ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 27 ผลึกแก้วหลิวหลี (7)
รอยยิ้มนั้นทำเอาเสวียนจีที่มองอยู่ถึงกับขนลุกชันไปทั้งตัว ราวกับถูกน้ำเย็นราดตั้งแต่หัวจรดเท้า แทบจะวิ่งหนีออกไปอย่างบ้าคลั่ง ในหูได้ยินเสียงราชันสวรรค์ดังขึ้น “ท่านแม่ทัพ…” นางเหมือนถูกเข็มแทงนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องดัง “ข้าไม่อยากดูแล้ว! ไม่อยากดูแล้ว!”
กล่าวจบ สองเข่าก็อ่อนยวบลงพับกับพื้นไร้สิ้นเรี่ยวแรง รู้สึกเพียงแค่สองมือสั่นเทาไม่หยุด เบื้องหน้าเห็นเพียงฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อราวกับเปียกฝน สิบนิ้วถึงกับไม่อาจกำมือได้ นางพยายามใช้มืดปิดหน้า หยาดเหงื่อและน้ำตาปนกันไปหมด ไหลเปื้อนมายังริมฝีปาก ขมจนลำคอเกร็งแน่น
นี่คือสิ่งที่ไป๋ตี้กล่าวว่า “นางเป็นคนเสนอตัวเองว่าจะช่วยแดนสวรรค์” เห็นชัดว่าเป็นวาจายามเมาสุรา เขาถึงกับเก็บมาใส่ใจ เห็นชัดว่าเป็นคนจิตใจลึกจนไม่อาจหยั่งถึง คนผู้นี้จิตใจโหดร้าย ลงมือโหดเหี้ยม น่าหวาดกลัวจนขนหัวลุกยิ่ง
ราชันสวรรค์กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ตอนท่านแม่ทัพถูกไป๋ตี้นำกลับมาแดนสวรรค์ ก็มีคนนำเรื่องนี้รายงานเราทันที เราคิดว่าแดนสวรรค์มีความแค้นฝังลึกกับแดนอสูรมาถึงขั้นนี้ ไม่อาจมีหนทางไกล่เกลี่ยได้อีกแล้ว หากยังทำร้ายท่านแม่ทัพ เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่อาจแก้ไขได้อีกตลอดไป จึงสั่งให้ไป๋ตี้ส่งท่านกลับคืน เรื่องนี้เราเองก็ผิด ไม่ได้ดูแลแก้ไขด้วยตนเอง รอจนไป๋ตี้ทำไปจนสุดท้ายไม้กลายเป็นเรือแล้ว ก็สายไปเสียแล้ว”
เสวียนจีไม่กล่าวอันใด เอาแต่ตัวสั่นเทาไม่หยุด ไม่อาจควบคุมสติได้อีกต่อไป
ราชันสวรรค์เห็นสภาพเช่นนี้จึงได้ตรัสว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านแม่ทัพก็ตามข้ากลับแล้วกัน อย่าดูอีก”
เขากำลังจะปลดคาถา หากอยู่ๆ เสวียนจีก็กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่า…ข้า ข้าอยากดูต่อ วาจาเมื่อครู่…ถือว่าข้าไม่ได้พูด ข้าต้องการดู” นางปาดใบหน้าสองทีก่อนจะเงยหน้าขึ้น สีหน้าแดงสลับขาว ท่าทางแลดูน่าอนาถมาก ความโกรธแค้นฝังลึกก่อนหน้าเหมือนเริ่มหายไปเกินครึ่ง กลายเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวลึกๆ อยู่ภายใน
ภาพรอบๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เป็นห้องมืดๆ ไม่กว้างนัก บนโต๊ะมีเทียนริบหรี่วูบไหวเบาๆ บนกำแพงมีเงาดำที่ดูไม่เป็นรูปเป็นร่างค้างนิ่งไม่ขยับ มีแต่แสงเทียนที่วูบไหวเต้นกระตุก จึงจะวูบตามอย่างน่าประหลาด
