ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 25 ผลึกแก้วหลิวหลี (5)
ม่านทั้งผืนถูกนางกระชากทีเดียวก็ขาดดัง แคว่ก ปลิวลงพื้น ภาพด้านหลังม่านทำให้เสวียนจีตกใจยิ่ง ไม่มีคน! บนบังลังก์มังกรนั่นไม่มีแม้แต่เงาคน ว่างเปล่า!
หน้าบังลังก์มังกรมีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง ด้านบนมีโถผลึกแก้วหลิวหลีสูงราวสามฉื่อส่องประกายวับวาว งดงามสะดุดตา ราวกับในนั้นมีลูกไฟห้าสีเย็นเยียบหนึ่ง โถผลึกแก้วหลิวหลีบิ่นไปมุมหนึ่ง รอยบิ่นนั้นมีความวาวกริบ คนลงมือตัดมุมนั้นออกไปต้องลงมือเร็วมาก จึงไม่ทิ้งรอยแตกร้าวไว้ที่โถผลึกแก้วหลิวหลีเปราะบางเช่นนี้แม้แต่น้อย
ในใจเสวียนจีตกใจมาก ลำคอตีบตันยิ่งขึ้น จ้องมองโถผลึกแก้วหลิวหลีตาไม่กะพริบ ราวกับย้อนกลับไปพันปี ในที่สุดก็หาของสำคัญบางอย่างกลับคืนมาได้แล้ว
นางยื่นมือออกไป นิ้วมือสั่นเทา คิดจะสัมผัสโถผลึกแก้วหลิวหลีเบาๆ พลันได้ยินสุรเสียงราชันสวรรค์ในม่านด้านหน้าดังแว่วมา “วันนี้ก็ขอคืนให้ท่านแม่ทัพ”
นางตกใจรีบเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงรอบด้านล้วนเป็นม่านแพรไหมบาง ด้านหลังทุกผืนจะมีเงาคนวูบวาบไปมา สุรเสียงราชันสวรรค์ดังก้องมาจากทุกสารทิศ ไม่อาจบอกได้ว่ามาจากทางใด หลังม่านยังคงเป็นม่าน ไม่ว่านางกระชากออกอีกเท่าไร ก็มองไม่เห็นเขา เสวียนจีอดยิ้มเยียบเย็นไม่ได้ กล่าวว่า “กระต่ายเจ้าเล่ห์สามโพรง! แม้แต่ใบหน้าก็ไม่กล้าโผล่ออกมา!”
ราชันสวรรค์ไม่ได้ทรงกริ้ว เพียงกล่าวสุรเสียงนุ่มนวลว่า “เรามีรูปลักษณ์นับพัน ปรับเปลี่ยนได้ดังใจ ท่านแม่ทัพอยากเห็นเราในแบบใด”
เสวียนจีน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ข้าไม่ได้สนใจรูปลักษณ์ท่านแม้แต่น้อย! ข้าแค่ถามท่านคำเดียว เรื่องนี้จะจัดการเช่นไร?!”
ราชันสวรรค์ถอนใจกล่าวว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แดนสวรรค์ไม่มีสถานะที่จะกล่าวอันใดได้ ท่านแม่ทัพต้องการเช่นไร”
เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก! ถึงกับผลักปัญหามาให้นาง! เสวียนจีกำลังจะระเบิดอารมณ์ อยู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องพวกหลิ่วอี้ฮวนขึ้นมา ตกใจกล่าวว่า “ท่านจับซือเฟิ่งกับถิงหนูไว้เพื่อข่มขู่ข้า!”
