ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 8 จอมเวท (2)
ยามนี้หลิ่วอี้ฮวนกำลังคิดหัวแทบแตกว่าจะรับมือคำถามลู่อู๋อย่างไร เสวียนจีอยู่ข้างๆ กำลังถลึงตาจ้องกับลู่อู๋ เรื่องนี้ไม่อาจหวังพึ่งนางได้เด็ดขาด นางไม่มีสมอง ไม่เป็นตัวถ่วงก็ไม่เลวแล้ว
อืม แท้จริงแล้วควรอธิบายอย่างไร ไม่สู้หาข้อแก้ตัว ดูว่าจะหลอกเขาได้ไหม หลิ่วอี้ฮวนกระแอมไอในลำคอเตรียมจะพูด เสวียนจีอยู่ๆ กล่าวว่า “เครื่องประดับเอวเจ้า ข้าเหมือนเคยเห็นที่ไหน”
นางชี้ไปที่ก้อนหินก้อนหนึ่งที่แขวนอยู่ตรงเอวลู่อู๋ ใหญ่ราวกำปั้น สีขาวราวแสงจันทร์บริสุทธิ์ ยังมีแสงสีฟ้าโปร่งแสงวิบวับ ทำให้คนนึกถึงทะเล ถ้านางจำไม่ผิด ที่เอวถิงหนูเหมือนมีเหมือนกัน จิ้งจอกม่วงไม่มีอะไรก็มักจะไปดมเล่นเลียเล่นเสมอ ว่ากันว่าเป็นก้อนหินมีพลัง
ลู่อู๋ก้มหน้าลงมองร้อง “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “นี่เป็นของที่ยึดมาจากนักโทษแดนสวรรค์ผู้หนึ่ง ไป๋ตี้ชมข้าว่าปลูกดอกไม้ได้ดี เลยประทานให้ข้า…เจ้าจะรู้จักได้อย่างไร หรือว่ารู้จักกับนักโทษนั่น”
ดวงตาแสงสีทองของเขาวิบวับ ยิ่งถลึงตาจ้องนางอย่างสงสัย
นักโทษ…ดูท่าน่าจะเป็นถิงหนู แม้แต่ของประดับติดกายยังถูกยึด หรือว่าเขาประสบเหตุร้ายแล้ว?! ในใจเสวียนจียามนั้นเย็นเยียบ จ้องมองลู่อู๋ไม่กะพริบ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “นักโทษผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารีบบอกข้ามาเร็ว”
ลู่อู๋มองนางอย่างสงสัยเป็นนาน อยู่ๆ ก็เผยสีหน้าตกใจ ลังเลกล่าวว่า “เจ้า…ช้าก่อน! ข้ารู้จักเจ้า! เจ้าใช่คนนั้น…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ได้ยินด้านหลังมีเสียงดังหยาบคายขัดจังหวะขึ้นกล่าวว่า “เจ้าตัวโง่เง่า ไม่ปลูกดอกไม้ แต่มาพูดวาจาเหลวไหลอยู่ได้!”
ลู่อู๋สะดุ้งตกใจหันขวับกลับไป เห็นมกรกอดอกยืนอยู่ด้านหลังด้วยท่าทางเอาแต่ใจเต็มที่ แผ่นหลังเขามีปีกเพลิงงดงามคู่หนึ่ง รัดหงส์แดงจูเชวี่ยมังกรเขียวไว้แน่น แม้แต่ใบหน้าก็ห่อจนมิด กำลังพยายามดิ้นรนขัดขืนเต็มที่ ดีที่มกรไม่ได้คิดทำร้ายพวกเขา ไม่เช่นนั้นคงน่าเสียดายมังกรเขียวที่เพิ่งอาบน้ำกลายเป็นสาวงาม ยังไม่ทันได้ให้มังกรอิงหลงได้เห็นก็ต้องมาถูกเผากลายเป็นเถ้าดำไปเสียก่อน
“ตะ ตะ ตะ ใต้เท้ามกร!” ลู่อู๋พลันลนลาน สองเข่าอ่อนยวบลงคุกเข่า อยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ตนเองไม่ได้ทำผิดอะไร ดังนั้นก็รีบลุกขึ้น พลันรายงานก่อนว่า “ใต้เท้ามกร! ท่านดู! สองคนนี้บุกรุกเขาคุนหลุน! ความผิดไม่อาจละเว้น ข้าน้อยกำลังจะเกลี้ยกล่อมพวกเขา…”
