ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 32 ลืมสิ้นชาติภพ (2)
พอตรัสจบ ก็ได้ยินนอกตำหนักมีเสียงเอะอะดังเข้ามา บรรดาองครักษ์หาทางจนมาถึงที่นี่ พบว่าสิ่งต่างๆ รอบด้านพังทลาย มีเพียงตำหนักเสินกงไม่เป็นอะไร จึงพากันดีใจตะโกนดัง แต่ราชันสวรรค์วาดอาณาเขตเวทไว้ ผู้ใดก็เข้ามาไม่ได้ ได้แต่ร้อนใจคิดพังประตูเข้ามา
เสวียนจีสีหน้าแปรเปลี่ยน จ้องมองไปยังหลังม่าน ไม่รู้ราชันสวรรค์จะคืนคำหรือไม่ อาศัยพวกเยอะมาจับพวกเขาไว้
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “อู๋จือฉี เจ้าไปกับพวกเขาเถอะ เราสั่งสองขุนพลเทพส่งเจ้าไปเมืองนรกอี้ตู มอบให้มหาเทพโฮ่วถู่จัดการต่อ”
อู๋จือฉีรับคำ จะออกจากประตูไปทันที พอมือแตะขอบประตูก็ได้ยินเสียง โครม ดัง ตามมาด้วยแสงวูบวาบมากมาย เป็นประตูตำหนักถูกชนล้มจากด้านนอกเข้ามาล้มกองกับพื้น ทุกคนพังพาบคลุกฝุ่นกองกันอยู่กับพื้น แต่พริบตาก็ลุกขึ้นล้อมอู๋จือฉีเอาไว้ แทบอยากจะใช้อาวุธแทงเขาให้เป็นรูพรุนเหมือนรังผึ้ง
“วานรบังอาจ! เจ้ากล้าทำอะไรราชันสวรรค์?!” มีคนตวาดใส่เขาน้ำเสียงดุดัน
อู๋จือฉีได้แต่ยิ้มไม่กล่าวอันใด ทุกคนยังเห็นว่ามีบรรดาขุนพลเทพนอนกองระเนระนาดอยู่หลังตำหนัก พริบตาก็เข้าล้อมเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งเอาไว้ แสงกระบี่วิบวับพุ่งชี้ไปที่บรรดานักโทษกบฏ มีคนหนึ่งตะโกนว่า “ราชันสวรรค์! ทรงไม่เป็นไรใช่ไหม”
ราชันสวรรค์หลังม่านตรัสว่า “ถอยไป อย่าได้ทำร้ายพวกเขา ประคองขุนพลเทพทุกคนออกไป”
คนเหล่านั้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อ พากันลังเลเข้าประคองพวกมังกรเขียวที่นอนหลับสนิทบนพื้นออกไป อยู่ๆ นึกอะไรขึ้นมาได้จึงถามว่า “พวกกระหม่อมหาทั่วเขาคุนหลุนก็ไม่พบไป๋ตี้ ประทับอยู่กับราชันสวรรค์หรือไม่”
ราชันสวรรค์ได้ยินก็ถอนพระทัยอย่างเจ็บปวดพระทัยยิ่ง เป็นนานจึงได้ตรัสว่า “เขา…ไปเวียนว่ายเองแล้ว เริ่มบำเพ็ญใหม่ ตำแหน่งไป๋ตี้ว่างเว้นชั่วคราว พรุ่งนี้เราจะมีประกาศต่อแดนสวรรค์”
