ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 37 ลืมสิ้นชาติภพ (อวสาน)
ไม่นานเสวียนจีก็รู้ว่าเรื่องสนุกที่อวี่ซือเฟิ่งพูดมานั้นหมายถึงอะไร
วันแต่งงานวันนั้น ตอนเสวียนจีถูกจับแต่งชุดเจ้าสาวและถูกทุกคนจูงออกมาที่ลานด้านหน้า ก็ได้ยินกลางท้องฟ้ามีเสียงดังสนั่นลงมา ตกใจจนผ้าแดงคลุมศีรษะเจ้าสาวร่วงหล่น พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นกลุ่มราวเปลวเพลิงแสบตาวาดผ่านขอบฟ้า ยามนี้ใกล้อาทิตย์อัสดงแล้ว ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ได้เห็นแสงสีราวนกเฟิ่งหวงสยายปีก ราวนกยูงรำแพน สีสันเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา เป็นภาพความงามที่หาชมได้ยากยิ่ง
เสวียนจีมองจนตาค้าง ไม่สนใจผ้าคลุมศีรษะที่ร่วงหล่นลงพื้นอีกต่อไป เหอตันผิงกับหลิงหลงรีบเข้ามาคลุมศีรษะให้นางใหม่ พลันได้ยินขบวนรับเจ้าสาวด้านหน้ามีเสียงร้องตะโกนดังมา เสียงดังราวกับจะสะเทือนถึงฟ้า แต่เป็นเสียงที่ตะโกนอย่างมีจังหวะ “รักกันร้อยปี! อยู่กันจนแก่เฒ่า! รักกันร้อยปี! อยู่กันจนแก่เฒ่า!” ดรุณีน้อยในกลุ่มคนมุงที่ใจไม่กล้าพอก็พากันตกใจจนสีหน้าแปรเปลี่ยน รีบพากันอุดหูแน่น
เสวียนจีถูกพวกเขาตะโกนดังสนั่น รู้สึกทั้งขำทั้งฉุน มองไปไกลๆ ก็เห็นอวี่ซือเฟิ่งขี่อาชางามดำมันขลับทั้งตัวขึ้นเนินเขามา เหอตันผิงรีบคลุมศีรษะให้นาง หลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนปรี่เข้าไปคุยเล่นกับเขาเรียบร้อยแล้ว ความอลังการในการรับเจ้าสาวของเขาเช่นนี้ หาได้น้อยมากจริงๆ อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ที่น่าสนุกยังอยู่ข้างหลัง เพียงแต่อาจล่วงเกินไปสักหน่อย แต่ก็ไม่อาจคิดมากอันใดแล้ว”
หลิงหลงกำลังรอดูเรื่องสนุก ถามเขาไม่หยุดว่าแท้จริงมีเรื่องสนุกอันใดกันแน่ อวี่ซือเฟิ่งเอาแต่ยิ้มไม่ตอบ ขยับม้าไปข้างกายเสวียนจีก่อนจะลงจากม้า เหอตันผิงส่งผ้าแพรแดงให้เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ระวังหน่อย อย่าได้ทำเสียงดังอะไรอีก เจ้าสาวตกใจหมด”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มรับคำ ในใจกลับคิดว่าเกรงว่าเสวียนจีเป็นเจ้าสาวที่ไม่หวาดกลัวอะไรที่สุดในโลกแล้ว ยิ่งทำได้แปลกประหลาดมากเท่าไร คาดว่านางย่อมยิ่งเบิกบานมากเท่านั้น คำว่าอ่อนแอไม่อาจทนรับไหวนั้นไม่มีวันนำมาใช้กับนางได้
