ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 26 ผลึกแก้วหลิวหลี (6)
หลัวโหวจี้ตูไม่เคยคิดเลยว่า วาจาล้อเล่นหลังเมาสุราจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตเขาตลอดไป
พอทั้งสองดื่มกันเมามายก็กลับที่พักตนเอง คืนนั้นไป๋ตี้เอาแต่นอนคิดไปมา แนวหน้าส่งข่าวการรบพ่ายแพ้มาไม่หยุด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าไม่ถึงหนึ่งเดือน ทั้งแดนสวรรค์คงถูกเหล่าอสูรกลืนกิน ความกว้างของแม่น้ำรั่วสุ่ยที่แม้นขนห่านก็จมลงนั้นเดิมเป็นเส้นแบ่งเขตแดนสวรรค์กับแดนอสูร แต่ไม่อาจขวางกั้นการโจมตีดุเดือดของพวกเขาได้
เมื่อไป๋ตี้รู้ว่าพวกอสูรข้ามแม่น้ำมาด้วยเรือไม้ลำบางไร้พื้นเรือเช่นนี้ ก็อดหลั่งเหงื่อเย็นท่วมตัวไม่ได้
วิธีนี้เขาบอกหลัวโหวจี้ตูไปแค่คนเดียว ยังกำชับมั่นเหมาะว่าห้ามพูดออกไป เพราะแดนอสูรแต่ไรมาก็เป็นแดนที่แดนสวรรค์หวาดหวั่น ดีที่มีแม่น้ำขวางกั้นไว้ ทำให้พวกเขาไม่อาจข้ามมาได้ดังใจหวัง
ไป๋ตี้คบหาสนิทสนมกับหลัวโหวจี้ตูด้วยความจริงใจ มักจะนัดกันลงไปดื่มสุราในแดนมนุษย์ แต่หลัวโหวจี้ตูเป็นอสูร แปลงกายเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ค่อยเหมือน หากไป๋ตี้เองก็ไม่อาจไปแดนอสูรพบเขาได้ เขาไปที่นั่นก็เท่ากับแพะเข้าถ้ำเสือ ดีที่หลัวโหวจี้ตูไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ พอรู้วิธีข้ามแม่น้ำ ทั้งสองจึงได้นัดดื่มสุราสนทนากันที่ศาลาแห่งนี้ ก็นับว่าเป็นเรื่องสำราญเบิกบานใจ
ตอนนี้วิธีนี้กลับถูกเปิดเผยออกไป บรรดาอสูรล้วนรู้กันทั่ว สติสัมปชัญญะไป๋ตี้บอกตนเองว่าไม่ควรสงสัยในหลัวโหวจี้ตู แต่ในความรู้สึกนั้นก็มั่นใจไปแล้วว่าเขาเป็นคนหลุดพูดออกไป ไม่ว่าอย่างไร อีกฝ่ายก็เป็นอสูร ที่กล่าวว่าไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันก็ย่อมมีใจที่ยากแท้หยั่ง ภายนอกอาจคบหาเป็นสหาย แต่ผู้ใดจะรู้ว่าในใจเขาคิดเช่นไร แผนการการขยายดินแดนยิ่งใหญ่นี้ ความรู้สึกส่วนบุคคลย่อมเล็กยิ่งกว่ามดตัวน้อย
ไป๋ตี้เอาแต่เตือนตนเองว่าไม่ควรคิดเช่นนี้ แต่ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็ย่อมราวกับโรคร้ายลุกลามไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเขาแทบจะฟันธงในใจไปแล้วว่าเป็นหลัวโหวจี้ตูพูดออกไป
เขาเริ่มคิดอยากเป็นใหญ่! เขาคิดจะฮุบกลืนแดนสวรรค์!