ทุกคนตกใจยิ่ง ที่เรียกว่าไปเวียนว่าย ก็เท่ากับไปตาย ไป๋ตี้ตายแล้ว นี่มันอะไรกัน?! เมื่อครู่มกรยังตกใจอยู่ ยังเก็บกดความเจ็บปวดไว้ภายในใจ พอได้ยินราชันสวรรค์ว่าเขาไปเวียนว่ายเอง ไปเริ่มบำเพ็ญใหม่ ในใจก็อดเจ็บปวดลึกๆ จนอดร้องไห้ออกมาไม่ได้ ความเมตตาต่อข้าราชบริพารในวันวานของไป๋ตี้ผุดขึ้นมาในใจ เขาร้องไห้จนแทบจะเป็นลมหมดสติ ตอนแรกทุกคนไม่อยากจะเชื่อ แต่พอเห็นมกรร้องไห้จนมีสภาพเช่นนี้ มองไปยังเถ้าธุลีที่ปลิวไปตามลมที่พื้น ส่องประกายวิบวับราวกับผงผลึกแก้วหลิวหลีละเอียด จิตรู้ยังคงอยู่ ในที่สุดก็เชื่อว่าไป๋ตี้ไปจุติแล้ว นั่นก็คือกองเถ้าธุลีของเขา ฉับพลันนั้นเอง ทุกคนก็พากันส่งเสียงร้องไห้ระงม คิดถึงว่าคนที่จะใช้ไฟเผาไป๋ตี้ตายได้ก็มีแต่เสวียนจีคนเดียวจึงทนไม่ไหว มีคนถือทวนสามคมเข้าหานาง ราชันสวรรค์ไม่ทันได้ยับยั้งไว้
เสวียนจีกำลังตกตะลึงกับบรรดาอาวุธที่มุ่งมาทางนาง ยังไม่ทันได้ตั้งตัว อยู่ๆ มกรก็กระโดดขึ้น คว้าทวนนั้นไว้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อย่าพลการ!” วาจาไม่ทันจบ ทวนสามคมนั้นก็ถูกเขาหลอมด้วยฝ่ามือร่วงลงพื้น ทุกคนรู้ว่าเขาร้ายกาจ และรู้ว่าตอนนี้เขาเป็นสัตว์ภูตเสวียนจี เป็นพวกเดียวกับกบฏ ได้แต่พากันด่าทออยู่ข้างหลัง แต่ผู้ใดก็ไม่กล้าลงมือพลการอีก
เสวียนจีอึ้งเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าด้านข้างมกร ขนตายาวเปียกชื้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เขาไม่ได้มองนางและไม่กล่าวอันใด ความจริงนางเองก็ไม่รู้ว่าควรกล่าวอันใดกับเขา การตายของไป๋ตี้แม้ว่าไม่ใช่เสวียนจีลงมือ แต่นางก็มาด้วยใจคิดสังหารเขา โถผลึกแก้วหลิวหลีคือหลัวโหว ก็คือส่วนหนึ่งของนาง เดิมก็เป็นคนเดียวกัน
นางก้มหน้าลงกล่าวเบาๆ ว่า “มกร เจ้าตำหนิข้าเถอะ”
มกรตะลึงงัน กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ตำหนิเจ้า…เหตุใด”
เสวียนจีเองก็ตะลึง “เจ้า…ไม่รู้ โถผลึกแก้วหลิวหลีกับข้า…พวกเราคือ…”
“คืออะไร” มกรยิ่งแปลกใจ
“ไม่…ไม่มีอะไร…” ที่แท้เขาไม่รู้ เสวียนจีถอนหายใจกล่าวว่า “กลับไปข้าค่อยเล่ารายละเอียดให้เจ้าฟัง พันธะสัญญาพวกเราหากต้องการถอน ก็ต้องตัดแขนข้าข้างหนึ่ง ข้าปวดใจ คิดว่าเจ้าก็คงไม่อยาก เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าอนุญาตให้เจ้าได้จากข้าไปได้ตลอดไป อยากกลับมาก็กลับมา อยากไปก็ไป ไม่ถูกพันธะสัญญาพันผูกไว้อีก”
ตอนนั้นนางกำหนดให้มกรจากไปได้สามวัน ในสามวันหากไม่กลับมาอยู่ข่างเจ้านาย สัตว์ภูตก็จะไร้สิ้นพละกำลังลงเรื่อยๆ ดังนั้นผมมกรจึงได้กลายเป็นสีแดงหม่น ตอนนี้นางอนุญาตให้จากไปได้นานตามแต่มกรต้องการ นอกจากเสวียนจีตาย เขาเป็นสัตว์ภูตก็ย่อมตายตาม เรื่องอื่นไม่ได้ต่างอันใดกับการถอนพันธะสัญญา
