนกลับจากสองฝั่ง ดื่มแล้ว ดื่มแล้ว เขากล้าเห็นเขาคุนหลุนเป็นที่ดื่มชา เสียงสะท้อนยังคงกึกก้องไม่หยุด พลันได้ยินเสียงเย็นเยียบของชายชรากล่าวว่า “ปีศาจที่ไหนกล้ายังอาจบุกรุกเขาคุนหลุน!”
ทุกคนเดินทางมายังไม่เห็นแม้เงาคน ยามนี้พลันได้ยินเสียงคนก็รีบหันกลับไป เห็นมีคนชุดสีน้ำเงินยืนอยู่ที่ริมฝั่งไกลออกไป ร่างเขาเล็กแค่เมล็ดงา น้ำเสียงเขาถึงกับส่งมาได้ไกลเพียงนี้ น่าชื่นชมจริงๆ
อู๋จือฉีเห็นแพไม้ไผ่แล่นเร็วขึ้นมาก คาดว่าเขาน่าจะตามไม่ทัน จึงหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “บังอาจหรือ เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามา น้ำชาราชันสวรรค์อร่อยไหม”
คนผู้นั้นแค่นเสียงเยียบเย็นไม่กล่าวอันใด กลับเหยียบขึ้นมาบนแม่น้ำชื่อสุ่ย ค่อยๆ ก้าวย่างมา ทุกคนเห็นเขาก้าวเดินไม่มั่นคง ก้าวเดินโงนเงนเผยท่าทางแก่ชรา ก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ จิ้งจอกม่วงรีบตะโกนดังขึ้นว่า “ท่านผู้เฒ่า! เขาแค่ล้อท่านเล่นเท่านั้น ท่านอย่าได้ใส่ใจ! น้ำในแม่น้ำไหลแรงมาก ท่านอย่ามา! จะเกิดเหตุได้!”
คนผู้นั้นเหมือนไม่ได้ยิน สองเท้าเหยียบย่ำลงบนผืนน้ำ ไม่จมลงแม้แต่น้อย เดินมุ่งมายังแพไม้ไผ่นิ่งๆ ทุกคนมองเขาเดินบนแม่น้ำได้อย่างมั่นคงเช่นนี้ ถึงกับราวกับเดินบนพื้นราบ ต่างก็ตกใจ จริงๆ แล้วเขาเดินมาก็ไม่เร็วสักนิด ก้าวเดินโงนเงน ดูเหมือนไม่ค่อยมั่นคงอยู่สักหน่อย แต่ไม่รู้ทำไม จึงยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ร่างเท่าเมล็ดงาเมื่อครู่เริ่มมีขนาดเท่ากับลูกหลีแล้ว
อู๋จือฉีสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ได้การ! เป็นจอมเวท! มารดามันสิ พวกเขาไม่ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในเขาหรือ ทำไมวันนี้แล่นมาถึงที่นี่ได้!”
ขณะที่พูด คนผู้นั้นก็เดินใกล้เข้ามามากแล้ว เริ่มเห็นร่างชัด ร่างในชุดน้ำเงินมาอย่างพลิ้วแผ่ว เคราใต้คางยาวได้ราวหนึ่งฉื่อกว่า ผมขาวโพลนปัดไปไว้ด้านหลังศีรษะอย่างเรียบร้อย ในมือยังมีไม้เท้าเหล็กสีดำ ที่น่าแปลกที่สุดก็คือ ไม้เท้านั้นค้ำยันบนพื้นน้ำ ถึงกับไม่จมลงไป
อู๋จือฉีกับหลิ่วอี้ฮวนคว้าไม้พาย พากันรีบพายจ้ำเอาๆ พวกเขาเดิมอยู่ต้นน้ำ ยามนี้พายยิ่งเร็ว ไม่กี่ทีก็ทิ้งคนผู้นั้นไว้ด้านหลัง คนผู้นั้นเร่งตามมาอีกสองสามก้าวก็หยุดไม่ขยับ กล่าวเสียงเยียบเย็นว่า “ข้านึกออกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร! อู๋จือฉี เจ้าช่างบังอาจเหิมเกริม! ถึงกับกล้าหนีออกจากแดนปรภพ!”
อู๋จือฉีแสยะยิ้ม กล่าวว่า “ต้องขอโทษจริงๆ นายท่าน ข้านึกไม่ออกว่าเลยว่าท่านคือผู้ใด! เกรงใจจัง ท่านอายุมากขนาดนี้ยังต้องมาจดจำข้าเช่นนี้”
คนผู้นั้นไม่กล่าวอันใด เพียงยกไม้เท้าเหล็กสีดำในมือขึ้นโยน เสียง ตูม ดัง หลิ่วอี้ฮวนกล่าวอย่างแปลกใจว่า “แย่แล้ว นายท่านโมโหแล้ว โยนไม้เท้าทิ้งแล้ว! อู๋จือฉี เจ้าไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่หรือ?!”