เขาจูงผ้าแพรแดงเดินไปท่ามกลางผู้คนที่ส่งเสียงหัวเราะแสดงความยินดี ไปถึงยังห้องโถงกลาง ผ้าแพรแดงในมือสั่นไหว อีกด้านจูงดรุณีน้อยมาอย่างอ่อนโยนละมุนละไม อวี่ซือเฟิ่งรักใคร่และทะนุถนอมเหลือเกิน วันนี้เป็นวันแต่งงานของพวกเขาแล้ว ภรรยาของเขาไม่ว่าอ่อนแอก็ดี แข็งแกร่งก็ดี ในวินาทีนี้ก็มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ชีวิตนี้มีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่อาจทำอะไรวู่วาม ไม่อาจร้อนใจ ไม่อาจไม่ระวัง ค่อยๆ จูงผ้าแพรเดินไป ระวังอย่างที่สุดในทุกฝีก้าว วันหน้าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนต้องอยู่ด้วยกัน ไม่แยกจากกันอีก
กว่าจะกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จพิธีได้ ฉู่เหล่ยกับเหอตันผิงก็ยิ้ม หน้าตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเบิกบานยินดี ดึงทั้งสองคนมากำชับวาจามากมาย ตงฟางชิงฉีที่มาร่วมงานก็อดสัพยอกทั้งสองคนไม่ได้ “เสวียนจีน้อยครั้งนี้คงไม่เคืองท่านพ่อเจ้าลำเอียงแล้วกระมัง ได้แต่งกับเจ้าบ่าวสมดังประสงค์ วันหน้าเจ้าคงมีแต่เบิกบานใจ”
เสวียนจีถูกผ้าคลุมหน้าปิดจนรู้สึกอึดอัดมาก ได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยครึกครื้นยิ่ง นางกลับได้แต่ก้มหน้านิ่ง ในใจแทบอยากจะดึงผ้าคลุมหน้าน่ารังเกียจนี้ทิ้ง ปรี่ไปร่วมวงสนทนาเฮฮาด้วยเสียเลย ขณะกำลังรู้สึกอึดอัดอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงจากด้านนอกดังมาว่ามีคนส่งของขวัญมา งานแต่งงานของนางครั้งนี้ อย่างไรก็เป็นงานของบุตรสาวเจ้าสำนักเส้าหยาง แต่ละสำนักย่อมส่งของขวัญมากองไว้แล้ว อาวุธมีค่าและของดีต่างๆ สัตว์เลี้ยงสัตว์ปีก ทุกอย่างทำเอาแต่ละคนได้เปิดโลกทัศน์ตน ดังนั้นพอได้ยินว่ามีคนส่งของขวัญมา เสวียนจีก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร
จะว่าไป ในบรรดาของขวัญทั้งหมด นางชอบวานรเผือกของตงฟางชิงฉีที่สุด ว่ากันว่าเลือดมันรักษาได้ร้อยโรค และเสียงร้องวานรน้อยยังฟังแล้วน่ารักน่าเอ็นดู ผู้ใดจะไปทำร้ายมันลง ผู้ใดก็ไม่ทำร้ายมันไม่ได้ จึงเอามาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเล่น เจ้าหุบเขาหรงหุบเขาเตี่ยนจิงยังคงมอบอาวุธล้ำค่า เป็นมีดสั้นนกเป็ดน้ำ[1] มีดสั้นหยางดำขลับทั้งด้าม ดำมืดไร้แสง ตัดเส้นผมขาดได้ทันที พอเข้าใกล้ก็รู้สึกหนาวสั่นสะท้าน เป็นอาวุธร้ายกาจที่หาได้ยากยิ่ง ส่วนมีดสั้นหยินกลับตรงกันข้าม สีชมพูทั้งเล่ม ราวกับทำจากผลึกแก้วงดงามหาใดเทียม แต่ใช้การได้ดีไหมก็ยังต้องรอการทดสอบต่อไป
ฉู่เหล่ยได้ยินว่ามีคนส่งของขวัญมาก็รีบเชิญเข้ามา หากในใจนึกสงสัยอยู่ พิธีกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จแล้ว ถึงกับยังมีแขกมาไม่ถึงงาน ไม่เคยพบมาก่อนเลยจริงๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตู้หมิ่นหังประคองกล่องไม้จันทน์ใบหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน กล่าวว่า “อาจารย์ เชิงเขามีเด็กน้อยบอกว่ามีคนฝากมาร่วมยินดี ศิษย์ถามก็ไม่ยอมบอกว่าเป็นของผู้ใด ไม่กล้าเปิดดูก่อน ขออาจารย์พิจารณา”
