ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 34 ลืมสิ้นชาติภพ (4)
ไปได้ครึ่งทาง อยู่ๆ เสวียนจีก็ตะโกนดังว่าไม่ได้การแล้ว พลันหันหลังวิ่งกลับไป อวี่ซือเฟิ่งไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ได้แต่ไล่ตามไปอย่างตื่นตกใจ วิ่งไปหน้าประตูตำหนักเสินกง บรรดาขุนพลเทพเห็นพวกเขากลับมาอีก ยามนั้นก็มีสีหน้าโมโหพลางกระชับอาวุธ แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ให้พวกเขาเข้าไป
เสวียนจีกล่าวว่า “ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งลืมถามราชันสวรรค์ โปรดให้ข้าเข้าไป”
ขุนพลเทพพวกนั้นผู้ใดจะสนใจนาง นางเผาเขาคุนหลุนที่งดงามราวภาพวาด แดนสวรรค์เบื้องบนก็เกรงว่าคงถูกเผาทำลายไปด้วย กอปรกับไป๋ตี้สิ้นไปอย่างปริศนา หากราชันสวรรค์ไม่มีพระบัญชา พวกเขาก็คงปรี่เข้าสับเขาทั้งสองคนให้แหลกเหลวไปแล้ว
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ให้ข้าเข้าไป! มีเรื่องต้องการถามจริงๆ!”
ทันทีที่กล่าวจบ ก็ได้ยินเสียงแง้มประตูตำหนัก หน้าตำหนักมีทหารรับใช้ค่อยๆ เดินออกมากล่าวเบาๆ ว่า “ฉู่เสวียนจี เจ้ามีคำถามอะไรถามอีก ราชันสวรรค์ให้ข้ามาบอกว่า เงือกถิงหนูลงไปทะเลตงไห่นานแล้ว ไม่ได้ถูกขังอยู่ในคุกสวรรค์ ก่อนหน้าที่เชิญเขาขึ้นมาก็เพื่อทำความเข้าใจกับนิสัยท่านแม่ทัพในชาตินี้ ที่กล่าวว่าความผิดฐานสมรู้ร่วมคิด ไม่มีอีกแล้ว”
ในใจเสวียนจีโล่งอก แต่ก็แปลกใจถามว่า “ราชันสวรรค์รู้ได้อย่างไรว่าข้าจะถามเรื่องนี้”
ทหารผู้นั้นกล่าวว่า “ราชันสวรรค์ไม่มีอะไรไม่รู้ คำถามเจ้าก็ตอบไปแล้ว รีบไปจากเขาคุนหลุนได้แล้ว”
เสวียนจีพยักหน้า หันหลังเดินไปได้สองสามก้าวก็อดไม่ได้หันกลับไปถามว่า “ถิงหนูถูกปล่อยกลับไปแล้วจริงหรือ ไม่ได้บาดเจ็บ?”
