ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 6 ไคหมิง (5)
เฟิ่งหวงเป็นราชาวิหคเช่นเดียวกับมังกร ในโลกมนุษย์เป็นสัตว์เทพที่มนุษย์ชื่นชอบที่สุด ร้อยวิหคคำนับหงส์ มังกรหงส์เปล่งรัศมีมงคล ไม่มีสิ่งใดที่มังกรหงส์ไม่เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความปรารถนาในชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขของมนุษย์
แต่สำหรับปีศาจ ความรู้สึกกลับต่างออกไปสิ้นเชิง ร้อยวิหคคำนับหงส์ ครุฑเช่นพวกเขาก็เป็นหนึ่งในร้อยวิหค จะยกเว้นไปได้อย่างไร มันฝังในจิตวิญญาณเลือดเนื้อ จากกระดูกถึงเส้นผม ล้วนเป็นความหวาดกลัวโดยธรรมชาติ สำหรับพวกเขาแล้ว เฟิ่งหวงย่อมไม่ใช่สัญลักษณ์มงคลอันใด พบเฟิ่งหวงก็เท่ากับพบความตาย
อวี่ซือเฟิ่งยังคงฝืนทนไว้ หลิ่วอี้ฮวนข้างๆ ลงคุกเข่ากับพื้นนานแล้ว ตัวเริ่มหดเล็ก เหงื่อแตกพลั่ก สั่นไปทั้งตัวราวกับมีพลังกดทับจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้แล้ว “พี่ใหญ่!” เขาเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง เอื้อมมือไปประคองเขาไว้ ผู้ใดจะรู้ว่าตนเองเองก็เข่าอ่อน ถึงขีดสุดแล้ว อดคุกเข่าลงไม่ได้เช่นกัน แม้แต่นิ้วมือก็ไม่อาจขยับได้
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ก็แค่นกตัวใหญ่! พวกเจ้ากลัวอะไร!”
หลิ่วอี้ฮวนฝืนกล่าวว่า “สะ…เสวียนจีน้อย บอกเจ้าเลยนะ…มันเป็นนกตัวใหญ่ตัวหนึ่งเท่านั้นแน่หรือ เจ้ามองเป็นไก่ย่างตัวใหญ่ก็ได้นะ…แต่สำหรับพวกเราแล้ว…มันคือดาวข่มเลยทีเดียว…”
เสวียนจีนึกถึงที่พวกเขาเป็นครุฑ วิหคบนโลกนี้ไม่ว่าได้บำเพ็ญเป็นปีศาจหรือไม่ หรือบำเพ็ญเป็นปีศาจอะไรที่ร้ายกาจเพียงใดก็ตาม หากพบเฟิ่งหวงก็ล้วนทำอะไรไม่ได้ ความรู้สึกนี้น่าจะเหมือนหนูเห็นแมว ไม่รู้ทำเช่นไรดี
นางกัดฟันเบาๆ แวบมากันอยู่หน้าทั้งสอง กระบี่เปิงอวี้วาดรัศมีแหเพลิงส่องประกายแปลบปลาบ หลิ่วอี้ฮวนถอนใจกล่าวว่า “ไร้ประโยชน์ เจ้าไม่เคยได้ยินเฟิ่งหวงอาบเพลิงสู่นิพพานหรือ มันจะกลัวไฟได้อย่างไร!”
ขณะที่พูด เฟิ่งหวงก็บินมาตรงหน้าแล้ว ดูท่าไม่หวาดกลัวแหเพลิงนั่นเลย เงยหน้าส่งเสียงร้อง พริบตาก็ราวกับเสียงเพลงเทพเซียนบรรเลง ราวเสียงระฆังสัมฤทธิ์ ขลุ่ย ปี่ พิณ…เสียงเครื่องดนตรีไพเราะมากมายมารวมกัน ทำให้ต้องมนตร์ตกในภวังค์ มิน่าผู้คนจึงว่าเสียงร้องเฟิ่งหวงราวกับเสียงสวรรค์ เป็นเสียงสวรรค์ดังคาด!
