ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 28 ผลึกแก้วหลิวหลี (8)
ยามนี้จี้ตูเป็นลูกน้องไป๋ตี้แล้ว รับใช้ตามบัญชา ถึงกับไม่ต้องรายงานราชันสวรรค์ เต่าดำเสวียนอู่เกรงบารมีไป๋ตี้จึงไม่กล้าเปิดเผยออกไปแม้สักคำ ได้แต่เก็บกลั้นอยู่ในใจตนเอง ได้แต่ร่ำสุราดับทุกข์ในใจตน ดื่มไปก็พร่ำรำพันไป คาดว่าถูกลูกน้องได้ยินเข้าจึงได้แพร่กระจายข่าวลือนี้ออกไป
เรื่องเป็นไปดังที่ไป๋ตี้คาด จี้ตูฝีมือเก่งกล้ากลางสนามรบ บรรดาอสูรที่บีบจนเทพแดนสวรรค์จนมุมกลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจี้ตู หลังชัยชนะในสงครามแรก ไป๋ตี้ดีใจมาก ประทานเกราะทองคำและหมวกเกราะเมฆาม่วง และยังใช้วัตถุหายากที่หามาจากแม่น้ำสวรรค์หลอมเป็นกระบี่วิเศษขนาดวัดตามรูปร่างจี้ตูให้เทพสงคราม ตั้งชื่อว่าติ้งคุน
นี่คือการปรากฏตัวอย่างแปลกประหลาดของเทพสงคราม กลายเป็นขุนนางที่รักของไป๋ตี้อย่างมหัศจรรย์ นอกจากคนที่รู้ความลับแล้ว คนอื่นล้วนแต่ได้คาดเดาที่มาที่ไปของนาง กอปรกับข่าวลือที่แพร่มาจากเต่าดำเสวียนอู่ ไม่นานแดนสวรรค์ก็ตกอยู่ภายใต้ข่าวลือไปทั่ว มีคนว่านางเป็นสัตว์ประหลาดที่รวมพลังมารแห่งฟ้าดิน ไม่มีสติปัญญารับรู้ มีแต่คำว่าสังหาร หลังจากศึกอสูรแล้วต้องจับนางขังคุก ป้องกันแดนสวรรค์เดือดร้อน ยังมีคนจำใบหน้านางได้ว่าเหมือนกับเทพธิดาริมแม่น้ำสวรรค์ในวันวานที่กลายเป็นก้อนหิน จึงคิดว่าเทพธิดาได้รับรู้ภัยของแดนสวรรค์จึงแสดงปาฏิหาริย์มาช่วย ยังมีคนว่าเทพสงครามก็คือหุ่นเชิดสังหารที่ผู้มีอำนาจสูงส่งแดนสวรรค์สร้างขึ้นอย่างลับๆ ไม่มีจิตวิญญาณและความนึกคิด เอาไว้เพื่อแก้ไขเคราะห์ภัยจากอสูรครั้งนี้โดยเฉพาะ สรุปคือคำวิพากษ์วิจารณ์มากมาย หากมีคนใจกล้าพอจะไปถามไป๋ตี้ เขาก็จะเอาแต่ยิ้มไม่ตอบ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความลึกลับของเทพสงคราม
ในที่สุดข่าวลือก็ถึงขีดสุด ทำให้ราชันสวรรค์ตกพระทัย เรียกไป๋ตี้กับเทพสงครามเข้าเฝ้า
วันนั้นแสงอาทิตย์สาดส่องประกาย เกราะทองคำเทพสงครามเปล่งประกายแสงระยิบระยับ ไป๋ตี้ผูกเชือกหมวกเกราะเมฆาม่วงให้นาง ณ นอกตำหนัก เงยหน้ามองหน้านาง สีหน้านางไร้ความรู้สึกเหมือนปกติ นี่คือเทพสงครามที่เขาสร้างมากับมือ ใช้เลือดเนื้อและจิตวิญญาณพี่น้องที่สนิทชิดใกล้กับเขาที่สุดสร้างขึ้นเป็นคนเช่นนี้ ราวกับลูกที่เขาให้กำเนิด
“พบราชันสวรรค์ ไม่ต้องตื่นตกใจ คอยดูข้าไว้ก็พอ” เขาสั่งน้ำเสียงอ่อนโยน จริงๆ แล้วก็ไม่ได้หวังให้นางฟังเข้าใจ
นางราวกับหุ่นเชิดที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง อะไรก็ไม่รับรู้ ไม่กล่าวอันใดและไม่มีอารมณ์ความรู้สึก วันๆ เอาแต่พิงราวระเบียงเหม่อลอย ไม่รู้คิดเพ้อฝันอะไร บางครั้งแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ตกลงกระทบใบหน้านางส่องแสงบางอย่าง เกิดมุมหักเหสะท้อนแสงประหลาดหนึ่งออกมา ราวกับหลัวโหวจี้ตูฟื้นคืนชีพมาอยู่ในร่างสตรีผู้นี้ คิดเรื่องที่ไป๋ตี้ไม่มีวันเข้าใจ