ทหารผู้นั้นยิ้มเล็กน้อยน้ำเสียงเยียบเย็นกล่าวว่า “แดนสวรรค์จะหลอกเจ้าทำไม นับประสาอันใดกับเงือกนั่นเองก็มีผลแห่งการบำเพ็ญอยู่ วันหน้าคงได้กลับมารับตำแหน่งแดนสวรรค์ คนมีความสามารถเช่นนี้ แดนสวรรค์จะทำร้ายได้อย่างไร”
ความหมายแฝงในวาจาก็คือนางมาแดนสวรรค์หาเรื่องล้วนเป็นการอาละวาดโดยไร้เหตุผล ดีที่ราชันสวรรค์พระทัยกว้าง จึงไม่เอาผิดนาง ยามนี้มาตะโกนถามโหวกเหวกอีก ช่างไม่รู้จักดี
เสวียนจีไม่ได้ถือสาพวกเขา มาถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องคิดถือสาอีกแล้ว
ย้อนนึกถึงความกล้าของพวกนาง คนทั้งกลุ่มแล่นมาเขาคุนหลุนอย่างไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน สุดท้ายเละเทะไปหมด เหลือกลับมาแค่สองคน ความกล้าในคราแรกเกิดเพราะถูกบีบคั้นต่างๆ นานาหมดจบลงแล้ว ตอนออกจากประตูไคหมิง ราวกับรู้กันเงียบๆ เสวียนจีสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง ก่อนจะหัวเราะฝืดเฝื่อนขึ้นมาพร้อมกัน
“เกิดเรื่องราวมากมายจริงๆ” อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ปัดผมที่ปรกหน้าผากเสวียนจีออก “แต่ยังดีพวกเรายังมีชีวิต ยังได้กลับไปด้วยกัน”
เสวียนจีจ้องมองเขานิ่งอึ้ง ได้แต่เม้มปากยิ้มไม่กล่าวอันใด อวี่ซือเฟิ่งดีดหน้าผากใสกระจ่างนางทีหนึ่ง “ยิ้มอะไร ท่าทางมีเลศนัย ดูแล้วไม่น่าจะมีเรื่องดี”
เสวียนจีเผยรอยยิ้มบาง เดินไปอีกสองสามก้าว กล่าวน้ำเสียงเนิบนาบว่า “น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่เทพธิดาทอผ้า เทพซิงจวินไล่ตามมาเสียเปล่าแล้ว”
อวี่ซือเฟิ่งรู้แล้วว่านางย่อมเอาเรื่องนี้มาหยอกล้อก็ไม่โมโห กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไยต้องเอ่ยถึงเรื่องชาติภพก่อน เกี่ยวอะไรกับเจ้าและข้าตอนนี้ ข้าย่อมไม่เปลี่ยนชื่อไปเป็นเทพซิงจวิน เจ้าก็ย่อมไม่เปลี่ยนชื่อไปเป็นหลัวโหวจี้ตู ล้วนผ่านไปแล้ว”
เสวียนจีทั้งซาบซึ้งและดีใจ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ที่แท้เจ้าก็รู้ชาติก่อนข้าแล้ว ชื่อนั้น…เจ้าก็รู้”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ข้าไปเห็นเรื่องราวดีๆ ในแดนนรกมา กลับไปค่อยเล่าให้เจ้าฟัง”
เสวียนจีพยักหน้า “ข้าได้เจอเรื่องสนุกในเขาคุนหลุนมาเช่นกัน กลับไปเราสองคนมาร่วมแบ่งปัน”
กล่าวจบทั้งสองก็หัวเราะอีกครั้ง วันนั้นคนหนึ่งวนเวียนอยู่แดนนรก อีกคนอยู่ในภาพมายายากถอนตัวออกมาจากจิตภวังค์ได้ ผู้ใดก็ไม่เคยคิดว่ายังจะกลับมาได้อีก ทุกอย่างนี้ล้วนผ่านไปแล้วจริงๆ
ตอนนี้ผ่านไปหมดแล้วจริงๆ
ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปตามเส้นทางเลียบแม่น้ำชื่อสุ่ยไปถึงประตูมังกร ดังคาด เห็นหลิ่วอี้ฮวนยังคงนั่งอยู่อย่างเรียบร้อย ไม่ขยับแม้แต่น้อย หันกลับมาเห็นเขาทั้งสองคนมา ความรู้สึกหลิ่วอี้ฮวนราวกับเห็นผี กระโดดตัวลอยพุ่งเข้ามากระชากแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่ง เสียงดังกล่าวว่า “กลับมาแล้ว?! ไม่เป็นไร?!”