เสวียนจีกระทืบเท้าตะโกนดังขึ้นว่า “เผาไม่ตาย ข้าก็จะฟันมัน!”
นางวาดกระบี่เปิงอวี้ แหเพลิงอยู่ๆ พลันครอบลงมา ครอบรอบกายอวี่ซือเฟิ่งกับหลิ่วอี้ฮวน ที่แท้นางรอบคอบ กลัวว่าพวกจอมเวทจะฉวยโอกาสกลับมาจับตัวเขาสองคนไป ดังนั้นจึงใช้แหเพลิงปกป้องพวกเขาไว้ อวี่ซือเฟิ่งเห็นกลิ่นไอสังหารนางคุกรุ่นก็คิดโดดออกไป ร้อนใจกล่าวว่า “เสวียนจี! อย่าเจออะไรก็สังหารทิ้งนะ! อย่าลืมวัตถุประสงค์ที่พวกเรามาที่นี่! ไม่ใช่มาสังหารผู้ใด!”
นางย่อมเข้าใจความหมายซือเฟิ่ง นางไม่ฆ่ามันก็ต้องถูกมันฆ่า! หรือจะยอมปล่อยให้มันฆ่าตนเองเฉยๆ? เสวียนจีเหินกระบี่ขึ้นวนรอบเฟิ่งหวงตัวนั้น ร่างมันราวกับภาพมายา ไม่มีวิหคใดงดงามไปกว่ามันอีกแล้วจริงๆ
อยู่ๆ นางก็ไม่เข้าใจ เหตุใดนางไม่อาจหยุดสังหารได้ สังหารแต่ชาติก่อนมาจนชาตินี้ ผู้ใดรั้งนางไว้ หรือเป็นปรปักษ์กับนาง นางก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อย ความคิดแรกก็คือสังหารให้ราบ หรือว่าไม่อาจมีวิธีคิดแบบอื่น สังหารไปสังหารมาเช่นนี้ นางก็คงสังหารไปจนถึงเบื้องหน้าราชันสวรรค์ ยังจะมีความหมายอันใด
ในที่สุดนางก็เข้าใจคำพูดของอวี่ซือเฟิ่งแล้ว
นางต้องเรียนรู้วิธีอื่นนอกจากการสังหารทิ้ง เช่นยามเผชิญหน้ากับสัตว์เทพงดงามอัศจรรย์เช่นนี้ เหตุใดนางไม่ลองอยู่ร่วมกับมันอย่างสันติดูก่อน ใช้การสังหารมาสยบขุนนางย่อมไม่อาจได้รับความจริงใจตลอดไป นางแสดงความจริงใจทั้งหมดออกมาเพื่ออวี่ซือเฟิ่งได้ แล้วไยจะขี้เหนียวที่จะมอบความจริงใจอย่างมนุษย์ธรรมดาให้ผู้อื่น
เสวียนจีเก็บกระบี่เปิงอวี้ เก็บคืนกลิ่นไอสังหารลง พยายามสงบใจ ถึงกับใช้ใจที่ชื่นชมวนรอบเฟิ่งหวง พยายามรั้งมันที่คิดจะบินหาพวกอวี่ซือเฟิ่งเอาไว้ วนรอบเช่นนี้ได้ราวครึ่งชั่วยาม ราวกับในที่สุดเฟิ่งหวงก็ถูกความอดทนของนางทำให้หวั่นไหว หันกลับมาสนใจแม่นางน้อยที่กำลังวนเวียนอยู่รอบกายตน
เสวียนจีเห็นปีกยาวๆ ด้านหลังมัน ก็อดใช้มือลูบไม่ได้ ขนปีกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟส่องประกายชั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงราวกับภาพมายา นอกจากเสวียนจี น่าจะไม่มีคนกล้าใช้มือลูบขนเฟิ่งหวงแล้ว เฟิ่งหวงก็แทบจะไม่เคยถูกคนลูบเช่นนี้มาก่อน ตอนนั้นจึงสั่นเทาไปทั้งตัว เงยหน้าจ้องมองนาง แววตาระวังตัวปนกับความซาบซึ้ง
เสวียนจียิ้มเซ่อซ่าให้มัน ไหวไหล่กล่าวว่า “ผิวสัมผัส…ดีมาก เจ้างามจริงๆ เลยอดลูบไม่ได้…”
