ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 31 ลืมสิ้นชาติภพ (1)
เสวียนจีราวกับไม่ได้ยิน นางยังคงลูบคลำพื้นเบาๆ พึมพำกล่าวว่า “หลัวโหว…หายไปแล้ว ไปไหนกัน ข้ายังไม่ได้…ยังไม่ได้…”
นางยังไม่ได้รับรู้ถึงความเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แท้จริงเลย ผู้ใดจะรู้ว่าหลัวโหวจี้ตูถูกแยกออกเป็นสองส่วนอย่างไม่มีวันได้รวมตัวกันอีกแล้ว วันหน้านางก็เป็นจี้ตูที่มีแค่ครึ่งหนึ่ง ส่วนหลัวโหว จากนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนางอีกแล้ว
นางสูดลมหายใจลึก รู้สึกเพียงแค่ในใจเจ็บปวดอยู่ลึกๆ แทบอยากจะแผดเสียงร้องไห้ดังออกมาสักครั้ง
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “ต่างคนต่างไปเวียนว่ายกันเอง ต่างไปเกิดใหม่กันเอง นับจากนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน”
เสวียนจีส่ายหน้า พลันมีคนมาจับไหล่นางไว้เบาๆ หันกลับไปมองก็เห็นเป็นอวี่ซือเฟิ่ง เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ครบ แต่ก็ไม่ได้ถาม ได้แต่ก้มหน้ามองนาง เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ความอัดอั้นในใจทั้งหมดราวกับหาที่ระบายออกมาได้แล้ว ร้องเรียกชื่อซือเฟิ่ง ลุกขึ้นกอดเขาไว้แน่น น้ำตาทะลักไหลบ่าออกมาทันที
สุดท้ายยังคงเป็นหลัวโหวแก้แค้นให้ตัวเอง คิดว่าตอนนั้นที่นางเข้าใกล้โถผลึกแก้วหลิวหลี หลัวโหวก็รู้ว่านางลังเลแล้ว ชีวิตนี้ของนางมีคนและเรื่องราวที่ต้องใส่ใจอยู่มากมาย ไม่อาจเป็นดังอสูรหรือทำอะไรตามใจเหมือนตอนเป็นเด็กน้อยที่แยกแยะดำขาวชัดเจน ความเศร้าของมนุษย์ก็คงเพราะเช่นนี้ ในความที่ไม่อาจทำอะไรได้ทำให้ไร้หนทาง นางเคยเรียนรู้ที่จะกล่าววาจาสวยหรูมากล่อมให้จิตตนเองฮึกเหิม แต่ในใจก็รู้ว่าที่ใส่ใจนั้นคืออะไร
“ข้าเปลี่ยนไปแล้ว แต่หลัวโหวไม่เคยเปลี่ยน” น้ำเสียงนางแผ่วเบา ตอนหลัวโหวจี้ตูเป็นอสูรก็เป็นคนที่มีคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ ท้ายสุดก็ย่อมไม่ลังเลที่จะร่วมหัวจมท้ายลงไปด้วยกัน อสูรอย่างไรก็ไม่รู้จักความหวาดกลัว รู้แต่ว่าตนเองคิดทำอะไร ส่วนนางฉู่เสวียนจี แต่นี้ไปก็จะสลัดสถานะอสูรให้สิ้น กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาแท้จริง
มกรแผดเสียงร้องไห้ดัง สภาพแทบดูไม่ได้ อู๋จือฉีขี้เกียจจะสนใจเขา หันกลับไปที่ราชันสวรรค์หลังม่านกล่าวว่า “นี่ ราชันสวรรค์ ขโมยเทพศาสตราท่านไป เป็นข้าผิดเอง สังหารเทพเซียนแดนสวรรค์ไปมากมาย ก็เป็นข้าผิดเอง ห่วงฟ้าเทียนจวินถูกข้าบีบแตก ก็เป็นความผิดอีกหนึ่งกระทง เดิมข้ากะว่ามาพบท่านและคืนขอสมุทรเช่อไห่ให้ท่าน แต่ท่านก็เห็น ขอสมุทรเช่อไห่ถูกเผาเป็นผุยผงไปแล้ว ผิดนี้ไม่ใช่ของข้า ท่านหากลงโทษก็รีบลงโทษมาเลย ครั้งนี้ให้ลงนรกขุมสิบแปดหรือลงนรกกระทะทองแดง ข้าก็กลั้นใจรับแล้ว ไม่หนีอีกแล้ว”
เขากล่าวเช่นนี้ออกมา ทำเอาพวกเสวียนจีต่างตกใจ เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “เจ้า…เจ้ามาที่นี่…ก็เพื่อพูดเรื่องพวกนี้? มารับผิดเอง?”