ฉู่เหล่ย “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง รับกล่องไม้จันน์หอมมา รู้สึกเพียงแค่หนักอยู่ไม่น้อย พอถืออยู่ในมือก็รู้สึกถึงน้ำหนัก บนกล่องยังลงลายทองฝังหยก แกะสลักรูปปลาไนเริงร่าใต้ดอกบัวและใบบัว งานฝีมือประณีตสูงส่ง วิจิตรงดงาม บนกล่องยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา เห็นชัดว่าตัวกล่องนี้เป็นของล้ำค่าที่มีราคาสูงมาก
ฉู่เหล่ยไม่รู้เป็นของขวัญอวยพรจากผู้ใด ไม่รู้ว่าควรเปิดหรือไม่ กลัวมีอุบายแฝง จึงถามว่า “เด็กนั่นอยู่ไหน”
ตู้หมิ่นหังกล่าวว่า “เสี่ยวผิงจื่อจากร้านพะโล้เชิงเขา ถามเขาเป็นนานว่าผู้ใดมอบของขวัญนี้มา เขาว่าเป็นท่านอาที่มาซื้อสุราจากหมู่บ้านข้างๆ ผู้หนึ่งส่งมา และก็ยังรับฝากมาอีกทอดหนึ่งด้วย”
ฉู่เหล่ย “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง ในใจสงสัยมาก ก้มหน้าลงมองกล่องนั้นมีแม่กุญแจเล็กๆ น่ารักคล้องอยู่ ใต้กล่องมีบทกลอนสามสี่วรรค ก็คือคำท่องสำหรับเปิดแม่กุญแจ แม่กุญแจเช่นนี้โบราณมาก เป็นที่แพร่หลายในหมู่ชนชั้นสูงโบราณ ใช้เพื่อส่งของสำคัญล้ำค่า เนื่องจากเป็นงานฝีมือที่มีความซับซ้อน จึงถูกลืมเลือนไปนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบเห็นได้ในวันนี้
เขาทำตามคำบอกในบทกลอน หมุนกุญแจไปทางซ้ายสามรอบ ขวาอีกสองรอบ บนล่างอีกอย่างละที ได้ยินเสียง แกร๊ก กล่องค่อยๆ แยกเปิดร่องออก ฉู่เหล่ยตั้งท่ารออยู่ก่อนแล้ว หากในกล่องมีอาวุธลับซ่อนอยู่ พอปล่อยออกมาย่อมไม่ทำให้เขาบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย
ผู้ใดจะรู้ว่าพอเปิดกล่องออก ในนั้นไม่มีทั้งยาพิษและเข็มพิษ ทุกคนรู้สึกเพียงแค่ตาลุกวาว ในกล่องนั้นเปล่งประกายแสงละมุนตา สะท้อนใบหน้าฉู่เหล่ยแวววาว ที่แท้ในกล่องมีของอย่างอื่น มีแต่ไข่มุกใหญ่ขนาดเม็ดถั่วเหลืองหลายสิบเม็ด ทุกคนในที่นั้นนับว่าได้เปิดโลกทัศน์แล้ว โดยเฉพาะอวี่ซือเฟิ่ง ตำหนักหลีเจ๋อเขามีของล้ำค่าไม่เคยพบเห็นมากมาย โดยเฉพาะเพชรนิลจินดาที่มีมากมายนับไม่ถ้วน หากแต่ไรมาไม่เคยเห็นไข่มุกส่องประกายแสงแวววาวเช่นนี้มาก่อน ทุกคนมองไข่มุกเหล่านี้จนแทบลืมหายใจ ของขวัญนี้นับว่าประเมินค่ามิได้ เกรงว่าใช้เงินมากมายเท่าไรก็หาซื้อไข่มุกงดงามเช่นนี้ไม่ได้
ฉู่เหล่ยปัดไข่มุกเหล่านั้นออก เห็นใต้กล่องมีดจดหมายสีฟ้าอ่อนแผ่นหนึ่ง ด้านบนเขียนว่า แด่เสวียนจี ก็รู้ทันทีว่าย่อมเป็นสหายประหลาดที่บุตรสาวตนคบหาอยู่ในยุทธภพส่งมา เขาจึงส่งจดหมายให้เสวียนจี ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าดูซิว่าใครกัน”