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “ในที่สุดชาตินี้ท่านแม่ทัพก็มีคนสำคัญแล้ว เราจะจับพวกเขามาข่มขู่ท่านได้อย่างไร ท่านแม่ทัพไม่ต้องเป็นห่วง เราจะรีบส่งพวกเขากลับแดนมนุษย์อย่างไม่ให้มีบาดแผลแม้แต่น้อย”
“ผู้ใดจะรู้ว่าพวกท่านจะแอบทำอะไรพวกเขา! ตอนนั้นพวกท่านจับข้าลงโทษสถานหนัก ส่งไปเกิดเวียนว่าย ถิงหนูก็พลอยมีความผิดไปด้วย ครั้งนี้ก็มาแบบเดิม แม้แต่คนที่พลอยติดร่างแหตามไปด้วยก็เพิ่มบุคคลในครอบครัวใกล้ชิดข้าเข้ามาอีก อุบายแจ่มแจ้ง! ท่านไม่พูด ข้าก็รู้พวกท่านต้องการผลเช่นไร ก็แค่หวังว่าพอคืนคนเหล่านี้ให้ข้าแล้วไม่ลงโทษความผิดอะไร จากนั้นข้าก็จะนำพวกเขากลับไปด้วยจิตใจเบิกบาน แล้วก็เป็นเด็กโง่ไร้ใจต่อไป พวกท่านใช้คำว่ากบฏมาล่อให้ข้ามาติดกับ รอให้ข้ามาแล้วก็ทำเป็นผ่อนท่าที ต้องการอะไรกันแน่ ขอร้องให้ข้าให้อภัยหรือ ฮาๆ! เรื่องนี้ว่าไปแล้วไม่น่าขำหรือ”
ราชันสวรรค์กล่าวอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ทัพเคยคิดบ้างไหม เราเลือกไม่ให้ท่านรู้อดีตได้ ก็อย่างที่ท่านว่า วาจาสวยหรูลวงหลอกท่านไป ให้ท่านได้นำพาทุกคนกลับไป เกรงว่าในใจท่านก็คงขอบคุณเราแน่”
เสวียนจีพลันโมโหขึ้นทันที ไม่รอให้เขาพูดจบ ก็ชักกระบี่ติ้งคุนออกมาตวัดฟันไป ม่านสี่ทิศถูกไฟแผดเผา เสามังกรทองเก้าต้นก็หักไปสามสี่ต้น ภายในตำหนักสั่นไหวรุนแรง เศษกระเบื้องมากมายนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมา กระถางสำริดที่จุดกำยานไว้ถูกนางถีบล้ม ลูกไฟกระจัดกระจายทั่วพื้น กลิ้งไปที่ม่านก่อเกิดควันโขมงขึ้นมา ตำหนักดีๆ พลันถูกเผาขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เสวียนจีตวัดกระบี่ฟันมั่วไปทั่วท่ามกลางเปลวไฟ ไม่กล่าวอันใดสักคำ ในใจนางยังคงมีไฟโทสะฝังลึก รู้สึกเพียงแค่หากไม่ระบายออกมา ก็คงได้ระเบิดอยู่ภายในจนตัวตายแทน ใบหน้านางอาบไปด้วยแสงไฟ น้ำตานองหน้า ถึงกับแม้แต่นางเองก็แยกไม่ออกว่าแท้จริงแล้วร้องไห้หรือไม่ บางทีนางไม่เพียงแต่อยากจะทำลายแค่ทุกอย่างตรงหน้า แต่อาจจะอยากทำลายแม้แต่ตนเอง เปลวไฟโหมทะยานพุ่งสู่ท้องฟ้า ดีที่สุดก็กลืนกินนางไปด้วยเสียเลย
ลืมให้หมด ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเท็จ กลับไปเถอะ กลับไปเสีย! มีเพียงนางกับซือเฟิ่งนั่งอยู่ในหมู่บ้านที่ซีกู่ ยิ้มแย้มชมดอกเฟิ่งหวงบานและร่วงหล่นทั่วท้องฟ้าราวกับเปลวเพลิง มีแต่เสียงพูดคุยเรื่องสนุกสนานกันเบาๆ คิดแต่ว่าวันพรุ่งนี้จะไปเที่ยวที่ไหน วันเวลาผ่านไปราวสายน้ำไหล พริบตาก็ผ่านพ้นไป พวกเขากลายเป็นคนแก่ที่ผมขาวโพลน ดอกเฟิ่งหวงแดงดังเลือดหล่นทับทั่วร่างกาย