พอไป๋ตี้คิดถึงตรงนี้ ยามนั้นเหงื่อเย็นก็หลั่งท่วมแผ่นหลัง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจนั่งรอดูหายนะเกิดขึ้น ต้องหาทางออกให้ได้ ราชันสวรรค์เองไม่สนพระทัยกับการรุกรานของแดนอสูรสักเท่าไร เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเหตุต้นผลกรรมเสียมากกว่า แต่ไป๋ตี้ไม่อาจเชื่อเรื่องเหตุต้นผลกรรมอย่างแท้จริงได้ หรือว่าจะนั่งมองดูพวกอสูรบุกมาสังหารกวาดล้างแดนสวรรค์สิ้นซากกัน
ตอนแนวหน้าส่งข่าวมาก็เห็นสีหน้าเขาแปลกประหลาด บัดเดี๋ยวซีดบัดเดี๋ยวคล้ำ ก็อดตระหนกตกใจไม่ได้ ลองเอ่ยถามว่า “ไป๋ตี้มีรับสั่งใด”
เขาอึ้งไปนาน หน้าผากผุดเหงื่อเย็นขึ้นมา สุดท้ายฝืนตอบไปว่า “เจ้าไป…แอบสืบมาหน่อยว่า ผู้ใดเผยเรื่องวิธีข้ามแม่น้ำออกไป” อย่างน้อยกำจัดจากแดนสวรรค์เราก่อน อาจเป็นเซียนแดนสวรรค์ไม่ทันระวังหลุดพูดออกไปให้พวกอสูรล่วงรู้
สายสืบรับบัญชารีบออกไปทันที ไป๋ตี้ไม่อาจข่มตานอนหลับสนิทได้อีก ในสมองเต็มไปด้วยหลัวโหวจี้ตู เขาคิดฮุบกลืนแดนสวรรค์ เขาคิดเป็นใหญ่ จากนั้นก็ไม่อาจสงบจิตลงได้แม้แต่วินาทีเดียว
หลัวโหวจี้ตูเป็นวีรบุรุษแห่งแดนอสูร ที่นั่นป่าเถื่อนไร้การขัดเกลาจิต พวกอสูรวันๆ คิดแต่ต่อยตีและรุกราน ชอบรวมกลุ่มกัน รวมกันได้ก็รวม รวมไม่ได้ก็แยก ไม่เหมือนแดนสวรรค์ที่มีธรรมเนียมลำดับอาวุโส สำหรับพวกเขาแล้วผู้ใดเข้มแข็งผู้นั้นเป็นวีรบุรุษ เป็นพวกยังไม่ได้การขัดเกลาจิต สู้มนุษย์ธรรมดายังไม่ได้
ทว่าในรอบพันหมื่นปีกลับปรากฏบุคคลเช่นหลัวโหวจี้ตูผู้เก่งกล้าสามารถและมีปัญญาผู้นี้ขึ้นมาได้ ย่อมเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ หากเขาช่วยพวกตนเองรุกรานแดนสวรรค์ แดนสวรรค์ก็คงมีแต่ตายสถานเดียว
คิ้วไป๋ตี้ขมวดแน่น รู้สึกเพียงแค่ในใจสับสน ไม่รู้เพราะอะไร ในสมองอยู่ๆ คิดถึงแต่วันนั้นที่ได้ร่วมดื่มสุราและสนทนากับหลัวโหวจี้ตู เขายิ้มกล่าวว่าหากหลัวโหวจี้ตูเป็นชาวแดนสวรรค์ เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องกังวลแล้ว คำตอบหลัวโหวจี้ตูทำให้ในตาเขาเปล่งประกายสว่างวาบ จากนั้นก็คิดว่าวิธีนี้ไม่อาจทำได้ ต่อมาจึงได้แต่ละทิ้งความคิดนี้ไป
แต่ยามนี้เขาราวกับมารแทรกจิต ในสมองเอาแต่คิดว่าจะทำให้เขากลายเป็นชาวแดนสวรรค์ได้อย่างไรโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ภาษิตกล่าวได้ดี เจ้าไร้คุณธรรม ข้าก็ไร้คุณธรรมตอบ เขามั่นใจว่าเป็นหลัวโหวจี้ตูทรยศก่อน เช่นนั้นไม่ว่าตนเองทำอะไรก็ย่อมไม่นับว่าผิด ถึงกับไม่ยอมคิดว่าความลับนั้นไม่ใช่เขาเป็นคนพูดออกไป น่าจะด้วยเหตุเช่นนี้ที่ทำให้เขาถึงกับหวังว่าความลับนั้นเป็นหลัวโหวจี้ตูหลุดเผยออกไป เช่นนี้เขาจึงจะยกธงตอบโต้คืนได้อย่างสมเหตุสมผล ให้เขาได้มารับใช้แดนสวรรค์ ตนเองก็ไม่ต้องรู้สึกผิด
หลายปีต่อมาเขาย้อนนึกถึงตนเองตอนนั้น รู้สึกเพียงแค่จิตมารครอบงำ ตกหลุมแห่งจิตมาร เพื่อสิ่งที่เขาเรียกว่าคุณธรรม เขาถึงกับละทิ้งอนาคตของคนๆ หนึ่งไป เขาเองก็เคยลองคิดปลอบใจตนเองว่าที่ทำนี้ก็เพื่อความสงบสุขแห่งสรรพชีวิตบนแดนสวรรค์ เสียสละอสูรตนเดียว แลกกับความสงบสุขยาวนาน การเสียสละนี้ย่อมคุ้มค่ามาก