ในที่สุดเสวียนจีก็หาเหตุเปิดผ้าคลุมหน้าออกได้แล้ว รับจดหมายมาเปิดอ่าน ก็เห็นอักษรหมึกดำลายเส้นอ่อนโยน เขียนว่ารวมใจเป็นหนึ่งตลอดไป อยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่า ความสุขสมบูรณ์ของท่านก็คือความสุขยินดีของข้า ลงท้ายไม่ได้ลงชื่อ แต่เสวียนจีรู้ทันทีว่าผู้ใดส่งมา
นางยกกล่องไม้จันทร์นั่นขึ้นอย่างทะนุถนอม ปลายนิ้ววาดผ่านไข่มุกงามเหล่านั้น รู้สึกสัมผัสได้ถึงความลื่นละมุน ในใจอดซาบซึ้งใจขึ้นมาไม่ได้
“ถิงหนู” นางเอ่ยขึ้นเบาๆ คลึงไข่มุกเม็ดหนึ่งก่อนจะวางลงในมืออวี่ซือเฟิ่ง “รู้ไหมว่าคืออะไร”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย กล่าวเบาๆ ว่า “น้ำตาเงือก”
เสวียนจีอดนึกย้อนกลับไปไม่ได้ว่า หลังจากพวกเขากลับมาจากเขาคุนหลุน ตนเองเคยไปหาที่ชายฝั่งทะเลตงไห่ หวังว่าจะหาถิงหนูพบ ได้เห็นว่าเขาสบายดีหรือไม่ แต่ไปติดต่อกันห้าหกครั้ง สุดท้ายก็หาเขาไม่พบ ตอนนี้คิดแล้ว คงเป็นเขาจงใจหลบหน้า ความรู้สึกของถิงหนูที่มีต่อเทพสงครามเป็นอะไรที่บอกไม่ถูก พูดก็ไม่กระจ่าง แต่ไรมาแววตาเขามองนางอย่างอ่อนโยนเสมอมา ในความคิดเขาน่าจะเห็นเสวียนจีเป็นดังสตรีที่เย็นชาราวน้ำค้างแข็ง
แต่ตอนนี้นางไม่ใช่เทพสงครามและไม่ใช่อสูร นางคือดรุณีน้อยฉู่เสวียนจี เป็นมนุษย์ธรรมดา วันนี้แต่งงาน ดังนั้นเขาจึงต้องหลบหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเจอ เจอกันแล้วจะมีความหมายอันใด ก็เหมือนเขามาอย่างเงียบๆ ไม่มีลางบอกล่วงหน้าอันใด ตอนนี้เขาก็จากไปอย่างเงียบๆ ไม่มีวาจาใดเช่นกัน
มองเห็นแต่ชายทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ตอนผืนทะเลกระจ่างใสในคืนเดือนเพ็ญ เงือกจะว่ายออกมาวนเวียนท่ามกลางปะการังหรือไม่ ผมยาวราวสาหร่ายมีหยาดน้ำหยด ค่อยๆ ครวญเพลงที่มีแต่เขาที่ได้ยิน เสียงเพลงดังดนตรีแห่งสรวงสวรรค์เช่นนั้น ชาตินี้นางไม่อาจได้ฟังอีกแล้ว
เสวียนจีเงียบงันพลางปิดกล่องลง อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ได้เวลาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
เสวียนจีรีบพยักหน้า ยกมือขึ้นปิดผ้าคลุมหน้าลง กลับไปเป็นเจ้าสาวแสนขี้อายของนางต่อ อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะดัง “ไม่ต้องแล้ว! ปิดหน้า ข้าจะมองเห็นเจ้าได้อย่างไร”
เขากุมมือเสวียนจีเดินไปยังห้องโถง ยามนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว แสงตะวันเหลือเพียงปลายแสงสุดท้าย เหอตันผิงรีบสั่งการให้บรรดาศิษย์จุดโคมไฟ อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ต้อง”