“ท่านแม่ทัพอย่าได้มีโทสะ!” ด้านหลังอยู่ๆ มีเสียงตะโกนดังมา เสวียนจีรีบหันขวับกลับไป เห็นชุดขาวชัดเจนขึ้นท่ามกลางกองเพลิง ไป๋ตี้มา
พอเห็นเขา เสวียนจีก็ยิ่งราวกับน้ำมันราดบนกองไฟ นางน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เยี่ยม! ท่านก็มาด้วย! วันนี้จะตัดหัวท่านประโลมใจข้า!” นางตวัดกระบี่จะลงมือ ก็ได้ยินไป๋ตี้เสียงสลดกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพจะสังหารเรา เราก็ไม่คิดขัดขืน แต่มีเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งที่อยากให้ท่านแม่ทัพได้เข้าใจ”
เสวียนจีเบนคมกระบี่วาดผ่านเฉียดข้างหูเขา เสียงตึงฟันเข้าที่เสาจนเกิดประกายไฟแปลบปลาบ ตำหนักข้างถูกเผาจนใกล้ล้มครืนแล้ว ควันโขมงสี่ทิศ ร่างทั้งสองเลือนลางท่ามกลางกองเพลิง
ไป๋ตี้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แม้ท่านแม่ทัพเป็นมหาอสูรมาร แต่ก็เป็นวีรบุรุษองอาจผู้หนึ่ง สำหรับเรื่องเหล่าอสูรรุกรานแดนสวรรค์ก็ย่อมทำให้ท่านเจ็บปวดใจอย่างมาก จริงๆ แล้ววิธีนี้เป็นท่านแม่ทัพที่เสนอขึ้นมาเอง”
“เจ้ากล่าวเหลวไหล!” เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่เหลวไหลมาก
ไป๋ตี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ใช่แล้ว วันนั้นท่านแม่ทัพจริงๆ แล้วแค่กล่าวล้อเล่น แต่เราเก็บไว้ในใจมาตลอด ในใจเราเอาแต่คิดว่าเป็นวิธีการที่ดีมาก หวังเพียงท่านแม่ทัพยินยอมด้วยใจ…จริงๆ แล้วนั่นก็แค่ตัวเราคิดเอาเอง หลายปีมานี้เราเฝ้าทนทรมานด้วยความรู้สึกผิดมาตลอด ก็หวังว่าท่านแม่ทัพจะรู้ว่าคนออกอุบาย คนลงมือ ล้วนเป็นเราคนเดียว ไม่เกี่ยวของกับผู้อื่นแม้แต่น้อย ราชันสวรรค์ก็ไม่ทรงทราบเรื่องนี้”
สุรเสียงราชันสวรรค์ดังก้องมาจากทุกสารทิศ อ่อนโยนกระจ่างใสว่า “ไยไป๋ตี้ต้องนำความผิดไปไว้ที่ตนเองผู้เดียว โลกมนุษย์มีภาษิตหนึ่งว่า ร้อยยินยลมิสู้เห็นเพียงครั้ง เจ้าและเรายิ่งพูดกันที่นี่มาเพียงใด ก็ยิ่งไม่ดีต่อท่านแม่ทัพ อดีตเป็นมาเช่นไร ไยไม่ให้นางไปดูด้วยตาตนเองเล่า”
ไป๋ตี้คำนับโขกศีรษะ สะอื้นทูลว่า “กระหม่อมบังอาจเหิมเกริม นำภัยหายนะสู้แดนสวรรค์เช่นนี้ ขอทรงโปรดลงโทษ! ความผิดทั้งหมด กระหม่อมขอรับไว้เพียงผู้เดียว”
ราชันสวรรค์กล่าวอ่อนโยนว่า “ไป๋ตี้ลุกขึ้น เรื่องนี้ว่ากันถึงที่สุดแล้วก็เป็นแดนสวรรค์ผิดต่อท่านแม่ทัพ แท้จริงจัดการเช่นไร ก็แล้วแต่ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ เราให้ท่านได้เห็นภาพในตอนนั้น ดีไหม”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ดูแล้ว…แล้วอย่างไร ดูแล้ว ทุกสิ่งก็จะทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ”