เฟิ่งหวงก้มหน้าลงส่งเสียงร้องราวกับไข่มุกหยกค่อยๆ หล่นลงจานผลึกแก้วหลิวหลีเบาๆ เสียงไพเราะมาก เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “อย่าโมโห ข้าไม่ได้คิดร้าย ข้ามาที่นี่ ก็แค่อยากเข้าเฝ้าราชันสวรรค์เท่านั้น”
นางไม่สนว่าเฟิ่งหวงฟังเข้าใจหรือไม่ ยังคงพูดกับมันไม่หยุด ไม่เพียงแต่ไม่ได้กบฏ หากยังคิดเสวยสุขในโลกมนุษย์ดีๆ ต่อไป เป็นมนุษย์แท้จริงอีกครั้ง เป็นบุตรสาวคนเล็กที่วันๆ กล่าวแต่วาจาเหลวไหล นางพร่ำพูดจนเฟิ่งหวงเริ่มทนไม่ไหว ส่งเสียงร้องรำคาญก่อนจะหันหน้าบินกลับไป ขี้เกียจจะอยู่ร่วมกับแม่นางประหลาดผู้นี้
เสวียนจีเห็นก็ดีใจ อดกระโดดขึ้นกอดหลังมันอย่างเต็มแรงไม่ได้ เบียดตัวถูไถ เฟิ่งหวงตกใจกับการกระทำของนางจนขนตั้งไปทั้งตัว ดวงตาแวววาวระยิบจ้องใส่นาง ถลึงตาจ้องอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ยังคงยอมแพ้ เงยหน้าส่งเสียงร้องดัง กระพือปีกบินวนสามรอบ สลัดเสวียนจีลงไปเบาๆ หันกลับไปมองนาง พยักหน้าเล็กน้อย สุดท้ายก็บินออกไปไกล
ตอนเสวียนจีกลับถึงพื้น ยังตื่นเต้นตกใจสองเข่าอ่อนยวบ เก็บแหเพลิงที่ครอบอวี่ซือเฟิ่งไว้แน่นหนา ร้องดังขึ้นว่า “ซือเฟิ่ง! เจ้าดู เจ้าดู! ข้าไม่ได้ฆ่ามัน! ข้ากล่อมมันได้แล้ว!”
ในที่สุดนางก็เข้าใจความรู้สึกที่ไม่ต้องสังหารแต่ใช้การเกลี้ยกล่อมแทนนั้นเป็นอย่างไร นุ่มนวล จริงจัง จริงใจ เสมอภาค…ไม่มีผู้ใดสูง ผู้ใดต่ำ ผู้ใดแข็งแกร่ง ผู้ใดอ่อนแอ และไม่ต้องแบ่งแยกว่าเจ้าตาย ข้าเป็น ใช่แล้ว จริงใจ ขอเพียงปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ จึงจะเป็นหลักการอยู่ร่วมกันอย่างแท้จริง
เหมือนนางกับคนในครอบครัวข้างกายทุกคน กับหลิ่วอี้ฮวน กับอู๋จือฉี กับมกร กับจิ้งจอกม่วง…ทำไมนางถึงไม่ค้นพบให้เร็วกว่านี้! พลังแม่ทัพเทพสงครามน่ากลัว แต่สิ่งที่นางอยากเป็นนั้นไม่ใช่แม่ทัพเย็นชาไร้ใจ นางอยากเป็นฉู่เสวียนจี มนุษย์แท้จริงคนหนึ่ง ขอเพียงนางยังคงใช้พลังน่ากลัวของเทพสงคราม นางก็ย่อมอยู่ใต้เงามืดของชาติก่อนอย่างไม่อาจสลัดหลุด ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้ว
อวี่ซือเฟิ่งลูบหลังนาง ค่อยๆ ลูบ ในที่สุดก็ราวกับลูบขนแมว ทั้งสองสบตากัน ล้วนเผยรอยยิ้มบาง หลิ่วอี้ฮวนข้างๆ กระแอมไอเสียงดังขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “กลางวันแสกๆ! ข้าเป็นท่อนไม้หรือไร”
ครั้งนี้เสวียนจีถึงกับไม่หน้าแดง แต่หันกลับไปกอดเขาไว้อีก หลิ่วอี้ฮวนทั้งแตกตื่นทั้งยินดียันไหล่นางออก หลุดหัวเราะ “โตเท่าไรแล้ว ยังมาออดอ้อนเช่นนี้อีก!”