วาจากล่าวจบ ทุกคนรู้สึกเพียงแค่เบื้องหน้าอยู่ๆ สว่างวาบ ราวกับมีดวงตะวันเจ็ดแปดดวงขึ้นตรงพื้นราบ ลุกโชนโชติช่วงจนสายตาสู้ไม่ได้ แสงเกิดจากพื้นก่อนจะวูบขึ้นสู่กลางท้องฟ้า พอเพ่งมองอีกที ก็เห็นเพียงกลางท้องฟ้ามีรถคันยาวสีแดงสด พู่ห้อยงดงามปลิวสะบัดส่งเสียงดังไปตามกระแสลมพัด รอบคันรถมีครุฑแปดตัวประคองไว้ ปีกทองคำส่องประกายพลางส่งเสียงร้องไพเราะดัง
ทุกคนล้วนตกใจยิ่ง แม้ว่าเรื่องที่ทุกคนในตำหนักหลีเจ๋อล้วนเป็นครุฑจะไม่ใช่ความลับอะไรแล้ว แต่มาแสดงต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้อย่างไม่ปิดบัง ดังคาด ทำเอาทุกคนตกใจค้างเติ่ง แขกที่มาก็มีพวกคนแก่ยังหัวโบราณคร่ำครึ ยามนี้พากันเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว ทุกคนต่างมองกันอย่างตื่นเต้น ฉู่เหล่ยเองก็คาดไม่ถึงอย่างมาก อ้าปากคิดจะถาม ไม่ทันได้ทำอะไรก็เห็นคู่บ่าวสาวหันกลับมาคุกเข่าลงโขกคำนับตนเองสองสามีภรรยาสามทีอย่างนอบน้อม
อวี่ซือเฟิ่งเสียงดังกังวานก้องกล่าวว่า “ท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย พวกเราสองคนขออำลาก่อน”
ฉู่เหล่ยได้ยินก็ตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน เขายังคิดว่าคู่บ่าวสาวจะอยู่สำนักเส้าหยางอีกสักสองสามวัน ผู้ใดจะคิดว่าพอแต่งเสร็จก็คิดจากไปทันที คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน เขารีบกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรีบ…”
ในยามนั้นหลิงหลงก็ร้องไห้ขึ้นมา ร้องตะโกนดังขึ้นว่า “ทำไมไปเร็วเช่นนี้ เสวียนจี อย่างไรก็อยู่ต่ออีกสองสามวัน! มีวาจามากมายยังไม่ได้คุยกันเลย!”
เสวียนจีเผยรอยยิ้มบางส่ายหน้า กล่าวว่า “ใต้หล้าล้วนไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ถึงตรงนี้ก็ดีมากแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่ หลิงหลง พี่เขย ศิษย์พี่ใหญ่…พวกเราต้องกลับมาอีก ไม่ต้องเป็นห่วง”
กล่าวจบก็หันหลังจากไป ฝีเท้าเบากริบ พริบตาก็เดินออกจากห้องโถงไป ทุกคนรีบไล่ตามออกไป ตู้หมิ่นหังสีหน้าสับสน ร้องเรียกเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง “ศิษย์น้องเล็ก!”
เสวียนจีหันกลับไปโบกมือให้เขา สีหน้าเห็นชัดว่าเหมือนเมื่อตอนยังเป็นเด็ก ยิ้มอย่างแล้งน้ำใจที่สุด ไม่มีความกังวลอันใดในใจ ในใจเขารู้สึกเจ็บปวด ดวงตาค่อยๆ เปียกชื้น
อยู่ๆ มีเปลวไฟวาบขึ้นสูงหลายจั้งราวกับดอกบัวบานดอกหนึ่ง เสวียนจีถูกไฟนั้นประคองไว้ เดินตัวเบาหวิวเข้าไปในรถคันยาว อวี่ซือเฟิ่งเหินกระบี่ขึ้นผ่านเปลวไฟร้อนแรง ปรากฏตัวอีกทีก็สยายปีกเพลิงทองคำบนแผ่นหลังออกส่องประกายระยิบระยับที่มองแล้วได้แต่เคลิบเคลิ้ม ครุฑแปดตัวอาบเพลิงบินทะยาน พริบตาก็หายไปจากสายตาของทุกคน ทิ้งไว้เพียงแค่เปลวไฟสีทองส่องประกายวิบวับระยิบระยับ ทำให้ทุกคนรับรู้ว่าเมื่อครู่ที่นี่มีภาพงดงามเกินจินตนาการ