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “มิใช่ เราคิดว่า ท่านแม่ทัพควรได้เข้าใจความเป็นมาเป็นไปในเรื่องทั้งหมดนี้”
เสวียนจีนิ่งอึ้งไปเป็นนานก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า ราชันสวรรค์สุรเสียงก้องกังวานตรัสว่า “เหตุจากวันวาน ผลในวันนี้ บุญคุณความแค้นทั้งหมด ล้วนเป็นเถ้าธุลีสิ้น”
วาจากล่าวจบ เพลิงพลันลุกโหม ควันไฟโขมงทั่วตำหนักในพริบตา ม่านแพรบางแต่ละชั้นร่วงหล่นลงพื้น ลมพัดหอบผมยาวสลวยของนางม้วนหอบขึ้น ลูกไฟห้าสีเย็นเยียบในโถผลึกแก้วหลิวหลีลุกวูบวาบโลดเต้นเปล่งแสงเป็นที่ดึงดูดสายตา ราวกับกำลังดึงดูดวิญญาณผู้คน ทุกสิ่งรอบๆ พลันมืดดับลงราวกับคืนเดือนมืดที่มืดสนิท
เสวียนจีพยายามดึงสติออกจากโถผลึกแก้วหลิวหลี โถนั่นราวกับมีพลังบางอย่าง ไม่ว่านางจะพยายามอย่างไร สายตาก็ไม่อาจละจากโถผลึกแก้วไปได้แม้แต่น้อย ในขณะที่กำลังตื่นตระหนกนั้น เห็นเพียงสองมือยื่นออกมาจากความมืด แสงสีขาวค่อยๆ ส่องประกายราวกับผีเสื้อสีขาวตัวใหญ่ สองมือคว้าเอาแท่งสำริดแท่งเรียวนั่นยกขึ้นสูง ทำท่าเหมือนจะเคาะลงมา
เสวียนจีตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน ร้อนใจกล่าวว่า “ไม่อาจเคาะ!”
นางยังกล่าวช้าไป ท่อนสัมฤทธิ์นั่นเคาะลงมาเบาๆ พอกระทบโดนขอบโถผลึกแก้วหลิวหลี ก็เปล่งเสียงใสก้องเสนาะหู กริ๊ง ดังขึ้น ในใจนางพลันสะดุ้ง ที่น่าแปลกก็คือไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดทรมานอะไร รู้สึกเพียงแค่เบื้องหน้ามีสายลมกระหน่ำรุนแรง พริบตาก็ยากลืมตา นางรีบยกมือป้องใบหน้า ข้างหูได้ยินเพียงเสียงลมพัดกระหน่ำไม่หยุดราวกับเสียงผีร่ำไห้คร่ำครวญ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ลมพัดกระหน่ำแรงยิ่งขึ้น เสวียนจีลังเลที่จะยกแขนเสื้อลง เบื้องหน้าพลันสว่างวาบ เห็นทิวทัศน์รอบๆ แปลกมาก แม่น้ำสายกว้างและยาวส่องประกายแสงสีเงินสายหนึ่งแยกสองฝั่งออกจากกัน ฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่รกร้างแห้งแล้งเต็มไปด้วยหมอกควันปกคลุม ไม่มีร่องรอยมนุษย์ แต่ฝั่งที่นางอยู่นั้นเป็นขุนเขาเขียวชอุ่มน้ำใสกระจ่าง วิหคส่งเสียงร้องบุปผาบานแย้ม งดงามอย่างที่สุด
แม่น้ำสีเงินสายกว้างนั้นยิ่งแปลก น้ำในแม่น้ำถึงกับไหลไกลออกไป ริมแม่น้ำมีเสาทำจากไม้ ด้านบนผูกเรือไว้ลำหนึ่ง เสวียนจีเดินเข้าไปดู เห็นเรือลำนั้นไม่มีท้องเรือ หากลอยอยู่บนแม่น้ำได้อย่างเบาหวิว ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
ภาพนี้สำหรับนางแล้วก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ก็มีความไม่คุ้นเคยเช่นกัน เสวียนจีลังเลเดินไปตามตามเส้นทาง รู้สึกเพียงแค่เส้นทางภูเขาวนเวียน เบื้องหน้ามีแต่ความเขียวขจี เดินไปได้พักหนึ่ง พลันได้ยินเสียงคนสนทนา นางรีบแอบหลบ พลันคิดได้ว่านี่คือภาพในอดีต ไม่มีผู้ใดเห็นตนจึงได้สบายใจ เดินตามเสียงสนทนาไป