“อือฮึ” มกรส่งเสียงลอดออกจากจมูก วางท่าใหญ่โต “เจ้าไปได้ ที่นี่มอบให้ข้าจัดการก็พอ”
ลู่อู๋รีบรับคำทันที กำลังจะถอยไป อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่ถูกต้อง มองไปทางหงส์แดงจูเชวี่ยกับมังกรเขียวที่ถูกรัดจนขยับไม่ได้ ปากพึมพำกล่าวว่า “ไม่…ไม่ใช่สิ ใต้เท้ามกร ตอนนี้ท่านน่าจะถูกไป๋ตี้กักบริเวณ…ด้านหลังท่านสองท่านนั้น…”
ไม่รอให้เขากล่าวจบ หมัดมกรก็ประเคนใส่หน้าเขาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ต่อยเซียนปลูกดอกไม้กระเด็นลอยไปเสียอย่างนั้น เลือดไหลออกจากจมูก นอนแผ่หลานิ่งไปทันที ก็ไม่รู้เป็นหรือตาย
“พูดมาก!” เขาตบมือ หันไปถลึงตาใส่เสวียนจีกับหลิ่วอี้ฮวนที่อึ้งอยู่ อยู่ๆ แค่นหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ทำไม คิดตกแล้ว จะมาถอนพันธะสัญญาให้ข้าหรือ”
พอเสวียนจีเห็นเขา ในใจก็ตื่นเต้นยินดี แต่เขายังคงเอ่ยเหมือนเดิม นึกถึงตอนบ่ายวันนั้นแล้วก็แค้นใจกัดฟันกรอด มองเขาอีกที รูจมูกแทบจะเชิดขึ้นฟ้า อดเลิกคิ้วกล่าวอย่างแค้นใจไม่ได้ว่า “เจ้าฝันไปเถอะ! ข้าไม่ถอนพันธะสัญญา! เจ้าวายร้าย!”
มกรไม่โมโหกลับยิ้ม หัวเราะดังลั่นเป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าไม่เปลี่ยนเลย! ยังเหมือนเดิม แบบว่า…ดูอย่างไรก็สกปรกเหมือนเดิม?”
ที่แท้พวกเขาตลอดทางมาทั้งปีนเขาลงน้ำ เปื้อนดินโคลนมาไม่รู้เท่าไร ดูแล้วเหมือนมนุษย์โคลนสองคนดีๆ นี่เอง ดีที่เจอมามีแต่เซียนค่อนข้างโง่เง่า เช่น ไคหมิง ลู่อู๋ จึงมาถึงที่นี่อย่างงงๆ ได้ เสวียนจีลูบใบหน้าทีหนึ่ง เสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าสิสกปรก! สกปรกตายก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”
มกรยังคงยิ้ม เดินมาเท้าไหล่นางกล่าวว่า “ผู้หญิงเอ๊ย ผู้หญิงทั้งหลาย เทพเซียนก็ดี ปีศาจก็ดี หากเป็นหญิงล้วนเหมือนกันหมด มาๆ เจ้ายังจะด่าอะไรข้าอีก ด่ามาให้สะใจเลย ข้าจะได้ถูกด่าสั่งสอนทีเดียว”
ผู้ใดจะคิดว่านางเพียงแค่ถลึงตาใส่เขา ในตายังมีน้ำตาคลอ มกรพลันลนลานขึ้นมาทันที ยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “นี่ อย่านะ! เจ้าเป็นเจ้านาย ข้าเป็นเจ้านาย? เจ้าร้องไห้ทำไม! เอาน่า ข้าผิดเอง เจ้าตีข้าให้ตายเลย! ร้องไห้ทำไม!” เขาทนดูผู้หญิงร้องไห้ไม่ได้มากที่สุด ราวกับนั่งบนพรมที่มีเข็มทิ่มแทงจริงๆ
เสวียนจีสะอื้นไห้กล่าวว่า “เจ้า…เจ้าวายร้าย ไม่เป็นไร แต่ถิงหนูเขา…เขากลับตายแล้ว!”