ยามนี้สีหน้าท่าทางของนางตอนนั้นปรากฏอีกครั้ง สีหน้าเช่นนี้ทำเอาไป๋ตี้วุ่นวายใจ เขาไม่ชอบให้นางเผยสีหน้าเช่นนี้ ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวที่ไม่พึงใจเหล่านั้น เพื่อแผนการใหญ่แดนสวรรค์ เสียสละคนคนหนึ่งนับว่าคุ้มค่ามาก เขาคิดเช่นนี้มาตลอด
ตอนนี้ประตูใหญ่ก็เปิดออกแผ่วเบา ตำหนักเสินกงเงียบสงัดค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า เรื่องเทพสงครามไม่ว่าราชันสวรรค์จะทรงมีปฏิกิริยาเช่นไร ไป๋ตี้ก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่นึกเสียใจเด็ดขาด ไม่ว่าจะอย่างไร เท่ากับได้ช่วยให้แดนสวรรค์ผ่านเคราะห์นี้มาได้แล้ว ถึงจะลงโทษเขา เขาก็ยอมน้อมรับการสอนสั่งแล้วกัน
“เข้าไปเถอะ” เขาตบไหล่นางเบาๆ เดินนำนางเข้าไป
มือนางพลันคว้าแขนเสื้อเขาไว้ด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์ราวกับกลัวว่าเขาจะจากไป ตั้งแต่สตรีผู้นี้ถือกำเนิดขึ้นมาก็ไม่เคยมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ไป๋ตี้เองรู้สึกตกใจอยู่บ้าง หันกลับไปกุมมือนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “ทำไม ท่านกลัว?”
นางหลุบตาลง ปากแดงเผยอเล็กน้อย เสียงเบาแหบพร่าดังหงุงหงิงว่า “ในใจ…ตื่นตระหนก”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางกล่าวเช่นนี้ ไป๋ตี้ตกใจจนพูดไม่ออกอยู่เป็นนาน อึ้งมองใบหน้านาง ดวงตานางส่องประกายราวกับมีวาจามากมายนับพันหมื่นที่ทำเอาเขาขนลุกไปหมด นางกล่าวอีกว่า “ไม่คิดออกรบแล้ว ในใจสับสน” น้ำเสียงออดอ้อนอ่อนหวานทำเอาคนฟังได้แต่รู้สึกสงสาร
ไป๋ตี้สีหน้าเคร่งขรึม กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “หน้าที่เจ้าก็คือรักษาชายแดน แดนสวรรค์ไม่เลี้ยงคนไม่มีหน้าที่ ทุกคนล้วนมีหน้าที่ตนเอง ไม่อาจทำอะไรตามใจตนเอง!”
นางได้แต่เม้มปากไม่พูดอันใดอีก ไป๋ตี้มองดูอารมณ์นางอย่างละเอียด รู้สึกเพียงแค่ลึกจนไม่อาจคาดเดา ราวกับเข้าใจไม่กระจ่าง ยังราวกับแอบศึกษาเรียนรู้จนใกล้จะกระจ่าง ความตระหนักรู้ใกล้เปิดออกแล้ว ในใจเขายิ่งไม่ยินดี แต่ยามนี้ไม่อาจเสียเวลา ได้แต่นำนางไปเข้าเฝ้าราชันสวรรค์
ราชันสวรรค์มองปราดเดียวย่อมรู้ที่มาที่ไปแท้จริงของนางทันที แต่ไม่ได้กล่าวอันใดออกมากลางโถงประชุม ได้แต่ตรัสชื่นชม ต่อมานำทั้งสองไปยังห้องเล็ก ม่านหลายชั้นทิ้งตัวลงบัง ในห้องเงียบสงัดไร้เสียง มืดไร้แสง ราชันสวรรค์อยู่หลังม่านที่มองเห็นไม่ชัด เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “เจ้าบังอาจมาก”
ไป๋ตี้คุกเข่าลงทันที โขกศีรษะ เสียงกังวานกล่าวว่า “กระหม่อมเพียงคิดเพื่อแดนสวรรค์เท่านั้น! ย่อมรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความผิดมหันต์ ไม่กล้าร้องขออภัยโทษ แต่แดนสวรรค์มีแต่คนผู้นี้ที่จะต่อกรกับเหล่าอสูรได้ ขอราชันสวรรค์อย่าได้ลงโทษในตอนนี้!”