แต่ทว่าไม่ว่าสรรพชีวิตใด ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะให้ผู้อื่นอยู่ก็ไม่ได้ตายก็ไม่ได้ นับประสาอันใดกับการใช้การตายของชีวิตหนึ่งมาแลกกับความสงบสุขยาวนาน และการเสียสละของคนผู้นั้น คนผู้นั้นยังถึงกับไม่รู้อะไรแม้แต่นิด
ไม่ผิด เขาหลอกลวงหลัวโหวจี้ตู หลัวโหวจี้ตูไม่มีวันคิดว่าพี่น้องที่ตนเองไว้ใจในคืนนั้นจะมีความคิดน่ากลัวมากมายเพียงใด ทุกความคิดล้วนต้องการจัดการเขาให้สิ้น
ไป๋ตี้นั่งนิ่งเหม่อลอยทั้งคืน จนกระทั่งผนึกสีทองบนหลังมือเต้นไม่หยุด เขาจึงได้รู้ตัวว่าหลัวโหวจี้ตูติดต่อเขามา เขาหลั่งเหงื่อเย็นท่วมกายอย่างไม่อาจระงับ
เขาต้องลงมือก่อนจึงได้เปรียบ! ไป๋ตี้พลันโดดลงจากเตียง ผลักประตูออกไป นอกประตูมีข้ารับใช้รออยู่มากมาย ยังมีขุนพลเทพที่เฝ้าแดนสวรรค์ขอไปออกไปรบแนวหน้ามากมาย พอทุกคนเห็นเขาก็ไม่กล่าวอันใด บางทีพวกเขาแต่ไรมาก็ไม่เคยได้เห็นสภาพดูไม่เข้าทีเช่นนี้ของไป๋ตี้ ผมยุ่ง เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย พวกเขาได้แต่มองเขาเงียบๆ
ความรับผิดชอบทั้งแดนสวรรค์อยู่บนบ่าเขาคนเดียว สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา เต็มไปด้วยความหวังและเป็นที่พึ่ง ไป๋ตี้ต้องมีวิธี! พวกอสูรบุกรุกรานมาไม่หยุด แต่ไป๋ตี้ต้องมีวิธี สายตาพวกเขาบอกเขาเช่นนี้
ในใจไป๋ตี้หัวเราะฝืดเฝื่อน พริบตาเขาแทบอยากจะตะโกนดังๆ ออกมา วิ่งไปร้องไห้หน้าบัลลังก์มังกรราชันสวรรค์ แต่เขาได้แต่เม้มปากเล็กน้อย กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เรามีธุระต้องออกไปสักครู่ ทุกท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ไม่อาจวู่วาม”
เขาจากตำหนักไปด้วยท่าทีเฉยชาไร้ความรู้สึก ไปยังศาลาพักร้อนที่ปกตินัดพบกับหลัวโหวจี้ตู ในใจเขาเก็บซ่อนความลับยิ่งใหญ่อันหนึ่งเอาไว้ แต่สีหน้ากลับเก็บงำมิดชิด นี่ก็คือนิสัยไป๋ตี้ พอตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว ไม่ว่าถูกหรือผิด เขาก็จะทำให้ดีที่สุด และไม่คำนึงถึงผลที่จะตามอย่างเด็ดขาด บางทีเป็นนิสัยสุขุมที่ติดตัวมา ทำให้เขาดำรงตำแหน่งไป๋ตี้ดูแลทิศตะวันออกนี้ได้ ผู้คนต่างชื่นชม
หลัวโหวจี้ตูมารออยู่ในศาลานานแล้ว พอเห็นเขามาถึงก็รีบกวักมือเรียก “มาช้าจริง! ข้ายังคิดว่าท่านติดธุระ วันนี้มาไม่ได้แล้ว”
ไป๋ตี้ยิ้มสบายอารมณ์ กล่าวว่า “พอดีข้ามีธุระ พี่จี้ตูเชิญมา จะกล้าไม่มาได้อย่างไร”
เขาเดินเข้าไปในศาลา อยู่ๆ ก็เห็นว่าใต้ฝ่าเท้าหลัวโหวจี้ตูเหยียบคนผู้หนึ่งเอาไว้ คนผู้นั้นอยู่ในชุดเขียว ดูหน้าตารูปร่างแล้วก็รู้ว่าเป็นชาวแดนสวรรค์ คิดว่าถูกเขาจัดการไปยกหนึ่ง ยามนี้หน้าตาดำคล้ำสลบไปแล้ว ไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีก
เขาสีหน้าแปรเปลี่ยนหลุดร้องออกมาว่า “ทำอะไร!”