มีศาลาหยกขาวตั้งอยู่บนเส้นทางนี้ มีแสงศักดิ์สิทธิ์มงคลเปล่งประกายสี่ทิศ เสวียนจีมองไปก็เห็นเป็นศาลาที่สร้างจากหยกทั้งก้อนแกะสลักขึ้น เป็นความงามประณีตมาตรฐานแห่งแดนสวรรค์ มีเพียงพวกเขาจึงจะฟุ่มเฟือยอย่างที่สุดเช่นนี้ได้
ในศาลามีคนนั่งอยู่สองคน คนหนึ่งชุดขาวหน้าตางามสง่า เต็มไปด้วยสง่าราศี ก็คือไป๋ตี้ในตอนนั้นอีกคน…เสวียนจีขยี้ตาอีกที รู้สึกเพียงแค่เลือนราง อย่างไรก็ไม่อาจเห็นใบหน้าคนผู้นั้นได้ ในความเลือนราง รู้สึกเพียงแค่คนผู้นั้นรูปร่างสูงมาก อยู่ในชุดแดง ร่างกายแดงเข้มอัปลักษณ์มาก คิดว่าก็คงไม่ได้งดงามอะไรสักเท่าไร
นี่ต้องเป็นนางเมื่อก่อนแน่
วันนั้นนางได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งสัพยอกนางว่าหน้าตารูปร่างนี้อัปลักษณ์มาก ไม่สู้เป็นสาวงามผลึกแก้วหลิวหลี มิน่าคนผู้นั้นกล่าวเช่นนี้ นางอัปลักษณ์มากจริงๆ เสวียนจีหัวเราะเฝื่อนๆ ในตาราวกับมีน้ำตาคลอเบ้าทะลักออกมา ความรู้สึกไม่อาจยอมรับได้ รู้สึกเหมือนโดนรังแกอย่างที่สุด สุดท้ายจึงได้ปาดน้ำตา สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ
ในศาลาทั้งสองเหมือนกำลังดื่มด่ำกับสุรา ไม่รู้สนทนาอันใดกัน ไป๋ตี้ชนจอกสุราและดื่มไปยิ้มไปหัวเราะไป หากอยู่ๆ ก็ถอนหายใจ คนข้างๆ ผู้นั้นมีจิตใจละเอียดอ่อน เดาความในใจเขาออกได้ในทันที ตอนนั้นจึงปลอบใจกล่าวว่า “ตอนนี้สองดินแดนเปิดศึก ในใจท่านคงเป็นกังวล ไยไม่ระบายให้ข้าฟัง”
เสวียนจีได้ยินน้ำเสียงคนผู้นั้นเสียงใหญ่แหบพร่า ไม่ชายไม่หญิง ไม่ไพเราะอย่างมาก อดยิ่งยิ้มเฝื่อนไม่ได้ หรือว่านางเคยเป็นชาย? แต่ว่ากันว่าพวกอสูรไม่มีเพศ เช่นนี้ใช่ว่านางเป็นปีศาจที่ไม่ชายไม่หญิงจริงหรือ หากให้ซือเฟิ่งรู้เข้า เขาจะหัวเราะนางไหม
ไป๋ตี้ถอนใจกล่าวว่า “พี่จี้ตูเป็นวีรบุรุษแดนอสูร คิดว่าต้องมาอยู่ระหว่างกลางเช่นนี้คงลำบากใจมาก เป็นน้องเองที่ทำให้พี่พลอยลำบากไปด้วย”
หลัวโหวจี้ตูหัวเราะดังกล่าวว่า “ท่านดูถูกข้าเกินไปแล้ว! ท่านคบหาข้าเป็นสหาย จะเสียสัมพันธ์ด้วยเรื่องศึกสองแดนได้อย่างไร!” กล่าวจบอยู่ๆ ก็ส่งเสียงจึกจักราวกับไม่พอใจ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “น่าแค้นใจที่พวกเขาไม่ฟังคำสั่งข้า แดนอสูรไม่ได้มีศึกมานานแล้ว คิดว่าตายไปเสียก็ดี ครั้งนี้จึงบุกมาถึงแดนสวรรค์นี่ ข้าได้ออกหน้าเกลี้ยกล่อมทุกระดับแล้ว แต่เสียงเรียกร้องสงครามยังคงดังกระหึ่มไม่หยุด ข้าไม่อาจไม่หลบฉากมาดื่มกับท่านสักจอกก่อน คุยระบายความอัดอั้นกันสักหน่อย ฮาๆ! มา! ดื่มหมดจอก!”