ราชันสวรรค์ไม่ได้พูดกับเขา แสงไฟหลังม่านสาดส่องใบหน้าสตรีตรงหน้า ครู่หนึ่งก็ตรัสอ่อนโยนว่า “เจ้าชื่ออะไร”
สตรีผู้นั้นส่ายหน้า ลังเลทูลว่า “เทพ…เทพสงคราม?”
ชื่อจี้ตู เป็นคำเรียกขานส่วนตัวไป๋ตี้ คนอื่นไม่รู้ นางเองก็ไม่รู้ เพราะนางรับมืออสูรสร้างความชอบ กล้าหาญชาญศึก ดังนั้นจึงสร้างชื่อเสียงและอำนาจบารมีให้กับไป๋ตี้ เขาเรียกนางต่อหน้าทุกคนว่าเทพสงคราม คำเรียกขานประหลาดนี้จึงได้ถูกนางนำมาใช้เป็นชื่อไป
ไป๋ตี้รีบคำกล่าวว่า “นางมีชื่อ ชื่อว่าจี้ตู”
สตรีผู้นั้นได้ยินชื่อว่าจี้ตู หัวคิ้วก็กระตุกเหมือนใคร่ครวญครุ่นคิด ราชันสวรรค์ตรัสสุรเสียงนุ่มนวลว่า “เทพสงครามกลับไปก่อน ไปพักผ่อนให้ดีๆ”
นางไม่รู้จักถวายคำนับ หันกายออกไปทันที
ในห้องตกอยู่ในสภาวะเงียบงันทำให้คนแทบลืมหายใจ หน้าผากไป๋ตี้หลั่งเหงื่อเย็นไม่หยุด ยิ่งไม่กล้าหายใจดัง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ราชันสวรรค์พลันถอนหายใจยาวตรัสว่า “เจ้า…ปิดบังข้าได้เยี่ยมมาก!”
ไป๋ตี้เอาแต่ก้มหน้า ไม่กล้าตอบสักคำ
ราชันสวรรค์กล่าวอีกว่า “ชื่อจี้ตูวันหน้าอย่าได้เอ่ยถึงอีก เรื่องถึงขั้นนี้ เป็นเคราะห์กรรมเจ้า และเป็นเคราะห์กรรมของนาง เราเห็นสตรีผู้นี้มีพรสวรรค์มาก ฉลาดหลักแหลม เกรงว่าชื่อในอดีตจะทำให้นางนึกถึงเรื่องราวอดีตขึ้นมาได้ ชื่อเทพสงครามนี้ก็พอแล้ว เราจะแต่งตั้งนางเป็นแม่ทัพ นำทหารหนึ่งหมื่นรักษาชายแดน ในเมื่อเจ้าทำให้นางกลายเป็นชาวแดนสวรรค์แล้วก็ต้องจริงใจกับนาง ไม่อาจรังแกลวงหลอกนาง หวังเพียงว่านางจะสำเร็จผลได้ในวันหน้า มีปัญญาบรรลุธรรม”
ไป๋ตี้ร้อนใจกล่าวว่า “ราชันสวรรค์โปรดอย่าให้นางได้นำกำลังทหาร!”
กล่าวจบก็ดึงโถผลึกแก้วหลิวหลีออกมา ก่อนจะเล่าเรื่องนำดวงจิตของหลัวโหวจี้ตูออกมาทำเช่นไรรอบหนึ่ง ทูลอีกว่า “ยามนี้นางเข้าใจอะไรไม่กระจ่าง แต่ก็ยากจะเลี่ยงว่าอาจจะตระหนักรู้ในเหตุต้นผลกรรมในวันหน้า หากให้นางนำกำลังทหาร ถึงตอนนั้นนำทหารก่อกบฏ ย่อมร้ายกาจกว่าอสูรมากนัก!”
ราชันสวรรค์ตรัสสุรเสียงนิ่งว่า “ในเมื่อเจ้ารู้เหตุต้นผลกรรม ตอนแรกไยยังกล้าบังอาจทำเช่นนี้! ไยกล้าคิดล้อเล่นกับชะตาสรรพชีวิตอื่น เจ้าถามใจตนดู ยังสมควรเป็นไป๋ตี้อีกหรือ!”