เสวียนจีเผยรอยยิ้มบาง ดึงทั้งสองขึ้นจากพื้น ยิ้มกล่าวว่า “ไป! พวกเราเข้าไปกัน! ข้ารู้ว่าจะพูดอะไรกับราชันสวรรค์แล้ว! คิดเตรียมคำพูดไว้หมดแล้ว!”
หลิ่วอี้ฮวนกล่าวอย่างแปลกใจว่า “คำพูดอะไร หากเจ้าได้พบราชันสวรรค์ คิดว่าจะพูดเช่นไร”
เสวียนจีกำลังจะกล่าว พลันได้ยินกลางท้องฟ้ามีเสียงหัวเราะลอยแว่วมาเบาๆ เสียงไม่เหมือนกับตาเฒ่าเมื่อครู่ เป็นเสียงกังวานใสและอ่อนโยน ทั้งสามต่างตะลึงงัน ตามมาด้วยแสงสีขาวครอบลงบนศีรษะ คลุมอวี่ซือเฟิ่งไว้ตรงกลาง แสงนั่นไม่เหมือนกับแสงสีขาวที่จับจิ้งจอกม่วงไปก่อนหน้า ดูแล้วเหมือนเป็นแสงตะวันที่ลงมาจากฟ้า อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าตกตะลึงอยู่ตรงกลาง ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เสวียนจีรีบยกมือจะคว้าเขาไว้ ผู้ใดจะรู้ว่าแสงนั้นถึงกับแน่นหนายิ่งกว่ากำแพงทองแดงกำแพงเหล็ก ไม่ว่านางจะทุบตีอย่างไรก็ไม่ทะลุ อวี่ซือเฟิ่งแหงนหน้ามองฟ้า หว่างคิ้วค่อยๆ คลายลง มีแววแปลกใจและตกใจเล็กน้อย ทั้งร่างค่อยๆ กลายเป็นหมอกควันหายวับไปต่อหน้าทั้งสอง หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ยามนี้ทำเอาเสวียนจีกับหลิ่วอี้ฮวนตกใจจนสติแตก ทั้งสองราวกับแมลงวันไร้หัวค้นหาวุ่นไปทั่วบริเวณหน้าประตูใหญ่เป็นนาน แต่ก็ไร้ร่องรอย เสวียนจีน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เป็น…เป็นจอมเวทนั่น?! เขาเอาตัวซือเฟิ่งไปแล้ว!”
หลิ่วอี้ฮวนเห็นสีหน้านางแปลกไป เกรงว่าความยินดีก่อนหน้าอยู่ๆ ต้องมาแปรเปลี่ยนไป จะทำให้นางเสียการควบคุมตนเอง จึงรีบกล่าวว่า “ไม่ใช่จอมเวทนั่น! ข้าได้ยินเหมือนมีเสียงหัวเราะราวกับไม่ได้คิดร้าย เดาว่าเป็นเทพเซียนองค์ใดเห็นซือเฟิ่งถูกชะตาเลยพาเขาไปดื่มน้ำชา เจ้าอย่าใจร้อน! เด็กนั่นฉลาดมาก ย่อมไม่เป็นอะไรอย่างเด็ดขาด!”