เขากำลังรอมังกรเขียว รอจนใจร้อนดังไฟแผดเผา และยังเป็นห่วงว่าพวกเสวียนจีจะเกิดเรื่อง ต่อมาพอเห็นเขาคุนหลุนไฟไหม้ เปลวไฟทะยานพุ่งขึ้นท้องฟ้า ในใจก็ยิ่งเงียบงัน คิดแค่ว่าวันหน้าทุกคนคงได้ไปพบกันในแดนนรกแทนแน่แล้ว ผู้ใดจะคิดว่าเขาสองคนถึงกับกลับมาอย่างปลอดภัย เขายังคิดว่าตนเองฝันไป
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร สบายดีมาก”
ในใจหลิ่วอี้ฮวนพลันโล่งอก ปล่อยแขนเสื้อเขา ลงนั่งตามเดิม ถอนใจกล่าวว่า “ข้าถูกพวกเจ้าทำตกใจจนอายุสั้นไปสิบปีแล้วเนี่ย”
เสวียนจียู่ปากกล่าวว่า “เจ้าไปเอามังกรเขียวมาเป็นภรรยาสิจึงจะเรียกว่ามีอายุยืนยาวเท่าไรก็ถูกทำให้ตกใจจนอายุสั้น”
หลิ่วอี้ฮวนค้อนนางขวับ งึมงำกล่าวว่า “เด็กน้อยรู้ผายลมอันใด…มาๆ เฟิ่งหวงน้อย เล่าให้พี่ใหญ่ฟังหน่อยว่าพวกเจ้าไปทำเรื่องดีงามอะไรที่แดนสวรรค์มาบ้าง…ใช่แล้ว อู๋จือฉีกับมกรล่ะ”
เขาไม่เอ่ยยังดี พอเอ่ยก็เอ่ยถึงสองคน สีหน้าเสวียนจีก็หม่นลง อยู่ๆ หลิ่วอี้ฮวนพลันรู้สึกไม่ดี หันกลับไปมองอวี่ซือเฟิ่งอย่างตื่นตระหนก เขารีบกล่าวว่า “อู๋จือฉียอมไปรับโทษเอง กลับไปแดนปรภพรับโทษอาญาอีกครั้ง มกร…คิดว่าเป็นเพราะการตายของไป๋ตี้ทำให้เขาสะเทือนใจมาก เกรงว่าในระยะเวลาอันสั้นคงไม่กลับมาแล้ว”
หลิ่วอี้ฮวนถอยหายใจ ตบหน้าอกตนเองว่า “ข้าถูกพวกเจ้าทำตกใจอายุสั้นไปอีกห้าปีแล้ว เจ้าลูกกระต่ายพวกนี้ เดิมข้าก็มีชีวิตอีกไม่กี่ปี เดี๋ยวทำตกใจเช่นนี้ เดี๋ยวทำตกใจเช่นนั้น ชีวิตข้าถูกพวกเจ้าทำจนสั้นแล้ว ไป๋ตี้ตายอย่างไร”
อวี่ซือเฟิ่งเล่ารายละเอียดคร่าวๆ รอบหนึ่ง มีแต่เรื่องก่อนหน้าของเสวียนจีบางเรื่องที่เขาไม่รู้กระจ่างนัก กอปรกับเรื่องที่เขาพบเจอในแดนนรกก็แปลกอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นจึงไม่ได้เล่า เล่าจนหลิ่วอี้ฮวนยิ่งฟังยิ่งไม่อยากจะเชื่อ ถลึงตาโตจ้องมองกล่าวอย่างแปลกใจว่า “โถผลึกแก้วหลิวหลีนั่นร้ายกาจมากๆ! ภาษิตว่าวิญญูชนแก้แค้นสิบปีไม่สาย มันอดทนมาตั้งพันปี วิญญูชนในวิญญูชนโดยแท้!”
กล่าวจบก็รู้สึกแปลกใจ “โถผลึกแก้วหลิวหลีดีๆ มาแก้แค้นอะไรกัน? ก็แค่ผลึกแก้วหลิวหลีขาดไปชิ้นหนึ่งเท่านั้นนี่ หรือว่าเมื่อก่อนถูกไป๋ตี้พลั้งมือทำแตก ก็เอาแต่โกรธแค้นฝังใจมาเช่นนี้?”