ไป๋ตี้น้ำเสียงสลดกล่าวว่า “เรื่องนี้กระหม่อมบังอาจทำเพียงผู้เดียว ที่นางโกรธแค้นก็ย่อมมีเพียงกระหม่อม วันหน้าหากต้องการแก้แค้น กระหม่อมก็ย่อมมอบศีรษะนี้ให้ ไม่หวังอย่างอื่นเด็ดขาด!”
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “ยามนี้เจ้ากล่าวได้อาจหาญ ถึงตอนนั้นแม้นางจะสังหารเจ้า แต่บุญคุณความแค้นนี้ก็จะไม่มีวันสูญสลายไปอย่างเด็ดขาด เจ้าสังหารหลัวโหวจี้ตู จากนี้ย่อมเป็นศัตรูกับแดนอสูร นางมาสังหารเจ้าอีก จากนี้ก็ย่อมผูกเป็นความแค้นฝังลึกกับแดนสวรรค์ ความแค้นทับถม วันใดจะสลายลงได้”
แผ่นหลังไป๋ตี้ชุมไปด้วยเหงื่อ ไม่กล่าวอันใดสักคำ
ราชันสวรรค์เงียบงันเป็นนาน ในที่สุดถอนหายใจ “เอาเถอะ บางทีเรื่องนี้อาจเป็นเคราะห์ที่กำหนดไว้แล้ว แม้อยู่สูงส่งในแดนสวรรค์ก็ไม่อาจควบคุมได้ ตามใจเจ้า ไม่ให้นางนำทัพทหาร ให้นางออกสนามรบโดดเดี่ยว วันหน้าหากเกิดเหตุเปลี่ยนแปลง แดนสวรรค์ก็คงสะเทือนไปทั่ว ก็ตามแต่นางจะเอาคืน ไม่ขัดขืนต่อต้านก็พอ”
ไป๋ตี้ตกใจกล่าวว่า “ไยราชันสวรรค์ตรัสเช่นนี้! ทุกสิ่งที่ทำลงไปในวันนี้ ใช่ว่าสูญเปล่าหรือ”
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “สรรพสิ่งในโลกนี้ เดิมก็ว่างเปล่า จากความว่างเปล่าถือกำเนิดมี หยินหยางพลิกผันสลับฝั่ง กำเนิดและข่มกันและกัน แดนสวรรค์เดิมว่างเปล่า อสูรเดิมก็ว่างเปล่า จิตมารในใจเจ้า ทำให้มองไม่กระจ่าง”
ไป๋ตี้เงียบไม่ตอบ หากในใจราวกับคิดได้ ราชันสวรรค์ถอนใจกล่าวว่า “เจ้าออกไปเถอะ…”
ไป๋ตี้กล่าวอีกว่า “กระหม่อมมีเรื่องขอร้อง ขอทรงประทานอนุญาต”
“เจ้ากล่าวมา”
“แม้กระหม่อมมองจิตมารในใจไม่กระจ่าง หากอย่างไรก็ไม่อาจมองแดนสวรรค์สูญสิ้นลงไปกับตาได้ วันหน้าหากจี้ตูจำเรื่องราวในอดีตได้ กระหม่อมก็รอให้เขามาสังหาร ขอราชันสวรรค์อย่าได้เอาผิด ส่วนหนึ่งของร่างเดิมหลัวโหวจี้ตูกระหม่อมหลอมเป็นสองเทพศาสตรา อานุภาพร้าจกาจอย่างที่สุด ขอราชันสวรรค์ประทานแก่ขุนพลแกล้วกล้า ย่อมราวพยัคฆ์ติดปีก”
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “เทพศาสตราให้เก็บในคลังอาวุธ ไม่อาจนำมาใช้ได้ การเปลี่ยนแปลงวันหน้า เราก็ไม่อาจกล่าวได้ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน”
ไป๋ตี้ไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ถอยออกไป
พอออกมาจากตำหนัก มองไปไกลๆ ก็เห็นเทพสงครามยืนอยู่หลังราวระเบียงสูง ถอดหมวกเกราะเมฆาม่วงออก ผมสลวยปลิวตามแรงลมราวเมฆพยับ ท่วงท่าอรชร ไม่อาจบรรยายความงามนี้ด้วยวาจาใด ดังเช่นเทพธิดาทอผ้าที่ริมแม่น้ำสวรรค์กลายเป็นหินในวันวาน แสงดาวระยิบกลางแม่น้ำลดเลี้ยวเคี้ยวคด ราวกับสายน้ำสีทอง สองแก้มนางกระจ่างใสยิ่งกว่าไข่มุกหยกงาม สะท้อนแสงระยิบทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มหลงใหล