ที่แท้นางไม่ได้ระเบิดอารมณ์เอาแต่ใจ มกรจึงได้วางใจ แอบเลื่อมใสอวี่ซือเฟิ่ง ผู้หญิงเป็นสิ่งน่าปวดหัวเช่นนี้ เขาถึงกับยังไล่ตามมานานหลายปีโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย มกรยิ้มกล่าวว่า “เจ้าฟังผู้ใดว่าเขาตายแล้ว เงือกนั้นแค่มีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิด โทษให้เขาตายได้อย่างไร ไม่ใช่ว่ายังนั่งอยู่ในคุกสบายๆ หรอกหรือ”
“แต่ที่ตัวลู่อู๋มีของประดับของถิงหนู!” เสวียนจีสูดจมูกทีหนึ่ง เห็นมกรมั่นใจเช่นนั้น นางก็เริ่มสงสัยแล้ว
มกรเชอะขึ้นเสียงหนึ่ง “เจ้าเคยเห็นนักโทษที่ถูกขังที่ไหนยังแต่งตัวสวยงามได้เล่า ต้องเป็นตอนที่ต้องเปลี่ยนเป็นชุดผ้าป่านนักโทษนั่น ถูกผู้คุมล้วงไปเป็นของมอบให้นายมากกว่า! เอาน่า เขาย่อมไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าว่านะ เจ้ามาทำอะไรที่นี่ กลิ่นไอสังหารรุนแรง ไม่ได้คิดกบฏจริงๆ ใช่ไหม”
หลิ่วอี้ฮวนแค่นเสียงชิขึ้นเสียงหนึ่ง “เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลน้อยหน่อย! ผู้ใดกบฏ อยู่ดีๆ ถูกคนใส่ความกลายเป็นนักโทษเสียอย่างนั้น ยังไม่อนุญาตให้พวกเรามาแก้ตัวอีกหรือ”
มกรหัวเราะ “แก้ตัว? พวกกินอิ่มไม่มีอะไรทำจริงๆ ที่นี่ผู้ใดจะฟังเจ้าแก้ตัว สวรรค์บอกว่าเจ้าผิด เจ้าก็ผิด ถึงถูกก็ผิด ไปหาที่หลบซ่อนตัวเงียบๆ แต่โดยดีจะดีกว่า กลับมารนหาที่ตาย เจ้านะ เจ้านะ…”
เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน เจ้าเป็นเทพเซียนมานานไปแล้ว ต้องเลอะเลือนไปแล้วแน่เลย ข้าเชื่อว่าราชันสวรรค์ย่อมไม่ลงโทษมั่ว ข้าตั้งใจมาที่นี่เพื่ออธิบาย ไม่คิดฆ่าผู้ใด ไม่คิดลงมือ ข้าก็แค่ต้องการกล่าวทุกอย่างกับราชาสวรรค์อย่างจริงใจสักหน่อย”
ในที่สุดมกรก็ไม่กล่าวอันใดอีก เขาใช้สายตาสงสารเห็นมองนางราวกับดูคนปัญญาอ่อน พลางส่ายหน้า
หลิ่วอี้ฮวนท่าทางไม่พอใจ อดโมโหไม่ได้ คำรามว่า “ทุกคนล้วนเป็นตั๊กแตนบนเส้นเชือกติดไฟด้วยกัน เจ้ามาทำยโสอะไร เช่นนั้นเจ้าว่ามาว่ามีวิธีอะไร กบฏนะ! นี่มันโทษอะไรกัน! รับก็เท่ากับตาย ตายไปแล้วยังต้องไปรับการทรมานที่นรกต่ออีก อย่างนั้นทำไมพวกเราไม่ลองสู้ดูสักตั้ง ขึ้นมาบอกเล่าให้กระจ่าง? เจ้าคิดว่านรกนั้นสนุกนักหรือ?!”
มกรขมวดคิ้วกล่าวว่า “ดี พวกเจ้าไปเข้าเฝ้าราชันสวรรค์! แก้ตัวไปเถอะ! ขอร้องไปเถอะ! ข้าจะดูสิว่าพวกเจ้าดิ้นรนทำไปแล้วได้อะไรมา!”