มุมกำแพงมีโต๊ะยาวทำจากหินหยกขาวตัวหนึ่ง หลัวโหวจี้ตูนอนสงบนิ่งอยู่บนนั้น นอนหลับสนิทมาก มุมปากยังมีรอยยิ้มบางพึงใจ ไป๋ตี้ยกเทียนเข้าไปส่อง ในมือมีพู่กันจุ่มชาดแดงอยู่ด้ามหนึ่ง ค่อยๆ วาดบนร่างนาง ราวกับวาดเค้าโครงองค์เอว ตั้งใจวาดอย่างมาก จริงจังอย่างที่สุด
สติเสวียนจีกลับคืนสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง มองภาพนี้ด้วยอาการสงบเงียบ
มีเพียงความรู้สึกปวดปลาบที่ยากเอ่ย จี้ตูผู้น่าสงสารเริ่มริแรกรัก เพิ่งเอ่ยความในใจออกมาราวกับบุปผาเพิ่งจะเป็นแค่ดอกตูม ไม่ได้สัมผัสถึงความหวานล้ำอภิรมย์แห่งความรักเลย ร่างที่กำลังจะถูกถอดร่างเปลี่ยนโครงนั่น ยังไม่เคยลิ้มรสสัมผัสจากคนรักเลย กลับต้องมาเจอกับความโหดเหี้ยมเช่นนี้
หวังอยากให้นางนอนหลับเช่นนี้ตลอดไป อย่าตื่นขึ้นมาเลย คิดว่าในฝันคงไม่มีชายทรยศ และไม่มีคนทุรยศ ยิ่งไม่มีการสังหารอันโหดเหี้ยมเช่นนี้ สังหารหมดสิ้นทั้งเทพมาร ในฝันทุกอย่างล้วนงดงาม ทุกอย่างดีไปหมดเหมือนตอนแรกพบ
อยู่ๆ เปลือกตาเสวียนจีก็เต้นกระตุกทีหนึ่ง นางยกมือกดเอาไว้ตามสัญชาตญาณ เบื้องหน้าเหมือนมีดวงดาวเปล่งแสงระยิบ จากนั้นมืดดับลง ไป๋ตี้ชักมีดสั้นเล่มยาวออกมา ดูกะทัดรัดน่ารัก ค่อยๆ ปาดไปตามรอยสีชาดที่ร่างโครงเอาไว้ บรรจงปาดลงไป
นอกประตูพลันมีเสียงซอยเท้าวิ่งดังแว่วมา เขาชะงักการเคลื่อนไหว รีบถอดเสื้อคลุมสีขาวลงคลุมร่างอสูรบนโต๊ะไว้ ราวกับตอนเทพสงครามบุกแดนสวรรค์ เขาก็ถอดเสื้อคลุมให้นาง ย่อมคล่องแคล่วยิ่ง เขาวางมีดสั้นลง มองไปทางประตูที่เปิดออกอย่างเย็นชา เสียงฝีเท้านอกประตูเหมือนตรงมาที่นี่ ยังมีเสียงตะโกนเรียกร้อนใจดังผสมมาด้วย “ไป๋ตี้! ราชันสวรรค์มีพระบัญชา!”
ตามมาด้วยชายชุดดำวิ่งมาอย่างร้อนใจ อายุราวยี่สิบ หน้าตาหล่อเหลาองอาจ หน้าตาคุ้นมาก แต่ก่อนหน้าที่ถูกบรรดาเทพล้อมไว้หน้าประตูไคหมิง ไม่เห็นคนผู้นี้
ไป๋ตี้รอเขาเข้ามาก็รีบปิดประตูลง กล่าวว่า “พระบัญชาใด”
คนผู้นั้นกับเห็นโครงร่างบนโต๊ะมุมกำแพงหนึ่ง พอเห็นชัดว่าเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ก็สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ร้อนใจกล่าวว่า “ราชันสวรรค์มีบัญชา ให้ไป๋ตี้รีบส่งอสูรที่จับมาได้กลับคืน ห้ามทำร้าย” กล่าวจบ อยู่ๆ เขากล่าวอีกว่า “ไป๋ตี้ นั่น…คืออสูรที่ท่านจับมา?”
