ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 22 ผลึกแก้วหลิวหลี (2)
ราชันสวรรค์เงีบบไปนานไม่ตรัสอันใด เสวียนจีเองก็ไม่รู้ควรกล่าวอันใด สมองนางวุ่นวายไปหมด น้ำตาปาดทิ้งก็ไหลออกมาใหม่ เช็ดอย่างไรก็ไม่แห้ง
นางไม่ได้ความจริงๆ พบกันเรื่องคิดไม่ตกเช่นนี้ ถึงกับเอาแต่ร้องไห้ คิดไม่ออก ไม่อาจทำอย่างที่ซือเฟิ่งพูดไว้ได้ เขาให้นางใช้เหตุผลสยบผู้คน จากนี้ราชันสวรรค์จะพูดอะไรอีก โมโหขับไล่นางออกไป หรือเรียกทหารมาจับนางไปขังรอลงโทษรวมกับพวกอู๋จือฉี
เสวียนจีเดาไม่ออกว่าในใจอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร รอคำพูดต่อมาของเขาอย่างแทบลืมหายใจ
หากเขาแข็งกร้าวถึงที่สุด นางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร คำถามนี้เสวียนจีก็ไม่รู้ บางทีคงได้แต่รอให้ทุกอย่างตกผลึก นางจึงจะรู้ว่าตนเองจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นไร
ราชันสวรรค์เงียบงันไปนาน อยู่ๆ ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพยังจำเรื่องชาติก่อนได้เท่าไร”
เสวียนจีนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง สูดจมูกอย่างแรง มองไปยังหลังม่านที่มีภาพเคลื่อนไหวเลือนราง เงียบไปนานก่อนจะกล่าวว่า “ก็…จำไม่ได้เท่าไร”
“แม้แต่เหตุใดตนเองต้องถูกลงโทษก็จำไม่ได้หรือ”
เสวียนจีส่ายหน้า มองเขาที่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็น ในใจรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี ร้อนใจกล่าวว่า “ราชันสวรรค์! เป้าหมายการมาครั้งนี้ของข้า…”
“ดูท่ามหาเทพโฮ่วถู่ดึงเอาทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าออกหมด เอาเถอะ เราจะให้เจ้าได้เห็นอดีต”
ราชันสวรรค์กล่าวจบ หลังม่านก็เงียบไป มีกระแสลมสายหนึ่งพัดม่านขึ้นเบาๆ เสวียนจีแอบมองลอดเข้าไปอย่างสงสัย เห็นเพียงบังลังก์มังกรว่างเปล่า ไหนเลยจะมีคน!
นางรีบลุกขึ้นจะดึงม่านออก ผู้ใดจะรู้ว่าพอปลายนิ้วแตะโดนม่าน ม่านเย็นเยียบหลายชั้นกลายเป็นหิมะขาวหยดลงราวกับไม้ผุแหลกละเอียด พริบตาม่านทั้งหมดก็หายไป ที่ยิ่งน่ากลัวก็คือทั้งตำหนักราวกับมีน้ำแข็งหิมะก่อตัวขึ้น น้ำแข็งหิมะที่ยามโดนแสงแดดสาดส่องก็ละลาย