อวี่ซือเฟิ่งบอกว่าเรื่องสนุก ที่แท้ก็หมายถึงเรื่องนี้ เขาเป็นปีศาจ นางเป็นอสูร ผู้ใดก็ไม่สนใจสถานะ พร้อมเปิดเผยตนเองออกมาอย่างไม่ปิดบัง จึงเรียกว่างานแต่งงานแท้จริง
*****
จากนั้นสามปี เสวียนจีสองสามีภรรยาก็จะกลับมาเยี่ยมครอบครัวที่สำนักเส้าหยางทุกปี
สัญชาตญาณของหลิงหลงผิดพลาด นางให้กำเนิดบุตรสาวหน้าตางดงามหมดจด ไม่ใช่บุตรชาย บุตรสาวเหมือนนางแปดส่วน ร้องไห้น้อยมาก เอาแต่ยิ้มเริงร่าทุกครั้งที่มีคนเข้ามาเล่นกับนาง จงหมิ่นเหยียนรักและเอ็นดูจนแทบเรียกว่าหลง แทบจะอมเข้าในปากดังของมีค่าไม่ให้กระทบกระเทือน อวี่ซือเฟิ่งตั้งชื่อให้ว่าจงเหวินจวิน อีกปีต่อมาหลิงหลงก็ให้กำเนิดบุตรชายอีกคน ตั้งชื่อว่าจงซีจวิน
สามปีต่อมา อวี่ซือเฟิ่งก็มอบตำแหน่งเจ้าตำหนักหลีเจ๋อให้ผู้อาวุโสถัง ตนเองพาเสวียนจีไปจากตำหนักหลีเจ๋อตัวเปล่า ไม่นำอะไรไปด้วย รอนแรมออกทะเล เริ่มแรกยังมีส่งข่าวมาบ้าง แล้วก็ค่อยๆ ไร้การติดต่อ พริบตาก็ผ่านไปสี่ปีแล้ว
วันหนึ่งเดือนหนึ่งในปีหนึ่ง ณ เมืองหนึ่งประเทศหนึ่งโพ้นทะเล เป็นวันที่อากาศและสายลมดีงามยิ่ง อวี่ซือเฟิ่งปิดประตูร้านขายยา เอายาออกมาตากแดดบนเสื่อด้วยกันกับเสวียนจีสองคน วานรเผือกบนหลังคาส่งเสียงร้องเริงร่า ก็ไม่รู้จับอะไรมาเล่นจึงหัวเราะร่าเริงเช่นนั้นได้ เอาสมุนไพรตากไปได้ครึ่ง เสวียนจีก็ขี้เกียจขยับแล้ว เอนตัวลงนอนตากแดดบนเสื่อเสียอย่างนั้น รอบกายอบอุ่นละมุนละไมทำเอาอยากจะเคลิ้มหลับสักหน่อย
“ซือเฟิ่ง พวกเราไม่ได้กลับไปนานเท่าไรแล้ว เจ้ายังจำได้ไหม” เสียงนางฟังแล้วเกียจคร้านยิ่ง
อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางแอบขี้เกียจ ตนเองก็เริ่มขี้เกียจตาม นั่งลงข้างกายนาง ตอบรับเนิบนาบว่า “น่าจะ…สามสี่ปีได้แล้วกระมัง”
เสวียนจีตีท้องที่นูนขึ้นมาของตนเอง เงยหน้าถามเขา “เจ้าดูไอ้นี่สิ พวกเราควรหาเวลากลับไปให้ท่านพ่อท่านแม่ได้ดีใจด้วยกันสักหน่อยไหม”
อวี่ซือเฟิ่งกุมมือนางไว้ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “อะไรไอ้นี่ไอ้นั่น นี่คือลูกเรา เจ้าตีเช่นนี้ ลูกจะทนไหวได้อย่างไร”
เสวียนจีจึงเอียงศีรษะไปหนุนตักเขาเสียเลย ทำท่าเหมือนจะหลับ พึมพำกล่าวว่า “เหวินจวินปีนี้อายุเจ็ดขวบแล้ว ซีจวินก็หกขวบแล้ว ลูกเรายังนอนหลับอุตุอยู่ในท้องแม่เลย กลับไปเจอหลิงหลง นางคงได้ใจแย่เลย ไม่แน่นะ หลายปีนี้อาจออกลูกอีก…โอย เขาสองคนออกเก่งจริง”
อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “รอให้ลูกคลอดก่อนค่อยพาไปเยี่ยมตายาย เจ้าตั้งครรภ์ อย่าเดินทางไกลดีกว่า จะได้ไม่สะเทือนครรภ์”
“เจ้าว่าครรภ์นี้มันคืออะไรกัน บอกว่าสะเทือนก็สะเทือนหรือ เด็กน้อยในท้องอยู่ดีๆ คิดขยับสักหน่อยก็ว่าสะเทือนครรภ์อะไรกัน?”