อู๋จือฉีแยกเขี้ยวหัวเราะ “เหลวไหล ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะมากบฏหรือ เรื่องทำตัวเองเหน็ดเหนื่อยเช่นนั้น ข้าไม่คิดทำเด็ดขาด!”
ราชันสวรรค์หลังม่านเงียบงันเป็นนานก่อนจะตรัสว่า “บรรดาขุนพลเทพที่กองอยู่ตรงระเบียงตำหนักล้วนเป็นเจ้ากับมกรช่วยไว้ พวกเขาจึงได้รอดพ้นไฟจากฟ้ามาได้ เรารู้สึกซาบซึ้งในคุณธรรมของเจ้าทั้งสองคนมาก”
อู๋จือฉีโบกมือ “เอาละ! อย่ากล่าววาจาเหลวไหลมากมาย ข้าทนรับอะไรแบบนี้ไม่ได้! เร็ว จะสังหารก็ลงมือ รีบหน่อย! ข้าร้อนใจจนทนไม่ไหวแล้ว!”
ราชันสวรรค์กล่าวอีกว่า “ครั้งนี้เจ้ากับมกรช่วยคน เรื่องที่เคยสังหารขุนพลเทพก็ลบล้างกันไปได้ ส่วนความผิดเรื่องขโมยเทพศาสตรา ทำลายห่วงฟ้าเทียนจวิน ยังต้องเอาเรื่องอยู่ ยังมีเรื่องเขาที่พักจอมเวทที่เจ้าทำลายลง ดีที่ไม่มีคนตาย ไม่เช่นนั้นต้องเพิ่มโทษอีก”
อู๋จือฉีส่ายหน้าฟังไปมาอยู่ดีๆ พอได้ยินว่าพวกจอมเวทไม่ตาย ก็อดถลึงตาโตจ้องมองไม่ได้ ร้องดังขึ้นว่า “ไม่ตาย?! ไม่มัง! เชอะ การค้าครั้งนี้เสียเปรียบ! ถึงกับไม่ตาย!”
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “เราจะปล่อยให้เจ้าทำผิดที่เขาคุนหลุนได้อย่างไร การตายจิ้งจอกม่วงเป็นชะตาของนาง จอมเวทไม่สังหารนาง นางก็ย่อมถูกรักทำให้ต้องทนทุกข์จนทำลายพลังบำเพ็ญที่สั่งสมมา และมีชีวิตได้อีกไม่นานเท่าไร เรารู้ว่าแต่ไรมาเจ้าเป็นคนไม่ยอมคน เรื่องนี้เกรงว่าคงไม่ยอมเลิกรา แต่เรื่องนี้หากสืบสาวราวเรื่องไปที่ต้นตอ ก็เพราะพวกเจ้าบุกรุกเขาคุนหลุนก่อน แต่เหตุแรกสุดก็เพราะเราพนันกับไป๋ตี้ จึงล่อให้พวกเจ้ามา ดังนั้นจะโทษพวกเจ้าก็ไม่ได้ จอมเวทที่ทำร้ายพวกเจ้าถูกจับไปขังคุกรอการไต่สวนลงโทษแล้ว ย่อมต้องลงโทษพวกเขา เรากล่าวแล้วย่อมไม่คืนคำ เจ้าก็อย่าได้เอาเรื่องต่ออีก”
อู๋จือฉีรู้ว่าราชันสวรรค์รับสั่งอันใดแล้วย่อมทำตามรับสั่ง ดังนั้นจึงพยักหน้า เสริมอีกประโยคว่า “ต้องลงโทษให้หนัก! ดีที่สุดก็ฟาดให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว! แต่…ท่านพนันอะไรนะ เรื่องมันอย่างไรกัน เอาพวกเรามากองกันที่นี่ก็เพราะท่านสองคนพนันอะไรกันอย่างนั้นหรือ”