เสวียนจีตกใจยิ่ง รีบหดมือกลับ ผู้ใดจะรู้ว่าปลายนิ้วมีความรู้สึกผิดปกติเกิดขึ้น ก้มหน้าลงมองร่างตนเองราวกับเปลี่ยนเป็นก้อนหิมะ ค่อยๆ หลอมละลาย นางตกใจจนแทบกระโดดขึ้น พริบตาก็รู้สึกเพียงแค่ทั้งร่างละลายกลายเป็นน้ำหิมะเทโครมไหลลงไปพรวดเดียว ก็ไม่รู้ไหลไปไหน
ข้างหูได้ยินเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลเบาๆ ว่า “เห็นชัดว่าเป็นแค่ผลึกแก้วหลิวหลีชิ้นหนึ่ง ทำไมกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ จริงอยู่แดนสวรรค์สูงส่งทรงเกียรติ แต่โลกกว้างไพศาล ท่านก็มิใช่ผู้บงการสรรพชีวิต คำถามนี้ ข้าต้องไปถามผู้ใด”
เสวียนจีค่อยๆ ยืดกายออกอย่างงงงัน ค่อยๆ ลงสู่พื้น ทั้งร่างอ่อนปวกเปียกราวกับกลุ่มหมอกที่ไร้รูปร่าง นางลืมตาขึ้น เห็นเพียงเมฆงามหลากสีตรงหน้า ตำหนักเสินกงสวยงามลอยอยู่บนเมฆมงคล ภาพอัศจรรย์ไม่อาจบรรยายด้วยวาจา
ตัวนางเบาหวิวลอยขึ้นมายังหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง
หน้าตำหนักมีขุนพลเทพกำลังก้มหน้าคุยกันสองคน นางเข้าไปใกล้อีกนิด ได้ยินหนึ่งในนั้นกล่าวว่า “…สุดท้ายจับวานรนั่นได้แล้ว ครั้งนี้สังหารขุนพลเทพไปมากมาย หากไม่สับวานรนั่นเป็นหมื่นชิ้น จะทำให้ทุกคนยอมได้อย่างไร”
นางอดเขยิบเข้าอีกนิดไม่ได้ หลบอยู่หลังเสามังกรต้นใหญ่ ได้ยินเสียงอีกคนตอบรับว่า “ตามความเห็นข้า ราชันสวรรค์แต่ไรมาก็ทรงเมตตา ไม่แน่ว่าจะสังหารเขา นับประสาอันใดกับข้าได้ยินว่า แดนสวรรค์ใช้อุบายจึงจับวานรนั่นได้…ไม่ค่อยสง่างามเท่าไร”
คนผู้นั้นเห็นชัดว่าเริ่มสนใจ แอบลดเสียงเบาลงถามว่า “อุบายอะไร เล่ามาให้ฟังหน่อย!”
อีกคนมองซ้ายมองขวา มั่นใจว่าไม่มีคน จึงกระซิบข้างหูว่า “ได้ยินว่าวานรนั่นบ้าราคะ มีเพียงใช้สาวงามจึงจะจัดการเขาได้ เจ้าจำได้ไหม ก่อนหน้าได้ส่งเทพขุนพลดาวนักษัตรยี่สิบแปดองค์ลงไปจัดการ เต่าดำเสวียนอู่กับหงส์แดงจูเชวี่ยร้ายกาจเพียงใด ปรากฏแพ้ไปเกินครึ่ง แม้แต่เต่าดำเสวียนอู่ยังถูกสังหาร ต่อมาไม่รู้ผู้ใดให้อุบายมา ให้ส่งเทพสาวความงามร้ายกาจลงไปปราบเขา ดังนั้นเสือขาวจึงถูกส่งไป ปรากฎความสามารถนางต่างกับวานรนั่นมากเกินไป แม้ทำให้เขาหลงใหลอย่างไม่อาจถอนตัว แต่ไม่อาจจับเขาได้ ต่อมาก็ส่งเทพสงครามไป นางไปสองครั้ง ก็จับเขากลับมาได้ดังคาด”