อู๋จือฉีก็ไม่กล่าวอันใด เอาแต่พายจ้ำเอาๆ แพไม้ไผ่ราวกับแทบจะบินได้ แล่นไปข้างหน้ารวดเร็ว เบื้องหน้ามีโค้งแม่น้ำที่อันตรายอีกแล้ว น่าแปลกที่เขาหินสองข้างถึงกับมียอดประสานกัน มองดูเหมือนเป็นประตูโค้งขนาดใหญ่ สีของหินผาก็ไม่ใช่สีแดงราวสีเลือดอีกแล้ว แต่เป็นแสงสีทองระยิบระยับ ในความสว่างขาวมีสีทองแซม
อู๋จือฉีหันกลับไปมอง เห็นนายท่านนั้นกลายเป็นร่างเท่าเมล็ดงาอีกแล้ว เขาก้าวมาอย่างช้าๆ ด้วยเท้าเดียว อู๋จือฉีตะโกนเรียกดัง “ข้านึกออกแล้ว! เขาก็คืออูหลี่ว์! หนึ่งในสิบจอมเวท! เร็ว! รีบไปเร็ว! ผ่านประตูมังกรเขาก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว!”
วาจาไม่ทันจบ ก็เห็นท่านอูหลี่ว์ยกเท้าอีกข้างกระทืบลงไปเต็มแรง แม่น้ำชื่อสุ่ยอยู่ๆ พลันกลายเป็นน้ำเดือดพล่านปุดๆ ขึ้นมาทันที คลื่นสีแดงสูงตีม้วนไล่มาทางด้านหลัง เสียงดังม้วนตัวมาสนั่นหวั่นไหว แพไม้ไผ่ยามเจอคลื่นยักษ์ก็เป็นได้แค่ใบไม้เล็กๆ ไร้ประโยชน์ อยู่ๆ ถูกน้ำดันขึ้นไปสูงสุด
ทั้งห้ารีบคว้าแพไว้แน่น ลองพยายามบังคับให้นิ่งท่ามกลางคลื่นยักษ์ ผู้ใดจะรู้ว่าคลื่นยักษ์ดังสนั่นอีกครา ถึงกับแยกออก! แพไม้ไผ่ร่วงหล่นลงไปกลางร่องน้ำ ยามนี้แม้เสวียนจีกับอู๋จือฉีมีความสามารถพันหมื่นก็ไม่อาจทำอะไรได้ ได้แต่ร่วงลงไปในแม่น้ำชื่อสุ่ยแต่โดยดี คลื่นยักษ์ที่แยกตัวออกหุบเข้าหากันอีกครั้ง ตีกระหน่ำพวกเขาให้จมลึกสู่ใต้ผืนน้ำ
เสวียนจีพยายามใช้ทั้งมือและเท้าแหวกว่ายอยู่ใต้ผืนน้ำ ทว่ากระแสน้ำแรงมาก กระแสน้ำวนใหญ่น้อยวนรอบอย่างบ้าคลั่ง นางถูกกระแสน้ำวนดูดลงจนไม่อาจขึ้นสู่ผิวน้ำ สีน้ำในแม่น้ำเข้มหม่น น้ำสกปรกมาก ข้างๆ เหมือนมีเงาดำว่ายมา กระชากแขนนางไว้เต็มแรง กระชากนางออกจากกระแสน้ำวนนั่น เสวียนจีใช้มือและเท้าแหวกว่ายจนลอยตัวขึ้นผิวน้ำได้ในที่สุด
น้ำในแม่น้ำราวกับเดือดปุด ยังคงม้วนตัวไม่หยุด เสวียนจีมองไปรอบๆ เห็นอวี่ซือเฟิ่งอยู่ไม่ห่างจากนาง เขากวักมือเรียกนาง เมื่อครู่เป็นเขาช่วยนางไว้ดังคาด เสวียนจีรีบว่ายไปหาเขา ยามนี้อู๋จือฉีก็คว้าตัวหลิ่วอี้ฮวนกับจิ้งจอกม่วงทั้งสองลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ ทั้งห้าเปียกปอนไปหมด สภาพมะล่อกมะแล่กดูไม่ได้อย่างที่สุด
หันกลับไปมองดูแพไม้ไผ่ที่ถูกคลื่นยักษ์ซัดพังกระจัดกระจายอยู่บนผิวน้ำ ถูกกระแสน้ำวนกลืนลงสู่ท้องน้ำอย่างรวดเร็ว ทั้งห้าคว้าก้อนหินริมฝั่งไว้แน่น ป้องกันไม่ให้ถูกกระแสน้ำดึงลงไป อู๋จือฉีปาดน้ำบนใบหน้าออก ยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “นายท่านผู้นี้ มอบของกำนัลยามพบกันได้ชิ้นใหญ่ยิ่ง!”
หลิ่วอี้ฮวนหมดแรงกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าทำน้ำท่วมแดนสวรรค์หรือ เสวียนจีไม่ใช่เทพสงครามหรือ แค่ชายแก่ๆ ทำไมพวกเจ้ารับมือไม่ได้”
อู๋จือฉีโมโหกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าให้รู้จักเคารพผู้ใหญ่หรือ! ตาแก่อย่างเขา ข้ามีหน้ากล้าลงมือหรือ!”
ทันทีที่กล่าวจบ ก็เห็นไม่ไกลนักมีคลื่นยักษ์กระหน่ำมาอีก ที่น่ากลัวคือในคลื่นยักษ์ราวกับมีบางสิ่งขนาดใหญ่มาด้วย ถาโถมดังสนั่นเข้ามาแล้ว