เสวียนจียิ้มบางกล่าวเบาๆ ว่า “เพราะ…ข้าก็คือผลึกแก้วหลิวหลีชิ้นนั้นอย่างไร”
หลิ่วอี้ฮวนฟังไม่ชัด จึงได้ไล่ถามไม่หยุด พลันได้ยินเสียงดังเหนือศีรษะมาพร้อมกับเสียงหัวเราะว่า “โอย พวกเจ้าไปกันหมด? ไม่รอข้าเลย”
ทุกคนเพียงรู้สึกตาพร่ากับภาพตรงหน้า อู๋จือฉีก็ลงสู่พื้นในชั่วพริบตา น่าจะอาบน้ำชำระร่างกายเปลี่ยนเสื้อมาโดยเฉพาะ ผมเผ้าก็เรียบร้อย ต่างกับสภาพดูไม่ได้อย่างเมื่อก่อนลิบลับ หลิ่วอี้ฮวนอดผิวปากแซวไม่ได้ สัพยอกเล่นว่า “หนุ่มรูปงาม แต่งตัวดีเช่นนี้ ไปแดนปรภพหาคนรักหรือ”
อู๋จือฉีหัวเราะดัง กล่าวว่า “อืม สกปรกมาพันปี ก็ควรได้เวลาชำระล้างให้สะอาดสักหน่อย วันหน้ายังไม่รู้จะกลายสภาพเป็นคนสกปรกเละเทะอย่างไรเลย”
เสวียนจีมองเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ กล่าวเบาๆ ว่า “อู๋จือฉี จริงๆ แล้วเจ้าไม่กลับไปก็ได้…”
อู๋จือฉีส่ายหน้า “ชายชาตรีพูดแล้วไม่คืนคำ ข้าไม่ทำเรื่องไร้สัจจะเช่นนั้นหรอก” เขาเห็นทุกคนสีหน้าเศร้าใจ ไม่อาจตัดใจได้ ก็หัวเราะดังลั่นขึ้นมา ยกมือไปตบไหล่อวี่ซือเฟิ่งดังป้าบ แสยะยิ้มกล่าวว่า “อย่ามาทำท่าทางแบบพวกแม่นางทั้งหลายนั่น ข้าไม่อยากเห็น วันหน้าต้องได้พบกันอีก แยกจากกันต่างภพหยินหยาง เจ้าและข้าเคยกลัวที่ไหนกัน”
เสวียนจียังอยากคุยกับเขาอีกครู่หนึ่ง เขาไปครานี้ก็ไม่รู้อีกนานเท่าไรจะได้พบกันอีก ไม่แน่อาจได้แต่รอให้นางกับซือเฟิ่งตาย ถึงตอนนั้นไปพบกันในแดนปรภพ ดูไม่ค่อยดีเท่าไรกระมัง
อู๋จือฉีเงยหน้ามองท้องฟ้ากล่าวว่า “สายแล้ว ใกล้ครบหนึ่งชั่วยามแล้ว ข้าไปละ” กล่าวจบก็กระโดดสูงขึ้นไปหลายจั้งอย่างไม่ลังเล เสวียนจีไล่ตามไป ร้อนใจกล่าวว่า “อู๋จือฉี!” วาจาไม่ทันกล่าวออกมา รู้สึกเพียงแค่วาจานับพันหมื่น แม้นวาจาเดียวก็กล่าวไม่ออก
อู๋จือฉีโบกมือให้พวกเขาแต่ไกล ตะโกนก้องดังว่า “เรื่องเมื่อก่อนก็ผ่านไปแล้ว อย่าได้เก็บมาคิดเหลวไหลอีก! กลับไปเที่ยวแดนนรก ข้าเลี้ยงสุราพวกเจ้า!”
วาจายังไม่ทันจบ คนก็หายตัวไปแล้ว มองไม่เห็นแม้เงาอีก
ในใจเสวียนจีรู้สึกเสียใจ อึ้งอยู่ตรงนั้นเป็นนานก่อนจะตั้งสติได้ อวี่ซือเฟิ่งกุมข้อมือนางกล่าวอ่อนโยนว่า “เขากล่าวได้ถูกต้อง เรื่องที่ผ่านแล้วก็ผ่านไป พวกเราควรลืมให้หมดสิ้น มองไปวันข้างหน้า เสวียนจี ลูกคนแรกพวกเรา เจ้าอยากได้ชายหรือหญิง?”