เสวียนจีได้ยินคำว่าเทพสงคราม ในใจก็อดเต้นแรงไม่ได้ คนผู้นั้นยิ่งพูดจายิ่งเบาลงเรื่อยๆ นางเริ่มไม่ค่อยได้ยินแล้ว จึงออกมาจากด้านหลังเสาเสียเลย ขุนพลเทพสององค์มองไม่เห็นนางดังที่คิดไว้ ยังคงคุยกันออกรสออกชาติต่อไป
“อ้อ! เทพสงครามผู้นั้นเป็นคนไป?!” คนผู้นั้นตกใจเล็กน้อย “ไหนบอกว่าจะใช้นางแค่สงครามรับมือพวกอสูร? แดนสวรรค์มีแต่นางที่ต่อกรกับอสูรพวกนั้นได้หรือ ถึงกับส่งนางไปปราบอู๋จือฉี นางมีความสามารถจริงๆ”
อีกคนแสยะยิ้มกล่าวว่า “เจ้ารู้แค่หนึ่ง ไม่รู้สอง อู๋จือฉีหากไร้เทพศาสตราระดับขอสมุทรเช่อไห่ ก็แค่มารปีศาจร้ายกาจสักหน่อยก็เท่านั้น ไหนเลยทำการใหญ่พวกนี้ได้ นี่เรียกว่า…เอ่อ โลกมนุษย์มีวาจาว่ากระไรน้า หนังลาเกิดจากตัวลา? เทพสงครามผู้นั้นเดิมก็ไม่ใช่เทพแดนสวรรค์ เป็นพวกราชันสวรรค์ใช้อุบายลวงมา พอลวงมาแล้วยังกลัวนางมีความสามารถมากเกินไป ไม่อาจสยบนางไว้ได้ จึงได้เล่นอุบาย ขอสมุทรเช่อไห่เดิมก็เป็นของตระกูลนาง ข้าบอกเจ้าเลย เรื่องนี้เป็นความลับขั้นสุดยอด อย่าได้แพร่งพรายบุคคลที่สองเด็ดขาด! ข้าเองตอนนั้นเป็นเทพรับใช้ข้างกายไป๋ตี้จึงรู้มาบ้าง แดนสวรรค์ติดค้างเทพสงครามก้อนโต วันหนึ่งหากนางคิดบัญชีขึ้นมา พวกเราก็คงได้แต่ไปกันไม่เป็นแล้ว”
คนผู้นั้นงุนงงกล่าวว่า “มิน่าข้าก็ว่าเทพสงครามวันๆ เอาแต่เหม่อลอยงุนงงราวกับไก่ไม้ไร้ความรู้สึก ที่แท้เช่นนี้นี่เอง! ที่มาที่ไปของนางใหญ่โตไม่น้อยเลย! ราชันสวรรค์ถึงกับยอมให้นางสามส่วน!”
“เฮอะ ยอมให้นางสามส่วนตรงไหน…เห็นแก่ความสามารถแท้จริงของนางมากกว่ากระมัง! เจ้าดูสิ นางก็นับเป็นสาวงาม ความสามารถยังร้ายกาจเช่นนั้น เจ้าวานรอู๋จือฉีเห็นนางยังหน้ามืดตามัว ครั้งแรกเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกหนีไปได้ ครั้งสองถูกจับได้ดังคาด วันหน้าก็สงบสุขกันได้เสียที”
ขุนพลเทพองค์นั้นฟังจบ ลังเลครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า “หากเจ้าไม่บอกว่าเทพสงครามไปเอง ข้ายังไม่เข้าใจอยู่เลย สองวันนี้นางดูแปลกไปมาก หลายครั้งข้าเห็นนางไปนั่งริมสระน้ำสวรรค์พึมพำอะไรอยู่คนเดียว สีหน้าประหลาด ไม่รู้พูดอะไร คงไม่เกี่ยวข้องกับการไปจับอู๋จือฉีครั้งนี้กระมัง”