ไป๋ตี้โน้มกายลงรับบัญชาราชันสวรรค์เสร็จก็เงียบลง รอจนคนผู้นั้นถามจึงได้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ใช่”
คนผู้นั้นมีความหวาดกลัวสามส่วน อีกสามส่วนคือความอยากรู้อยากเห็น เข้าไปใกล้จ้องมองเป็นนาน ถามว่า “ไป๋ตี้…ข้า ข้าดูสักหน่อยได้ไหม”
ไป๋ตี้ยกมุมปากแย้มยิ้ม “ตอนนี้เต่าดำเสวียนอู่ก็ควรได้เวลาสู่สนามรบแล้ว ทำไม คิดรู้เขารู้เราหรือ”
ที่แท้ชายผู้นั้นก็คือเต่าดำเสวียนอู่ พี่ชายของเสือขาวที่ถูกอู๋จือฉีสังหาร เขาหน้าแดงกล่าวติดอ่างว่า “ข้าได้ยินมาว่า อสูรล้วนสามเศียรหกกร ทั่วร่างมีเปลวเพลิงลุกโชน น่ากลัวมาก ดังนั้น…อยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย”
ไป๋ตี้เดินมาริมโต๊ะ เปิดชุดขาวขึ้น กล่าวว่า “สามเศียรหกกรเป็นภาพตอนออกรบ พวกเขาในยามปกติก็แค่รูปร่างสูงใหญ่อัปลักษณ์ ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย”
เต่าดำเสวียนอู่ไม่คิดว่าเขานึกจะเผยก็เผยออกมา พลันมองเห็นหน้าตาหลัวโหวจี้ตูก็ตกใจผงะถอยไปหลายก้าว ก่อนจะคว้าเอากำแพงยันกายไว้ได้ ในใจตกใจมาก น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เขา…เขาคงไม่ตื่นมา?!”
ไป๋ตี้ไม่ตอบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถามขึ้นว่า “พระบัญชาราชันสวรรค์ให้ปล่อยอสูรตนนี้กลับไป?”
เต่าดำเสวียนอู่เริ่มใจกล้าแอบลอบมองอสูรบนโต๊ะ พลางรับคำว่า “ถูกต้อง ไม่ผิด ราชันสวรรค์ยังมีบัญชาให้รีบส่งกลับ อย่าได้ทำร้ายเขา ตรัสว่าหากใช้ความแค้นชำระแค้น ย่อมไม่มีวันสงบได้ตลอดไป สรรพชีวิตในหกแดน แดนสวรรค์สูงส่งสุดก็ด้วยอาศัยความไม่คิดแก่งแย่งกับผู้ใด ปกติมีชีวิตสงบราบเรียบ หากเพราะศึกสงครามเดียวทำให้ต้องสูญเสียความเป็นปกติดังที่เคยเป็นมา จึงจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างที่สุด”
ไป๋ตี้ยิ้มเยียบเย็นเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ใช้ความแค้นชำระแค้น ย่อมไม่มีวันสงบได้ตลอดไป หรือว่าจะให้แดนสวรรค์ใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้น ประสานมือยกชีวิตให้ไป จากนี้ก็สูญสลายสิ้น?”
เต่าดำเสวียนอู่รีบกล่าวว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่! ความหมายราชันสวรรค์ก็คืออย่าใช้การเข่นฆ่ามาโต้ตอบการเข่นฆ่า ต้องหลอมจิตพวกเขา! จะว่าไปพวกมังกรอิงหลงก็ออกรบแนวหน้าแล้ว พวกเราก็ไม่แน่ว่าจะแพ้ ไป๋ตี้อย่าได้ละทิ้งความหวังไปก่อน!”
ไป๋ตี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “โลกนี้หากมีสิ่งที่กล่อมจิตอสูรได้ เช่นนั้นแดนอสูรยังจะมีความจำเป็นต้องมีอยู่อีกหรือ! พวกเจ้าควรรู้ โลกนี้มีสิ่งที่ดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หากไม่ใช้กำลังตอบโต้คืนก็ย่อมไม่รู้จักถอยตลอดไป แดนสวรรค์สูงส่งกว่าหกแดน ไยจึงยอมให้คนอื่นมารังแกได้! หากไม่ให้พวกเขาได้รู้ความร้ายกาจ จะมาพูดเรื่องกล่อมจิตได้อย่างไร!”