ในใจมกรวุ่นวายหากก็พยักหน้า หากเป็นเมื่อก่อน เขาต้องยินดีจนร้องตะโกนลั่นออกมา แต่ตอนนี้ไป๋ตี้ตายแล้ว เขารู้สึกเหมือนว่าบิดาตนเองได้ตายจากไป ความเศร้าใจนี้ไม่อาจอธิบายด้วยวาจาได้ เป็นเทพเซียน นอกจากศึกอสูรครั้งนั้นแล้วก็ไม่ได้มีความทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย แต่ไรมาเขาก็ไม่เคยคิดถึงคำว่าตายหรือว่าเวียนว่ายคืออะไร นั่นเป็นเรื่องของมนุษย์ชั้นต่ำ ฟังแล้วก็เหมือนไกลจากโลกที่ตนอยู่มากนัก ไม่สนใจใคร่รู้แม้แต่น้อย ยังเอามาล้อเล่น ถึงกับทำให้มนุษย์ตายไปสองสามคนก็รู้สึกแค่ไป ‘เวียนว่าย’ ชีวิตอันยืนยาวของตนเองย่อมเป็นเช่นนี้ต่อไป
ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจ เป็นหรือตายไม่ใช่เรื่องง่ายและเย็นชาไร้ใจ คนที่ตายไปคนหนึ่งไม่เพียงแต่นำพาเอาชีวิตไป ยังทำให้คนที่อยู่เศร้าเสียใจและคิดถึง ไม่ควรริอาจล้อเล่นกับชีวิตง่ายๆ วาจาราชันสวรรค์ที่เคยเป็นดังลมพัดผ่านหูเขาที่แสนเอาแต่ใจในตอนนั้น ตอนนี้ในที่สุดเข้าใจความหมายนั้นแล้ว
“มกร! เจ้าช่วยพวกกบฏสังหารไป๋ตี้!” ทวนสามคมของคนผู้นั้นถูกเผาไปก็โมโหตวาดด่าขึ้น
มกรไม่อยากโต้เถียงกับเขา ได้แต่ส่ายหน้าก้มลงเก็บเศษเถ้ากระดูกที่พื้นกับเศษโถผลึกแก้วหลิวหลีที่ถูกเผา ฉีกเสื้อออกมาห่อไว้อย่างระมัดระวังก่อนยัดเข้าอกเสื้อ การกระทำนี้ทำให้อู๋จือฉีคิดได้ รีบยกมือร้องดังขึ้นว่า “เฮ้ๆ อยู่ๆ ข้านึกอะไรขึ้นมาได้ ราชันสวรรค์ ขออภัยด้วยนะ! ขอให้ข้าได้กลับแดนมนุษย์สักครั้งก่อนได้ไหม ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการ รับรองว่ากลับมาแน่!”
ราชันสวรรค์มักจะไร้หนทางรับมือกับความซุกซนเอาแต่ใจของเขา ตรัสถามว่า “เรื่องอะไร”
อู๋จือฉีตบหน้าอก กระดูกจิ้งจอกม่วงยังอยู่ในนี้ กล่าวว่า “ข้ามีสหาย… จิ้งจอกน้อยที่ถูกจอมเวทสังหารตัวนั้นนั่นแหละ ข้าอยากฝังเถ้ากระดูกนางให้เรียบร้อย”
ราชันสวรรค์ถึงกับไม่ทรงกริ้ว กลับชื่นชมว่า “ตามหลักก็ควรเป็นเช่นนี้ มนุษย์ธรรมดามีจิตใจ เจ้ากับนางแม้ว่าเป็นปีศาจ แต่ก็มีจิตใจ ถึงกับไม่แพ้มนุษย์ เราอนุญาตให้เจ้าลงไปฝังเถ้ากระดูกได้ ให้กลับมาภายในเวลาที่กำหนด”
อู๋จือฉีหันไปแยกเขี้ยวยิ้มให้กับหลังม่าน กล่าวว่า “ข้าก็ว่า ราชันสวรรค์เป็นคนดีดังที่ข้าคิดไว้เลย ข้าไปละ! อยู่รอข้าที่นี่ จะรีบกลับมา!”