ขุนพลเทพอีกองค์ขมวดคิ้ว คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า “ที่สระน้ำสวรรค์นั่นเลี้ยงเงือกไว้นี่ เพิ่งสำเร็จผลเป็นเซียน นางคุยกับเงือกกระมัง พูดไปแล้วก็แปลก ข้าเคยได้ยินข่าวหนึ่งว่า เทพสงครามแอบมีอะไรกับอู๋จือฉี ขุนพลเทพที่ติดตามนางไปจับอู๋จือฉีวันนั้นบอกว่า ครั้งแรกอู๋จือฉีหนีไปได้ก็เพราะเทพสงครามไม่ได้ไล่ตามไปต่างหาก ครั้งที่สองนางยังสนทนากับอู๋จือฉีตั้งนาน เห็นบอกว่าจะเป็นสหายกันด้วย…เรื่องนี้ไม่รู้จริงไหม ช่างเหลวไหลสิ้นดี! มีเทพเซียนที่ไหนเป็นสหายกับมารปีศาจกบฏ”
ขุนพลเทพผู้นั้นส่ายหน้ากล่าวว่า “ผู้ใดจะรู้! แต่ไรมานางก็แปลกประหลาด สรุปว่าระวังไว้หน่อย ในเมื่อเดิมนางก็ไม่ใช่เทพแดนสวรรค์ ในใจก็ย่อมมีความคิดอะไรบางอย่าง เราไม่อาจไม่ป้องกัน”
ทั้งสองพยักหน้าเห็นด้วย เสวียนจีฟังแล้วก็ได้แต่งุนงง ข้อมือเริ่มสั่นเทา
นางราวกับเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็เหมือนไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง เรื่องแสนโหดเหี้ยมเช่นนั้นนางไม่อยากจะเชื่อ เดิมนางไม่ใช่เทพแดนสวรรค์? แดนสวรรค์ติดค้างนาง? ขอสมุทรเช่อไห่ห่วงฟ้าเทียนจวินเดิมเป็นของนาง?
เช่นนั้นนาง…แท้จริงคืออะไร
นางไม่ทันได้คิดมาก รู้สึกเพียงแค่รอบกายอยู่ๆ มีลมแรงแฝงกลิ่นไอสังหารเล็กน้อยพัดมา ไอสังหารเหี้ยมโหดที่นางแสนคุ้นเคย เป็นนางเอง! เสวียนจีพลันหันกลับไป ก็มองเห็นที่ไกลออกไปมีเงาร่างดำเหินมา ยิ่งมายิ่งใกล้ เห็นเกราะบนร่างยิ่งกระจ่างชัด
เกราะทองคำ หมวกเกราะเมฆาม่วง ท่าทางองอาจกล้าหาญ ใต้หมวกเกราะส่องประกายวาวเผยใบหน้างามกระจ่างใสราวหิมะตกใหม่ สองตาดำขลับราวกับคืนเดือนมืดลึกยากหยั่ง ไม่ได้มีแววกระเพื่อมไหวแม้แต่น้อย นางกำกระบี่ยาวเล่มใหญ่ไว้ในมือแน่น กระบี่ติ้งคุนชี้ตรงมาทางนี้พร้อมกลิ่นไอสังหารรุนแรง
เสวียนจีอดกำมือแน่นไม่ได้ ลำคอเริ่มสั่นเทา ได้ยินขุนพลเทพสองคนด้านหลังน้ำเสียงตกใจว่า “ท่านแม่ทัพเทพสงคราม!”
วาจากล่าวจบ นางก็เหยียบลงบนขั้นบันไดหยกขาวตำหนักเสินกง รองเท้าหุ้มสูงค่อยๆ เดินไปทางประตู สองขุนพลเทพร้อนใจกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพช้าก่อน! รอไปรายงานก่อน!”
นางค่อยๆ กล่าวว่า “ราชันสวรรค์อยู่ไหม ข้ามาเข้าเฝ้า!”
ทั้งสองคนตอบว่า “ราชันสวรรค์ไม่ได้ประทับที่นี่ ท่านแม่ทัพเชิญกลับ!”
นางพลันยกมุมปาก เผยรอยยิ้มเยียบเย็นราวน้ำแข็ง ถึงกับไม่ต้องคิด เสวียนจีรู้ว่าในวินาทีถัดมานางจะพูดอะไร “ข้าเข้าไปดูเอง!”