อวี่ซือเฟิ่งไม่สนใจคำถามเหลวไหลเลอะเทอะของนาง ช่วงเวลาแห่งความเกียจคร้านยามบ่ายล้วนคุยแต่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ เป็นเวลาที่เหมาะแก่การนอนมากที่สุด วันเวลาที่รู้สึกว่างไม่มีอะไรทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาทั้งสองคนชอบที่สุด หลายปีมานี้พวกเขาไปที่ใหม่ที่ใดก็จะพักสักสองสามเดือน อวี่ซือเฟิ่งปลูกสมุนไพรเอาออกไปขายแลกเป็นค่าเดินทาง บางทีก็มีงานช่วยปราบปีศาจสยบมารร้ายอะไรบ้าง พอพักจนเบื่อก็จะสะบัดก้นจากไป ไปหาที่เที่ยวใหม่ต่อ เที่ยวจนพอใจก็ไปต่อเรื่อยๆ
หากครั้งนี้พบว่าเสวียนจีตั้งครรภ์ พวกเขาจึงต้องกลับสำนักเส้าหยางไปเยี่ยมครอบครัว สี่ปีไม่ได้ติดต่อกัน คนทางบ้านย่อมเป็นห่วงแย่แล้ว
ทั้งสองกล่าววาจาเหลวไหลกันครู่หนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งก็เริ่มตาปรือ อดเอนตัวนอนลงบนเสื่อไม่ได้
เสวียนจีอยู่ๆ ก็ขยับตัวเบิกตากว้างเอียงหูฟัง อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำไมหรือ”
นางฟังอยู่ครู่หนึ่ง อยู่ๆ ก็ยิ้มกว้าง กระโดดตัวลอยขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “มีคนกลับมา”
มีคนกลับมา? นอกจากเขาสองคน ยังมีผู้ใดต้องการ ‘กลับมา?’ อวี่ซือเฟิ่งยันตัวลุกตาม ทั้งสองเปิดประตูออกไปเห็นนอกประตูเป็นทุ่งนากว้างไกลเขียวขจีผืนหนึ่ง ลมพัดมาแผ่วเบาราวกับคลื่นสีเขียวซัดสาดมา
บนคันนามีคนผู้หนึ่งสวมหมวกสานค่อยๆ เดินมา ลมพัดคลื่นสีเขียวพลิ้วแผ่วสะท้อนให้เห็นผมสีเงินบนแผ่นหลัง เขาตะโกนร้องเพลงเสียงดังว่า “ฟ้าไม่อาจคาดเดา หลักการไม่อาจวางแผน ชะตาล่วงรู้ เกิดเหตุเมื่อใด ใต้หล้าท่ามกลางเตา เผาหลอมละลาย หยินหยางเถ้าถ่าน สรรพสิ่งหลอมรวมเป็นทองแดง…”
ทั้งสองยืนพิงประตูอยู่ด้วยกัน สบตายิ้มให้กัน ภาพยามนี้คุ้นเคยยิ่งนัก เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “ในที่สุดเขาก็มา เจ้าวายร้าย!”
คนผู้นั้นเดินมาใกล้จะถึงตรงหน้าก็ปลดหมวกสานลง ผมสีเงินยวงปลิวไปตามแรงลม เชิดหน้าขึ้นท่าทางยโสกล่าวว่า “ข้าจะกินข้าว”
เสวียนจีกระชากแขนเสื้อเขา ลากตัวเขาเข้ามา อวี่ซือเฟิ่งปิดประตูเบาๆ วานรเผือกบนหลังคาบ้านส่งเสียงร้องดัง
วันนี้ได้มารวมตัวกันอีกครั้งแล้ว
[1] นกเป็ดน้ำหรือเป็ดแมนดาริน เป็นสัญลักษณ์คู่ครองที่มีใจรักมั่น