กล่าวจบพริบตาก็หายไปจากตำหนัก มีคนคิดรั้งไว้ แต่แค่เพียงขยับมือ เขาก็ถูกลมวูบหนึ่งพัดมาให้ถอยกลับ ทุกคนร้อนใจกล่าวว่า “ราชันสวรรค์! ปีศาจนี่แต่ไรมาไม่เคยไว้ใจได้ กว่าจะจับตัวได้ ทำไมจึงปล่อยเขาไปเช่นนี้! นับประสาอันใดกับไป๋ตี้เองก็ตายด้วยมือคนพวกนี้…” พวกเขาถลึงตาใส่พวกเสวียนจีทั้งสามคนอย่างโกรธแค้น แทบอยากจะใช้สายตาพิฆาตสังหารพวกเขา
ราชันสวรรค์กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขา จิตมารไป๋ตี้ทำตนเอง ในใจเราก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าทุกท่าน แต่ไม่อาจนำความทุกข์ตนไปลงที่ผู้อื่น”
ทุกคนร้อนใจกล่าวว่า “แม้การตายไป๋ตี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขา แต่เขาคุนหลุนถูกเผา แดนสวรรค์ก็ถูกเผาจนระเนระนาดไปหมด ความผิดเช่นนี้ไยจะปล่อยไปง่ายๆ ได้! หากแพร่ออกไป คงได้แต่ว่าแดนสวรรค์ใช้ไม่ได้ ปล่อยให้คนปล่อยเพลิงเผาจนเละเทะระเนระนาดไปหมด ศักดิ์ศรีแดนสวรรค์อยู่ที่ใด!”
ราชันสวรรค์พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มงวดแฝงการตำหนิ “อดีตเพราะเราเห็นความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีแดนสวรรค์มากเกินไป จึงไม่เห็นสรรพชีวิตแดนอื่นในสายตา ก่อให้เกิดความผิดมหันต์มากมาย! อย่าได้คิดว่าแดนสวรรค์สูงส่งเหนือผู้อื่นแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ ไม่ควรถูกลงโทษแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ เพลิงเผาแดนสวรรค์ครั้งนี้ก็คือการเตือนให้รู้! พวกท่านต้องเร่งลดความทะนงตนลง รู้จักบังคับตนเองให้เข้มงวด วันหน้าจะได้ไม่ทำเรื่องที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้!”
ทุกคนฟังแล้วก็พากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ ได้แต่พากันประคองร่างขุนพลเทพที่สลบไสล ออกจากตำหนักไป ทิ้งไว้แค่พวกที่เอาไว้เฝ้าพวกเสวียนจีสามคน เสวียนจีลังเลกล่าวว่า “ราชันสวรรค์…ข้า พวกเรา…” พวกเขาแล่นมาเขาคุนหลุนอย่างเอาเรื่อง ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าจะจบลงเช่นนี้ แค้นชำระแล้ว แต่ในใจก็มิได้มีความสุข คิดว่าในบรรดาเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ที่มีความสุขที่สุดก็คือหลัวโหวในโถผลึกแก้วหลิวหลี เขาเป็นคู่แค้นกับไป๋ตี้ เขาสลายเป็นเถ้าในกองเพลิงร่วมกัน สะใจยิ่ง ตอนไปสู่แดนปรภพเกรงว่าคงต้องหัวเราะดังสะใจเป็นแน่