เหิมเกริมเช่นนี้ แน่นอนไม่ผิด แต่ไรมานางก็เป็นเช่นนี้ ไม่เกรงกลัวอะไร ไม่ยี่หระกับสิ่งใด
ขุนพลเทพทั้งสองพลันแตกตื่นตกใจ ยกมือขึ้นห้าม พวกเขาไหนเลยจะห้ามไว้ได้ แต่หากไม่ห้ามไว้ กฎแดนสวรรค์จะมีอยู่อีกหรือ จะปล่อยนางเหลวไหลได้อย่างไร! แม้ว่าเทพสงครามไม่ค่อยเข้าใจอะไร หากแต่ไรมาก็เชื่อฟัง แต่ไรมาไม่เคยทำความผิดใหญ่ ครั้งนี้อยู่ๆ เกิดคุมสติไม่อยู่ ทำให้ทุกคนไม่รู้จะรับมือเช่นไรดี
ดังคาด เขาสองคนลังเลครู่หนึ่งก็ทำท่าจะห้าม แต่เงาด้านหน้าก็เคลื่อนไหวรวดเร็วอ้อมหลังทั้งสองคนไปแล้ว ยกมือผลักประตู สองขุนพลเทพร้อนใจ ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว รีบเหินเข้าไปคว้าแขนนาง ตะโกนดังขึ้นว่า “บังอาจ! ไม่อาจเสียมารยาท! รีบถอยออกไป!”
วาจาไม่ทันจบ เห็นเพียงแสงเพลิงตรงหน้าวาบขึ้น ทั้งสองคนตกใจกระโดดถอยหลังหนีเอาตัวรอด เห็นนางเปล่งเปลวเพลิงรอบกาย เกราะทองคำส่องประกายแรงกล้าท่ามกลางแสงเพลิงหลากสีสันงดงามทอประกายแสง นางหันกลับมามองด้วยแววตาเย็นชา กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “ข้ามาเฝ้าราชันสวรรค์! หากไม่ให้ข้าเข้าไป เช่นนั้นข้าก็จะปล่อยเพลิงอัคคีเผาที่นี่! ให้เขาออกมาพบข้าเอง!”
สองขุนพลเทพไม่กล้าขวางนางอีก แต่ก็ไม่กล้าหนีไป ได้แต่ถอยห่างออกจากแสงเพลิง ตะโกนดังขึ้นว่า “ราชันสวรรค์ไม่อยู่ที่นี่! ตอนนี้มีแต่ไป๋ตี้พักผ่อนอยู่ที่นี่! เจ้ากล้าปล่อยเพลิงอัคคี คิดก่อการหรือ?!”
นางเหมือนไม่ได้ยิน ยกสองมือขึ้น เปลวไฟรอบกายอยู่ๆ พลันเปล่งพลังเป็นมังกรเพลิงสองสาย พุ่งเข้าไปในตำหนักเสินกง พริบตาก็ล้อมตำหนักเสินกงไว้กลางทะเลเพลิง เปลวไฟรุนแรงสร้างความน่าหวาดกลัว นางอยู่นอกประตูตะโกนดุดันว่า “ราชันสวรรค์! หากท่านไม่ออกมา ข้าจะเข้าไปเอง!”
กล่าวจบก็ยกเท้าถีบ ประตูใหญ่ถูกนางถีบเปิดออกง่ายๆ อย่างนั้น นางเดินเข้าไป ทำเอาสองขุนพลเทพด้านหลังร้อนใจไม่รู้จะทำเช่นไร ลนลานอยู่เป็นนาน ได้แต่วิ่งไปตามคนไปเรียนราชันสวรรค์ แม่ทัพเทพสงคราม วันนี้อยู่ๆ ก็เสียสติ มีใจคิดก่อกบฏ