ราชันสวรรค์นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เสวียนจี จริงๆ แล้วตั้งแต่ชาตินี้ที่เจ้าไปเกิดเป็นมนุษย์ เรากับไป๋ตี้ก็คอยแอบดูเจ้ามาตลอด ชะตาเจ้าไม่ถูกฟ้ากำหนด เราเองก็มองอนาคตเจ้าไม่กระจ่าง ตอนแรกสุดที่เจ้าเปล่งพลังเคียดแค้นสุดขีด เราก็ได้ไหว้วานมหาเทพโฮ่วถู่ส่งเจ้ากลับคืนแดนอสูร หวังว่าเจ้ากลับไปดินแดนกำเนิดก็จะดับความแค้นลงได้ ผู้ใดจะรู้ว่าผิดมหันต์ หากไม่ใช่วันนั้นเราสนทนากับมหาเทพโฮ่วถู่อย่างละเอียด เกรงว่าเราคงยังมองไม่เข้าใจว่าปัญหาแท้จริงคืออะไร ชาตินี้ให้เจ้าเป็นมนุษย์ หนึ่ง เพื่อบรรเทาความทุกข์เจ้า สอง เป็นความคิดส่วนตัวของเราเอง หวังว่าชีวิตในโลกมนุษย์จะทำให้เจ้าได้ดับความคับแค้นในใจลงได้ วันหน้าแดนสวรรค์ก็คงไม่ต้องถูกแก้แค้นเอาคืนถึงที่สุด”
เสวียนจีขยับริมฝีปากยิ้มเจื่อนๆ ไม่กล่าวอันใด สุดท้ายพวกเขาล้วนผิดไม่ใช่หรือ ทุกคนล้วนคิดว่าผู้ที่คิดล้างแค้นด้วยความแค้นย่อมต้องเป็นนาง ผู้ใดจะรู้ว่าโถผลึกแก้วหลิวหลีที่ทิ้งร้างไว้นับพันปี โถที่หลอมรวมจิตญาณดวงจิตของหลัวโหวต่างหากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความแค้น เพราะนั่นคือจิตอสูรแท้จริง
“เราเองก็ไม่เคยคิดว่าโถผลึกแก้วหลิวหลีถึงกับตระหนักรู้ได้เอง เห็นได้ว่าสรรพสิ่งใต้หล้าล้วนมีจิตวิญญาณ นับประสาอันใดกับแดนสวรรค์…แม้แต่เราก็เช่นกัน ล้วนกลายเป็นผู้มองการณ์แคบ รู้จักมองแค่ตัวบุคคล” ราชันสวรรค์ทอดถอนใจยิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้ตรัสว่า “เรากับไป๋ตี้เห็นเจ้ายิ่งเติบโต การจัดการเรื่องต่างๆ ก็ยิ่งรอบด้าน เพียงแต่ยามอยู่คนเดียวกลับเหมือนกับไปเป็นเทพสงคราม ไป๋ตี้เองก็ร้อนใจในเรื่องนี้มาก เขากลัวหายนะเกิดกับแดนสวรรค์มากเกินไปจึงได้เกิดจิตมารเข้าแทรก กอปรกับเจ้าและอู๋จือฉีใกล้ชิดกันเกินไป ความทรงจำชาติก่อนอาจถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ แม้ว่ามหาเทพโฮ่วถู่จะดึงความทรงจำเจ้าออก แต่ดวงจิตคนเราก็น่าประหลาด ราวกับผลึกแก้วหลิวหลี แต่ก็ไม่อาจไตร่ตรองปรุโปร่ง เจ้าสัมผัสรู้เรื่องราวชาติก่อนได้มากมาย คงมีสักวันที่จะนึกเหตุกรรมทั้งหมดได้ ไป๋ตี้คิดว่าเจ้าต้องกลับมาแก้แค้นแน่นอน แต่เรากลับมั่นใจว่าเจ้าต้องเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน ดังนั้นเราสองจึงได้พนันกันว่า การรอเจ้ากลับคืนแดนสวรรค์อย่างหวาดหวั่น ไม่สู้เรียกเจ้ามา ดังนั้นไป๋ตี้จึงส่งไปคนไปประกาศราชโองการ และพาเงือกถิงหนูกลับสู่แดนสวรรค์เพื่อเป็นเหยื่อล่อเจ้ามา”
เสวียนจีกล่าวว่า “ไม่เพียงเช่นนี้! ท่านยังส่งคงไปควักดวงตาสวรรค์พี่หลิ่ว! ทำร้ายเขาเกือบตาย! ยังแย่งชิงห่วงฟ้าขอสมุทร! ปรากฎทำร้ายคนตำหนักหลีเจ๋อตายไปสอง!”