เต่าดำเสวียนอู่เห็นสีหน้าเขาแปลกไป ก็อดนึกหวาดกลัวไม่ได้ กำลังคิดหาทางขอตัวออกไปอย่างไรดี พลันได้ยินไป๋ตี้กล่าวอีกว่า “แดนสวรรค์เรากว้างใหญ่ไพศาล ชาวเรารักสงบ ไม่ถนัดการรบ ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่พ่ายแพ้ ข้าคิดหนักอยู่หลายวัน ในที่สุดก็คิดวิธีการแยบยลอันหนึ่งได้ ไม่ทำให้สูญเสียทหารและแม่ทัพสักคน ก็ขับไล่อสูรออกไปได้”
เต่าดำเสวียนอู่ทั้งตกใจและดีใจ รีบถามว่าวิธีอะไร ไป๋ตี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อสูรนี้ชื่อว่าหลัวโหวจี้ตู เป็นวีรบุรุษแห่งแดนอสูร มีความสามารถสะเทือนฟ้าดิน ข้าอยากนำเขามาสร้างใหม่ ให้มีชีวิตใหม่ จากนี้ก็จะเป็นกำลังสำคัญแห่งแดนสวรรค์เรา”
เต่าดำเสวียนอู่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นวิธีการนี้ ไม่รู้ว่าควรยินดีหรือหวาดกลัว นิ่งไปเป็นนานก่อนจะลังเลกล่าวว่า “แต่…เขาเป็นอสูร! ท่านจะสร้างใหม่ให้เขามาเป็นกำลังแห่งแดนสวรรค์? นับประสาอันใดกับราชันสวรรค์ก็ทรงมาบัญชาให้ท่านปล่อยเขาทันที…เรื่องนี้…ควรรายงานต่อราชันสวรรค์ดีกว่าไหม”
สีหน้าไป๋ตี้แปรเปลี่ยน พลันยกมือขึ้น ฝ่ามือมีมีดสั้นยาวราวฉื่อกว่าส่องประกายคมกริบ ตามมาด้วยตวัดลงทันที ได้ยินเสียง ฉับ ดัง ศีรษะอสูรถูกเขาตัดขาดสะบั้นด้วยกมีดเดียวกลิ้งร่วงลงพื้น สองตาราวกับกะพริบปริบๆ ตามมาด้วยหลับตาลงไม่ไหวติง
เลือดสดพุ่งกระจายเปื้อนเพดานห้องเป็นดวงด่างไปหมด เต่าดำเสวียนอู่ตกใจจนเข่าอ่อนยวบ ลืมไปสิ้นว่าควรกล่าวอันใด
ไป๋ตี้เช็ดมีดสั้นกับชุดขาวทีหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ข้าย่อมมีวิธีที่ไร้ที่ติ เจ้าอยู่ดูต่อสิ ไว้ค่อยไปรายงานราชันสวรรค์ว่าแดนสวรรค์มีมาเพิ่มอีกท่านหนึ่ง…อืม เรียกนางว่าเทพสงครามแล้วกัน! เทพสงครามมีความสามารถเทียมฟ้า ไว้ใช้รับมืออสูร เป็นแผนการสุดยอดจริงๆ!”
เต่าดำเสวียนอู่ไหนเลยจะพูดอะไรออกมาได้อีก ตัวสั่นเทาหลับตาแน่นไปหลบอยู่มุมห้อง ไม่กล้าแม้แต่จะมอง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร พลันได้ยินไป๋ตี้กล่าวอีกว่า “จิตอสูรที่แท้เป็นเช่นนี้ รวมกับจิตญาณ มิน่าจึงได้มีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้”
ในใจเขาอยากรู้ จึงได้ลืมตาลอบมอง เห็นมือไป๋ตี้ประคองสิ่งหนึ่งที่มีสีสันเอาไว้ ลูกไฟลุกโชนโลดเต้น งดงามดึงดูดสายตามาก
ไป๋ตี้วางมันลงบนโถผลึกแก้วหลิวหลีบนโต๊ะ บรรจุลูกไฟนั่นลงไป ไม่นานลูกไฟนั่นก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไป ออกมาไม่ได้อีก ไป๋ตี้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ดี! หากสร้างเพียงร่างใหม่ให้นาง คนไร้ใจจะทำงานได้อย่างไร!”
เขาขมวดคิ้วยกโถผลึกแก้วหลิวหลีขึ้นจ้องมองเป็นนาน ไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่น้อย ยามนี้ลูกไฟพลันปะทุกระจาย ในห้องพลันสว่างวาบ ใต้แสงตะเกียงรู้สึกเพียงแค่โถผลึกแก้วหลิวหลีมีแสงหมุนวนที่ไม่อาจอธิบายได้ ไป๋ตี้พลันคิดอะไรออกมาได้ หันกลับไปมองร่างอสูรที่ไม่เต็มสมบูรณ์ ยิ้มกล่าวว่า “สภาพเช่นนี้น่าเกลียดจริง ในเมื่อเจ้าจะเป็นหญิง ไยไม่เป็นดังสาวงามผลึกแก้วหลิวหลี?”