หลัวโหวจี้ตูหัวเราะเบาๆ ใช้เท้าเขี่ยคนผู้นั้นพลิกขึ้น กล่าวว่า “เมื่อวานข้าได้ยินพวกอสูรคุยกันเรื่องวิธีการข้ามแม่น้ำรั่วสุ่ยก็ตกใจมาก สอบถามพวกเขาว่ารู้มาได้อย่างไร ที่แท้พวกเขาจับคนผู้นี้มาเป็นเชลยได้ ผู้ใดจะคิดว่าเขารักตัวกลัวตาย พอทุกคนรับปากว่าวันหน้าหลังโจมตีแดนสวรรค์พ่ายก็จะไม่สังหารเขาเด็ดขาด เขาจึงได้บอกวิธีการข้ามแม่น้ำออกมาหมด ข้าคิดว่าคนทรยศเช่นนี้ทิ้งไว้ย่อมเป็นหายนะใหญ่ จึงได้แอบนัดเขาออกมาลงมือจัดการ แต่อย่างไรก็เป็นชาวแดนสวรรค์ ข้าไม่อยากสังหารเขาตามอำเภอใจ จึงได้นำมามอบให้ท่านจัดการลงโทษ”
“อ้อ? ที่แท้เป็นเช่นนี้” ไป๋ตี้ก้มหน้าลงมองคนผู้นั้น ดูออกทันทีว่าเป็นเทพเฝ้าสวนบุปผาตะวันตกผู้นั้น สวนบุปผาใกล้แดนอสูรเป็นที่โดนโจมตีก่อน เขาถูกจับไปย่อมเป็นเรื่องปกติ
ไป๋ตี้ยิ้มเล็กน้อย ดึงเอากาและจอกสุราออกมาจากแขนเสื้อ รินสองจอกส่งให้หลัวโหวจี้ตูจอกหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ขอบคุณพี่จี้ตู! ช่วยแดนสวรรค์ข้าจับคนทรยศ อัปยศยิ่ง”
สีหน้าหลัวโหวจี้ตูอยู่ๆ พลันแดง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้า…จริงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร มักจะให้ท่านเลี้ยงสุราอยู่ประจำ ข้าเองก็เกรงใจอยู่”
ไป๋ตี้ยิ้มกล่าวว่า “ท่านและข้าล้วนพี่น้องกัน กล่าวเช่นนี้ราวเห็นเป็นอื่นไป พี่จี้ตู ข้าดื่มให้ท่านหนึ่งจอก”
หลัวโหวจี้ตูยกจอกสุราขึ้นท่าทางระมัดระวัง จิบไปคำหนึ่ง อยู่ๆ แค่นหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่งกล่าวว่า “ข้ามาวันนี้ นอกจากนำคนทรยศมามอบให้แล้วยังมีเรื่องมาบอกท่าน แต่ไรมาท่านก็เป็นคนใจกว้างไม่ถือสา คิดว่าคงไม่หัวเราะเยาะข้า”
ไป๋ตี้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกล่าวว่า “พี่จี้ตูเห็นข้าเป็นคนอื่นไปแล้ว มีเรื่องอะไรเชิญกล่าวมาได้เลย”
หลัวโหวจี้ตูเสียงแหบกล่าวว่า “ทำไมท่านเอาแต่เรียกข้าว่าพี่จี้ตู? หรือข้าดูแล้วอายุมากกว่าท่านมาก?”