ในใจไป๋ตี้เศร้าสลดเฝื่อนขมขื่นใจ มาถึงตอนนี้ เขาเหมือนตระหนักรู้แล้วว่าตนเองเหมือนได้ทำความผิดมหันต์ลงไปแล้ว
ราชันสวรรค์พูดถูกครึ่งหนึ่ง จิตมารของเขาทำให้ครึ่งหนึ่งเขามองไม่กระจ่างคิดไม่ตก อีกครึ่งเป็นความต้องการส่วนตัว
เขาค่อยๆ ก้าวเข้าไปหานาง สบตากับนางที่มองมาราวกับตะวันแรกขึ้น ราวดวงตะวันสาดแสงงดงาม
“ข้าผิดต่อเจ้า จี้ตู” เขากล่าวเบาๆ ยามเห็นสองตากระจ่างใสของนางมองเขาเงียบๆ เขาได้แต่หัวเราะเบาๆ ลูบศีรษะนางสองที ไม่พูดอันใดอีก
******
เสวียนจีพลันลืมตาขึ้น ราวกับเพิ่งสลัดตัวออกจากความฝันอันยาวนาน ยังมีความสับสนอยู่บ้าง
ยามนี้นางนอนอยู่ในตำหนักงดงามอลังการแห่งหนึ่ง การตกแต่งต่างกับตำหนักข้างก่อนหน้า โถผลึกแก้วหลิวหลีวางอยู่บนโต๊ะหน้าตำหนักส่องประกายแสงสีสันงดงาม รอบๆ เงียบสงัด ลมพัดพาเอากลิ่นกำยานลอยมา นางรีบลุกขึ้นมองไปรอบทิศ เห็นม่านแพรบางจำนวนมาก ไป๋ตี้ยืนอยู่หน้าม่าน สีหน้าซีดเซียว แต่ไร้ความหวาดกลัว มองนางนิ่งเงียบ
ในใจนางพลันกระตุก แทบอยากจะเข้าไปฟันเขาให้แหลกเป็นผุยผง แต่ไม่รู้ทำไม ร่างกายกลับขยับไม่ได้ บางทีหลัวโหวจี้ตูตัวจริงอาจไม่ยินยอมจะสังหารเขา ริมฝีปากนางสั่นเล็กน้อย ไม่กล่าวอันใด มีแต่น้ำตาไหลพรากไม่หยุด
ราชันสวรรค์หลังม่านตรัสว่า “ตอนนี้ท่านแม่ทัพก็ได้รู้เหตุต้นผลกรรมแล้ว ควรจัดการเช่นไร ก็แล้วแต่ท่านแม่ทัพตัดสิน เราไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เด็ดขาด”
เสวียนจีขยี้หน้าผาก รวบรวมสติสลัดให้หลุดจากความน่ากลัวในอดีตเหล่านั้น พอได้ยินราชันสวรรค์กล่าวเช่นนี้ ยากที่นางจะไม่รู้สึกแปลกใจ “ทำไม…พวกท่านใช้ทั้งบารมีข่มและโน้มน้าวล่อลวง พาข้ามาที่นี่ ก็เพื่อให้ข้าตัดสินใจ?”
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “ใช่ แดนสวรรค์ติดค้างท่านแม่ทัพมากนัก สิ่งต่างๆ ที่ไป๋ตี้ทำลงไป ก็เพราะเราสอนสั่งไม่ดี เราไม่อาจปัดความรับผิดชอบนี้ เริ่มจากที่ท่านแม่ทัพได้เป็นแม่ทัพ แดนสวรรค์ก็ไม่ได้สูงส่งเหนือสรรพชีวิตอีกแล้ว เคราะห์กรรมครานี้ก็คือรอยกรรมอดีต ท่านแม่ทัพตัดสินใจเช่นไร เราไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เด็ดขาด”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แม้ตอนนี้ข้าสังหารพวกท่านหมด ก็จะย้อนอดีตกลับไปได้หรือ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรือ ข้าสังหารเผ่าพันธุ์อสูรของข้าเอง เลือดเนื้อข้าหลอมเป็นเทพศาสตราและสังหารเทพแดนสวรรค์ ข้ายังไปไหนได้ แท้จริงข้าคืออะไรกันแน่”
ไม่มีคนกล่าวอันใด คำถามนาง ผู้ใดก็ตอบไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสวียนจีกล่าวอีกว่า “ตอนนี้พวกท่านพูดได้สวยหรู ในเมื่อต้องการรอรับผิดแต่โดยดี ทำไมตอนแรกไม่ทำตามสัญญา แต่กลับส่งข้าลงไปเกิดเวียนว่ายผ่านเคราะห์กรรม”