เขาเงยหน้ามองไปรอบห้อง มองเห็นชั้นหนังสือมีตุ๊กตาผลึกแก้วหลิวหลี เป็นใบหน้าแบบท่านอาตน ผู้มีรูปโฉมงดงาม แววตาเฉลียวฉลาด ท่าทางนิ่งสุขุม งดงามอย่างที่สุด เขานึกถึงเรื่องในอดีตที่ริมแม่น้ำ อดทอดถอนใจไม่ได้ หันกลับไปออกคำสั่งว่า “เจ้าไปเอาตุ๊กตาผลึกแก้วหลิวหลีนั่นมา ระวังหน่อย อย่าให้ตกพื้น”
เต่าดำเสวียนอู่ลนลานไปที่ชั้นหนังสือ ประคองตุ๊กตามาอย่างระมัดระวัง น้ำเสียงสั่นถามว่า “ไป๋ตี้…วันหน้าจะรายงานต่อราชันสวรรค์อย่างไร นับประสาอันใดกับ…หากผลึกแก้วหลิวหลีเป็นร่าง ใช่ว่าพอแตะก็แตกหักหรือ”
ไป๋ตี้ยิ้มกล่าวว่า “เรามีพลังเทพ เจ้าไม่ต้องกังวล เอามานี่ วางตรงนี้”
เต่าดำเสวียนอู่รีบวางตุ๊กตาลงบนโต๊ะ ก้มหน้าลงมองพลันเห็นเลือดเต็มโต๊ะ ร่างอสูรอนาถจนไม่กล้ามอง ในใจอยู่ๆ พลันหนาวสั่นจนมือไม้อ่อน ได้ยินเสียง เพล้ง ดัง ตุ๊กตาผลึกแก้วหลิวหลีหลุดมือร่วงลงพื้นแตกละเอียดในทันที เขาตกใจจนขวัญผวา เข่าอ่อนลงคุกเข่าโขกศีรษะ พูดอะไรไม่ออกแม้สักคำ
ไป๋ตี้ถอนใจกล่าวว่า “ไม่ได้เรื่อง! จะให้ข้ากับราชันสวรรค์ไว้วางใจมอบแดนสวรรค์ให้พวกเจ้าได้อย่างไร!”
เขายกมือขึ้นตัดชิ้นส่วนหนึ่งจากโถผลึกแก้วหลิวหลี จิตอสูรหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโถผลึกแก้วหลิวหลี ส่วนที่ตัดออกมาใหญ่ราวกำปั้น สีสันสดใสงดงามอย่างที่สุด เขานำสิ่งนั้นวางรวมกับเศษตุ๊กตาผลึกแก้วหลิวหลี กล่าวอ่อนโยนว่า “จิตจี้ตูอยากเป็นหญิง ตอนนี้ข้าก็ช่วยให้ท่านได้สมหวัง วันหน้าร่วมเป็นร่วมตาย ไม่แยกจากกัน”
เขาใช้โถผลึกแก้วหลิวหลีเป็นจิต เศษตุ๊กตาผลึกแก้วหลิวหลีเป็นกาย ส่งพลังวัตรลงไป พลันในห้องก็มีแสงวาบที่สายตาสู้ไม่ได้ เต่าดำเสวียนอู่ยกมือปิดตา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงไป๋ตี้เอ่ยเบาๆ ว่า “เสร็จแล้ว! จากวันนี้ไป ก็เป็นสาวงามผลึกแก้วหลิวหลีแล้วกัน!”
เขาลืมตามองตะลึง เห็นเพียงสตรีร่างเปล่าเปลือยขดตัวอยู่ที่พื้น ผิวพรรณผุดผ่องราวหิมะขาว ดวงตาคิ้วดำขลับ กำลังนอนหลับสนิท ท่าทางนิ่งสงบงดงามอย่างที่สุด แต่ข้อต่อร่างกายล้วนมีรอยแผลเป็นแดงเป็นปื้น เพราะเขาพลั้งมือทำตุ๊กตาผลึกแก้วหลิวหลีแตก จึงไม่อาจเลี่ยงที่จะทำให้ความงามขาดเกินเช่นนี้ได้ เต่าดำเสวียนอู่อดมองอย่างตกตะลึงไม่ได้ ในใจสับสน ไม่รู้ควรคิดอย่างไรดี
ไป๋ตี้คว้าเอาชุดขาวมาคลุมร่างดรุณีน้อย ก้มหน้ามองอย่างละเอียดเป็นนานกว่าจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ชื่อหลัวโหวจี้ตู วันนี้ก็แยกเป็นสองส่วน เจ้าคือจี้ตู โถผลึกแก้วหลิวหลีคือหลัวโหว ขอเจ้าทุ่มเทเพื่อแดนสวรรค์ข้า ขับไล่ผู้บุกรุกออกไป ให้แดนสวรรค์คืนสู่ดินแดนแห่งความสงบอีกครา”