เขาเองก็ไม่กล้ารับรอง และก็เป็นห่วงแทบตาย แต่เขากลัวเสวียนจีสูญเสียการควบคุมตนเองยิ่งกว่า หากนางออกอาการขึ้นมาอีก เปล่งพลังสังหารไปยังเบื้องหน้าราชันสวรรค์ ความพยายามก่อนหน้าทั้งหมดใช่ว่าสูญเปล่าหรือ
เสวียนจีนิ่งอึ้งไปเป็นนาน ใจเต้นระส่ำ ไอสังหารขึ้นมาเป็นระยะ ครู่หนึ่งอดคิดจะระเบิดออกมาไม่ได้ อยากจะไม่สนใจอันใด บุกสังหารเข้าไป ครู่หนึ่งก็พยายามระงับไว้ อัดอั้นจนสองมือสั่นเทา สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร นางสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าค่อยๆ สงบลง เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “พี่หลิ่ว พวกเราไปเข้าเฝ้าราชันสวรรค์ ซือเฟิ่งต้องถูกเขาพาไป พวกเราไปเข้าเฝ้าทูลให้กระจ่าง”
หลิ่วอี้ฮวนถอนหายใจ ดีใจกล่าวว่า “เจ้าคิดได้เช่นนี้ ดีมาก! เสวียนจี อย่าลืมที่ซือเฟิ่งพูดกับเจ้า” สงบ จริงใจ นุ่มนวล นางต้องเรียกรู้สามประการนี้ หากนางคิดจะเติบโตจริงๆ เป็นมนุษย์แท้จริง ไม่ใช่เครื่องมือสังหารอีกต่อไป
เสวียนจีพยักหน้าเงียบๆ เดินไปได้สองสามก้าว อยู่ๆ กล่าวว่า “พี่หลิ่ว พวกท่านพูดมาข้าล้วนเข้าใจ แต่หลายครั้งข้าไม่รู้ว่าพวกนั้นแท้จริงรู้สึกเช่นไร เช่นก่อนพบซือเฟิ่ง ข้าไม่เคยเข้าใจอะไรเรียกว่ารัก ความรู้สึกหลายครั้งราวกับเลือนราง…มกรเคยกล่าวว่า ข้าเป็นคนไร้ใจ หรือว่าเป็นเช่นนี้จริง”
หลิ่วอี้ฮวนถอนใจกล่าวว่า “วาจาเขา เจ้าไยต้องจริงจัง แม้ว่าไร้ใจจริงๆ หรือว่าเจ้าไม่อาจสร้างใหม่อีกดวงได้”
สร้างใหม่อีกดวง? เสวียนจีหันกลับไปมองเขางงๆ หลิ่วอี้ฮวนยักคิ้วให้นาง แยกเขี้ยวยิงฟันไม่กล่าวอันใด เห็นนางยังไม่เข้าใจก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “เด็กโง่ จากเดิมเจ้าเป็นแต่สังหาร ตอนนี้มาเข้าใจการจัดการอย่างสงบ ไม่ใช่กำลังสร้างใจอีกดวงหรือ”
นางเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ คิดอยู่นาน ในที่สุดก็ถอนหายใจยาว กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าจะพยายามเรียนรู้ว่าจะดำรงความเป็นคนให้เป็นได้อย่างไร”
หลิ่วอี้ฮวนตบไหล่นาง ทั้งสองเดินอ้อมสิงห์ไคหมิงที่นอนขวางหน้าประตู เดินเข้าประตูไคหมิงบานใหญ่ไป พอเข้าไปแล้ว ประตูไคหมิงก็ปิดดังลั่น ค่อยๆ หายวับไป