สีหน้าเขาจริงจังมาก อยู่ๆ ถามคำถามเช่นนี้ เสวียนจีอึ้งเป็นนาน ก่อนหน้าจะแดงก่ำขึ้นมา ชักมือกลับ ค้อนขวับใส่เขา ร้อนใจกล่าวว่า “ผู้ใด…อะไรชาย อะไรหญิง! ปีศาจเฒ่าบ้ากามชอบกล่าววาจาน่ารังเกียจเช่นนี้เรื่อย!”
อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะดังลั่น หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะตาม ตบมือกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนช่างเป็นดังคู่เวรคู่กรรม สุดท้ายได้อยู่ร่วมกันแล้ว ซือเฟิ่ง ข้าว่าพวกเจ้าก็อย่ารอเลย รีบไปจากเขาคุนหลุน กลับสำนักเส้าหยางไปพบเจ้าสำนักฉู่สู่ขอนาง จะได้จัดงานแต่งให้เร็วๆ หน่อยน่าจะดีนะ”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอย่างแปลกใจว่า “พี่ใหญ่ไม่ไปกับพวกเรา?”
หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาใส่ “ข้ารอพี่สะใภ้เจ้า!”
อวี่ซือเฟิ่งเงียบงัน เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ท่านก็เป็นปีศาจบ้ากาม! มังกรเขียวมีอะไรดี ทั้งชั่วร้ายทั้งน่ารังเกียจ เห็นคนเขาสวยหน่อยก็ไม่สนใจอันใดแล้ว น่าอายไหมเนี่ย พวกเรายอมรับไม่ได้ ท่านรีบไปกับพวกเราเดี๋ยวนี้!”
หลิ่วอี้ฮวนยังคิดแก้ตัว อวี่ซือเฟิ่งพลันกล่าวว่า “ไม่ผิด เกรงว่ามังกรเขียวไม่อาจมาได้แล้ว นางแอบลงมาควักดวงตาสวรรค์ท่าน ไม่ใช่พระบัญชาราชันสวรรค์ กลับไปต้องถูกลงโทษ พี่ใหญ่รออยู่ที่นี่ก็คงรอเก้อ ไปกับพวกเราเถอะ!”
“อา อา? ไม่ใช่คำสั่งแดนสวรรค์?” หลิ่วอี้ฮวนยังคงงุนงง เสวียนจีที่ด้านหลังกลัวเขาไม่ยอมไป จึงยกกระบี่ตีหลังคอเขา หลิ่วอี้ฮวนไม่ทันได้ร้องสักแอะก็ตัวอ่อนยวบลง อวี่ซือเฟิ่งคว้าเขาไว้ด้วยมือเดียว ก่อนจะแบกขึ้นหลัง หันกลับไปมองเสวียนจีหัวเราะขำกล่าวว่า “เขาตื่นมา ยังไม่รู้จะอาละวาดอย่างไร”
เสวียนจีแค่นเสียงฮึขึ้นจมูก “กลัวเขาหรือ! จะว่าไป เจ้า…เจ้าต้องการพบท่านพ่อข้า สู่…ขออะไรนั่น ไม่มีญาติผู้ใหญ่จะได้อย่างไร” นางยังคงอายที่จะกล่าวเรื่องขอแต่งงานยามกลางวันแสกๆ เช่นนี้
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าต้องถามคำถามนั่น เจ้าต้องการชายหรือหญิง?”
เสวียนจีไม่รอเขากล่าวจบก็วิ่งหนีออกไปไกลแล้ว อวี่ซือเฟิ่งเผยรอยยิ้มบางไล่ตามไป ทั้งสองพูดคุยพลางหัวเราะเดินออกไปไกล