เขารินสุราอีกสองจอก ในใจทั้งสองหลากอารมณ์ความรู้สึก เรื่องที่สนทนาก็ล้วนเป็นเรื่องสงครามระหว่างสองแดน ไม่ว่าหลัวโหวจี้ตูปลอบใจเช่นไร ไป๋ตี้ก็ยังขมวดคิ้วกลัดกลุ้มไม่คลาย
อู๋จือฉีเคยบอกว่า ตอนนั้นแดนอสูรเปิดศึกกับแดนสวรรค์ อสูรพวกนั้นล้วนเป็นนักรบเก่งกล้าสามารถ เทียบกับเทพเซียนแดนสวรรค์ที่รู้แต่เรื่องหลบเร้นกายเพื่อแสวงหาความสงบทั้งวัน แน่นอนย่อมไม่ใช่ระดับเดียวกัน แดนสวรรค์ถูกโจมตีกระหน่ำจนน่าอนาถมาก…สำหรับจะน่าอนาถอย่างไร ผู้ใดก็ไม่รู้ ต่อมาปรากฏเทพสงครามขึ้น แดนสวรรค์จึงได้พักหายใจกันได้บ้าง กลับเป็นฝ่ายอสูรที่น่าอนาถแทน
เสวียนจีเห็นทั้งสองยิ่งดื่มก็ยิ่งมาก หลัวโหวจี้ตูเริ่มเมาได้แปดส่วน วาจาก็เริ่มอู้อี้ไม่เป็นวาจา ไป๋ตี้น่าจะเพราะกลัดกลุ้ม จึงยังมีสติกว่าสักหน่อย ไม่รู้คิดอะไร อยู่ๆ เขาก็ยิ้มกล่าวว่า “หากว่าพี่จี้ตูเป็นคนแดนสวรรค์ข้าก็คงดี ด้วยความกล้าหาญของพี่ พวกอสูรนั้นแม้มาทั้งกองทัพนับพัน พวกข้าไหนเลยจะต้องหวาดกลัว”
วาจานี้ย่อมเป็นวาจาล้อเล่น วาจายามเมาสุรา หากเป็นยามปกติกล่าวเช่นนี้ เกรงว่าในใจหลัวโหวจี้ตูคงนิ่งเป็นนาน แต่ในยามนี้เขาเมาจนเลอะเลือนไปหมดแล้ว ไม่เพียงไม่โมโห ยังถึงกับหัวเราะดังขึ้น ยกจอกสุราขึ้นกล่าวน้ำเสียวกังวานก้องว่า “ความคิดท่านนี้ยอดเยี่ยมมาก! น่าเสียดายที่ข้าเกิดมาก็ร่างกายบึกบึนกำยำ มิได้อรชรบอบบางงดงามเช่นชาวแดนสวรรค์ท่าน ไม่เช่นนั้น ข้าก็ย่อมช่วยท่านสักแรงเป็นอย่างไร?!”