ราชันสวรรค์ถอนใจกล่าวว่า “เราไม่ได้ส่งมังกรเขียวไปนำดวงตาสวรรค์กลับคืน แต่ไรมามังกรเขียวก็เป็นคนชอบแสดงความเก่งกล้า มีวันหนึ่งได้ยินว่าดวงตาสวรรค์ถูกมนุษย์ธรรมดาขโมยไป จึงเฝ้าแต่คิดเรื่องนี้ไม่ยอมละวาง มักจะมาขอราชโองการไปนำดวงตาสวรรค์กลับคืน วันนั้นนางก็มาอีก พอดีกับหงส์แดงจูเชวี่ยรับบัญชาลงไปขอคืนห่วงฟ้าขอสมุทร ดังนั้นเราจึงให้นางไปช่วยด้วย ผู้ใดจะคิดว่านางถึงกับควักดวงตาสวรรค์ออกมา ดวงตาสวรรค์นั่นกำหนดให้เป็นของหลิ่วอี้ฮวน ไม่เช่นนั้นของวิเศษแดนสวรรค์จะปล่อยให้เขาเอาไปได้อย่างไร แต่ควักออกมาแล้วก็ดี พลังเขามีจำกัด มีดวงตาสวรรค์ติดกาย ไม่เกินสามปีพลังก็ย่อมแห้งเหือดและตาย ควักออกมาตอนนี้ ยังมีชีวิตต่อไปได้อีกสิบปีขึ้นไป ส่วนเรื่องครุฑ เราก็ได้รับรู้แล้ว ความผิดของหงส์แดงจูเชวี่ยและมังกรเขียว วันหน้าเราย่อมลงโทษ”
เสวียนจีพลันนึกเสียใจภายหลังที่ตนเองปากไวไป หลิ่วอี้ฮวนยังรออยู่ที่ประตูมังกร! หากมังกรเขียวโดนลงโทษ ย่อมไม่ได้ลงไปแดนมนุษย์อีกแปดสิบถึงร้อยปีได้ อย่างมากสุดเขาก็มีชีวิตต่ออีกสิบกว่าปีเท่านั้น ไหนเลยจะรอได้ แต่พอคิดอีกที มังกรเขียวโหดเหี้ยมแล้งน้ำใจ ผู้ใดล้วนไม่ชอบนาง รอแล้วไม่เจอก็ดี พี่หลิ่วจะได้ไม่ต้องเป็นคู่กับหญิงน่ารังเกียจเช่นนี้ เห็นแล้วรับไม่ได้
“ตอนแรกเรากับไป๋ตี้พนันกระดานหมากล้อมหยก เขาพนันเจ้าย่อมต้องกลับมาแก้แค้น เราพนันว่าเจ้าย่อมละทิ้งความแค้น ผู้ใดแพ้ กระดานหมากนี้ก็เป็นของผู้นั้น คิดไม่ถึงแพ้ชนะยังไม่รู้ผล ไป๋ตี้กลับต้องจากไปเสียก่อน สุดท้ายที่พนันไปก็เป็นแค่ความว่างเปล่า”
เสวียนจีไม่กล่าวอันใด จริงๆ แล้วการพนันของพวกเขาครั้งนี้ล้วนชนะ ตอนนั้นนางคิดละทิ้งความแค้นจริง ดังนั้นราชันสวรรค์ชนะ แต่สุดท้ายคนแก้แค้นก็ยังเป็นหลัวโหวในโถผลึกแก้วหลิวหลี หลัวโหวจี้ตูเดิมก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นไป๋ตี้ก็ชนะ เพียงแต่ปล่อยเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วค่อยมาดูผลการพนัน เกรงว่าแดนสวรรค์จะถือตนสูงส่งเหนือผู้อื่นเกินไปแล้ว นางไม่ชอบที่นี่อย่างมาก คิดจะจากไปในทันที พอหันกลับมาคิดว่าตนเองโมโหเผาเขาคุนหลุนกับแดนสวรรค์ไปเกือบครึ่ง ในใจก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