ไป๋ตี้ตะลึงไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามคำถามตรงๆ เช่นนี้ ลังเลครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า “เป็นคำเรียกยกย่องตามมารยาทของข้า…ไม่ได้คิดเป็นอื่น…หากท่านไม่ชอบ วันหน้าข้าก็เปลี่ยนมาเรียกท่านว่าจี้ตูก็ย่อมได้”
หลัวโหวจี้ตูแค่นหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง ราวกับพึงใจกับคำเรียกขานนี้มาก เงียบไปเป็นนาน กล่าวอีกว่า “พวกอสูรเราไม่มีแบ่งแยกหยินหยางชายหญิง หากมีใจต่อกันก็เลือกเองได้ สตรีแดนอสูรรูปโฉมงดงาม…ท่านน่าจะเคยได้ยินมา”
ไป๋ตี้ได้ยินเขาเอาแต่พร่ำบ่นว่าวาจาเหลวไหล ในใจก็ทนไม่ไหวและไม่คิดสนใจนานแล้ว ได้แต่ยิ้มตอบเล็กน้อย หลัวโหวจี้ตูเห็นเขาเหมือนไม่เชื่อ จึงกล่าวอีกว่า “ข้าเองก็เลือกได้ หากเป็นชาย เช่นนั้นรูปโฉมร่างกายก็ย่อมไม่เปลี่ยนแปลง หากเป็นหญิง อีกสี่สิบเก้าวันก็จะเปลี่ยนรูปโฉมร่างกาย…ถึงตอนนั้นท่านยังเรียกขานเป็นพี่น้องกับข้าอีกไหม”
ในใจไป๋ตี้สับสน หัวเราะตอบว่า “ถึงตอนนั้นเรียกจี้ตูว่าน้องสาวก็ย่อมได้”
หลัวโหวจี้ตูหัวเราะก้องดังลั่น ลุกขึ้นกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าไปก่อน อีกสี่สิบเก้าวัน ข้าย่อมมาที่ศาลานี้อีก ข้าจะมาพบท่านด้วยชีวิตใหม่”
ไป๋ตี้คิดไม่ถึงเขาบอกว่าจะไปก็จะไป พลันร้อนใจกล่าวว่า “อีกสี่สิบเก้าวัน แดนสวรรค์ก็จะประสบเหตุหายนะสิ้น! เป็นตายไม่อาจคาดเดา จะรับปากว่ามาดื่มสุราที่นี่อีกได้อย่างไร?!”
หลัวโหวจี้ตูตะลึงงัน หันกลับไปเห็นไป๋ตี้สีหน้าอึมครึม ท่าทางเหมือนมีความในใจอัดแน่น ก็เข้าใจว่าวาจาก่อนหน้าเขาย่อมไม่ทันได้ฟังเข้าใจ เขาถอนหายใจกล่าวว่า “ท่านไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกับท่าน ก็ย่อมช่วยท่าน”
ไป๋ตี้เสียงเย็นชากล่าวว่า “ท่านจะช่วยได้อย่างไร อย่าบอกว่าจะใช้วาจาเกลี้ยกล่อม? อสูรล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยังมิได้ขัดเกลา ท่านจะเกลี้ยกล่อมได้เพียงใด”
หลัวโหวจี้ตูแอบเริ่มโมโห กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ไยท่านต้องบีบคั้น! ท่านอยากให้ข้าเกลี้ยกล่อมเช่นไร”
ไป๋ตี้เงียบไปนาน ไม่กล่าวอันใด บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบสงัดอึดอัด ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร อยู่ๆ เขาก็เงยหน้ายิ้มให้หลัวโหวจี้ตูเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนโยนถามว่า “จี้ตู ท่านยังจำตอนที่ดื่มสุราครั้งก่อน ท่านเคยกล่าวอะไรไว้ได้ไหม”
หลัวโหวจี้ตูตะลึงงันอีกครา ครั้งก่อนเขาดื่มมากไป พูดอะไรมากมายกับอีกฝ่ายไปบ้างก็ไม่รู้ ไหนเลยเขาจะยังจำทุกคำพูดได้
ไป๋ตี้กล่าวเนิบนาบไม่รีบร้อนว่า “จี้ตูรับปากข้า หากช่วยแดนสวรรค์ได้ก็ยินยอมช่วย บุญคุณนี้ยิ่งใหญ่ดังขุนเขา ข้าย่อมไม่มีวันลืมเลือนตลอดไป จักจดจำสลักลึกในใจตลอดไป”
สุดท้ายหลัวโหวจี้ตูตะลึงงัน จากนั้นก็เห็นแขนเสื้อไป๋ตี้สะบัดลมหนึ่งวูบออกมา เบื้องหน้ามีกลีบดอกไม้มากมายนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมา กลิ่นหอมกรุ่นกำจาย ในใจเขาขมวดตึง สุดท้ายยังแทบไม่อยากจะเชื่อ อึ้งมองชายหนุ่มหน้าตาสง่างาม ใบหน้านิ่งสงบราวสายน้ำ ไม่อาจมองทะลุถึงความในใจได้แม้แต่น้อย
กลีบดอกไม้ร่วงหล่นลงทับถม ราวกับกำลังจะฝังเขาไว้ในจุดที่ลึกที่สุด ร่างใหญ่ของหลัวโหวจี้ตูล้มตึงลงนอนแผ่สลบหลับไปราวกับตาย
ไป๋ตี้คว้าคอเสื้อเขายกขึ้น มองดูอยู่เป็นนาน สีหน้าอยู่ๆ พลันเผยรอยยิ้มประหลาด ทั้งยินดี ทั้งไม่แน่ใจ เหมือนว่าน้ำตาแทบจะไหลออกมา