เป็นมนุษย์นั้นแสนวิเศษ แต่นางยังคงอดอิจฉาการตัดสินใจอย่างไร้พันธนาการเช่นนี้ไม่ได้ มีคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ ตรงไปตรงมาไม่มีอะไรต้องคิดมากมาย นี่จึงเรียกว่าอิสระและไร้พันธนาการแท้จริง
อวี่ซือเฟิ่งลอบสังเกตการณ์มาตลอด เขามาช้าไป ไม่รู้เรื่องขัดแย้งของเสวียนจีกับแดนสวรรค์มากนัก แต่ทว่าแต่ไรมาเขาเป็นคนฉลาด ฟังจากวาจาราชันสวรรค์และดูจากอารมณ์เสวียนจีก็พอเดาที่มาที่ไปได้ เรื่องนี้น่าอึดอัดมาก เกรงว่าพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ จึงก้าวเข้าไปเสียงดังกังวานกล่าวว่า “ราชันสวรรค์ทรงเมตตา เรื่องนี้จบลงแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก พวกข้าบุกรุกเขาคุนหลุน ละเมิดกฎแดนสวรรค์ รู้ว่าตนเองมีความผิดหนักหนา ขอราชันสวรรค์มีพระบัญชาลงโทษ มิกล้าขัดขืนโต้แย้ง”
เขาใช้อุบายยอมถอยเพื่อรุก มองออกว่าแดนสวรรค์รู้สึกติดค้างเสวียนจี จึงยอมลดท่าทีลงก่อน แสดงให้เห็นว่าขอให้ราชันสวรรค์ปล่อยพวกเขาไป
ราชันสวรรค์แย้มสรวลเล็กน้อยตรัสว่า “ไม่เจอกันหลายปี เทพซิงจวินยังคงฉลาดทรงปัญญาเช่น เดิม อยู่โลกมนุษย์แห่งสีสันมานาน ตอนนี้ลืมแดนสวรรค์อันแสนเงียบเหงา?”
คำถามทำเอาทุกคนอึ้งไป อวี่ซือเฟิ่งงุนงงไปหมด สับสนอย่างที่สุด
ราชันสวรรค์ถอนพระทัยตรัสว่า “เทพซิงจวินเคยเป็นดาวดวงหนึ่งที่ขึ้นเป็นดวงแรกในยามเช้าริมแม่น้ำสวรรค์ ทุกวันขยันขันแข็งไม่เคยแอบขี้เกียจ ในอดีตริมแม่น้ำสวรรค์เคยมีเทพธิดาทอผ้าที่จะมาทอผ้าทุกวัน เทพซิงจวินหลงใหลในความงามจึงแปลงร่างเป็นชายหนุ่มมาทำความรู้จักกับนาง ความเดิมเช่นนี้ เทพซิงจวินลืมแล้วหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งเก้กังมาก คิดไม่ถึงว่าตนเองถึงกับมีอดีตเช่นนี้ อดแอบเหลือบมองเสวียนจีไม่ได้ เกรงว่านางจะไม่พอใจ ผู้ใดจะรู้ว่าสีหน้านางอยู่ๆ ก็แดงระเรื่อ เริ่มแรกก็ยินดี ตามมาด้วยแอบโมโหลึกๆ สุดท้ายกลายเป็นเย็นชา
การเปลี่ยนแปรหลากอารมณ์นี้ทำเอาเขาไม่เข้าใจ ได้แต่ประสานมือกล่าวว่า “ข้า…ข้าลืมเรื่องชาติก่อนไปนานแล้ว”
ราชันสวรรค์ยิ้มกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ของเทพซิงจวินกับเทพธิดาทอผ้าถูกเปิดเผย จึงลงโทษให้เทพซิงจวินลงไปผ่านเคราะห์ร้อยชาติ ชาตินี้ไปเกิดเป็นครุฑ เราคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบเทพซิงจวิน”
อวี่ซือเฟิ่งพลันสับสน กล่าวว่า “ขอบังอาจเรียนถามราชันสวรรค์ ผนึกบนร่างข้า ทำให้ข้าไปวนเวียนในแดนปรภพได้เพื่ออะไร หรือว่าเกี่ยวข้องกับชาติก่อนข้า”