อู๋จือฉีถอนใจกล่าวว่า “การพนันของท่านเอย ความแค้นเอย กล่าวจบแล้วใช่ไหม จะให้คำตอบข้าได้หรือยัง”
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “เราเคยกล่าวว่าความผิดทำร้ายขุนพลเทพลบล้างกัน ความผิดทำลายภูเขาก็ลบล้างไปได้ ความผิดที่เจ้าก่อก็เหลือแค่ขโมยและทำลายเทพศาสตรา เพิ่มความผิดที่หนีการคุมตัวอีกกระทง เราเห็นแก่ที่เจ้ามีจิตใจอาจหาญ เมตตาอารี ครั้งนี้ไม่ส่งไปขังนรกขุมสิบแปด ขังคุกสวรรค์สองร้อยปีแล้วปล่อยตัวให้เป็นอิสระดังเดิม”
อู๋จือฉีลูบคางไปมา ยิ้มร่ากล่าวว่า “เยี่ยมยอด ราชันสวรรค์มีคุณธรรมสูงดังคาดไว้ไม่ผิด! แต่ข้ายังมีเรื่องขอร้อง…ส่งข้าไปขังคุกแดนปรภพได้ไหม แดนสวรรค์อยู่แล้วข้ารู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว กินข้าวก็ไร้รสชาติ…” จริงๆ แล้วเขาได้ยินว่าจิ้งจอกม่วงอยู่แดนปรภพจึงคิดไปดูสักหน่อย
ราชันสวรรค์ยิ้มกล่าวว่า “เรื่องรสชาติปากท้องและเรื่องชายหญิงล้วนเป็นกิเลสทะยานอยากสองประการ ไยต้องการมันอีก เจ้าเฉลียวฉลาด เพียงแค่ยอมมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียร วันหน้าย่อมสำเร็จผล ไยต้องหลงติดในกิเลสสองประการนี้” ไม่เสียทีที่เป็นราชันสวรรค์ มองปราดเดียวก็เข้าใจแผนการเขาทะลุปรุโปร่ง
อู๋จือฉีถอนใจกล่าวว่า “ข้าเกิดมาบนโลกนี้ มีปากก็ไว้กินข้าวและร้องเรียกสาวงาม มาเพื่อเสพสุข ไม่รู้สึกเสียดายวาสนาเป็นเทพเซียน ท่านไม่ต้องมาห่วงใยข้าเรื่องพวกนี้”
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “ดื้อดึงไม่เปลี่ยน เอาเถอะ แดนสวรรค์ไม่อาจรับคนซุกซนไร้วินัยเช่นเจ้าได้ ตามใจเจ้า เราจะบอกเรื่องเจ้ากับมหาเทพโฮ่วถู่ ให้เขาจัดการ”
อู๋จือฉีหัวเราะดังลั่น ทำท่าทำทางคำนับพลางตะโกนสรรเสริญว่า “ขอบพระทัยราชันสวรรค์ทรงเมตตา!”