“ข้าว่า เจ้าอย่าเกินไปนักนะ…” หลิ่วอี้ฮวนกำลังจะระเบิดอารมณ์ ก็ถูกเสวียนจีกดบ่าไว้เบาๆ
“ไม่มีความรุนแรงใดจะรักษาสมดุลไว้ได้ นี่เป็นสิ่งที่ท่านพ่อข้าเคยกล่าวไว้ หากแดนสวรรค์เป็นดังที่เจ้าว่าจริง ใต้หล้าก็คงวุ่นวายกันนานแล้ว ข้ารู้สึกราชันสวรรค์ทำเช่นนี้น่ามีสาเหตุ ข้ามาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้ จะว่าไป เจ้ายังว่าพวกเรากบฏ ดูเจ้าเองทำอะไร! ปีกเพลิงเจ้ามัดผู้ใดไว้”
มกรท่าทางเก้อเขิน ปากแข็งกล่าวว่า “เกี่ยว…เกี่ยวอะไรกับเจ้า! ข้าจับคนชั่วสองสามคนไว้ย่างกิน เจ้ามีอะไรไม่พอใจ”
เสวียนจีกำลังหัวเราะใส่เขา พลันรู้สึกเหนือศีรษะมีสิ่งผิดปกติ สีหน้าแปรเปลี่ยน คว้าตัวหลิ่วอี้ฮวนที่ยังอึ้งอยู่กระโดดถอยหลังทันที ได้ยินเพียงเสียง ตึง ตึง ดังขึ้นหลายเสียง เมื่อครู่ที่ที่พวกเขายืนอยู่มีรอยยุบลงไปทั้งแถบ ราวกับมีของหนักๆ ทุบลงไปเต็มแรง ที่น่ากลัวที่สุดก็คือถึงกับไม่รู้ตัวว่าถูกอะไรทุบ
มกรเองก็อึ้ง ไม่ทันระวังมีพลังวูบหนึ่งทุบลงมาเหนือศีรษะตน เขาได้สติรีบโดดออกข้างๆ ผู้ใดจะรู้ว่าพลังสายนั้นยังเลี้ยวได้ ไม่เบนไม่เบี้ยว กระแทกฟาดขมับซ้ายเขาเต็มแรง ทันทีที่ฟาดโดน เขาก็เห็นดาวทันที สองหูอึ้ออึง อยู่ๆ พลันงุนงง
หงส์แดงจูเชวี่ยและมังกรเขียวที่ถูกปีกเพลิงด้านหลังเขามัดไว้ ก็รู้สึกว่าพลังรอบกายปลดปล่อย รีบฉวยโอกาสดิ้นรนสลัดหลุด หงส์แดงจูเชวี่ยถึงพื้นก็คำรามแค้นใจ “มกร เจ้ากบฏ! รู้ไหมตนเองกำลังทำอะไร?!” มังกรเขียวถูกปีกเพลิงเขาอบจนแทบหมดลมหายใจตาย แต่ไรมานางก็เป็นคนลอบกัด ยามนี้แม้แต่ทักก็ไม่ทัก พุ่งกรงเล็บเขียววาววับใส่ใบหน้าเขาทันที
มกรถูกพลังกระแทกขมับ กำลังมึนงง ไหนเลยจะหลบพ้น เสวียนจียังคว้าหลิ่วอี้ฮวนไว้ ไม่อาจสนใจเขาได้ เห็นกรงเล็บมังกรเขียวกำลังจะตะปบหัวเขา อยู่ๆ ด้านหลังมีมือหนึ่งยกปกเสื้อเขาขึ้น ดึงถอยหลัง หลบกรงเล็บมังกรเขียวพ้นพอดี
ตามมาด้วย น้ำเสียงเย็นเยียบกล่าวว่า “สัตว์เทพสู้กันเอง ไม่ค่อยสวยกระมัง”
ทุกคนในที่นั้นต่างพากันอึ้งไป คนผู้นี้อยู่ๆ ปรากฏตัวที่นี่ในตอนนี้ ก่อนหน้าที่มีเรื่องแปลกๆ ก็คงเป็นเขาทำ สัตว์เทพมากมายถึงกับไม่มีผู้ใดรู้สึกตัว เขาอยู่ในชุดขาวสีหน้าเย็นเยียบ ถึงกับเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบ หงส์แดงจูเชวี่ยเห็นเขาก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย กล่าวว่า “ท่านจอมเวท? ท่านคืออูเซียง! จอมเวทมาเขาคุนหลุนตามอำเภอใจได้ด้วยหรือ”
อูเซียงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ไม่ต้องให้พวกเจ้าเอากฎระเบียบมาบอกข้า หากไม่ใช่ไป๋ตี้สั่งมา ข้าจะยอมลดตัวมายุ่งเรื่องของพวกเจ้าสัตว์เทพหรือ พวกเจ้าถอยไป ข้าจะสนทนากับเทพสงคราม”
กับนาง? เสวียนจีแปลกใจพึมพำกล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่รู้จักเจ้า”
อูเซียงยังคงน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้าไม่ต้องรู้จักข้า ไป๋ตี้ให้ข้ามาบอกเจ้า หากรู้ความก็ให้รีบกลับไปโลกมนุษย์เดี๋ยวนี้ เขาคุนหลุนไม่ใช่ที่พวกเจ้าจะมาก่อความวุ่นวายได้ คิดมีเรื่องกับสวรรค์ น่าสงสาร น่าขัน”
แม้เสวียนจีตัดสินใจแล้วว่าวันหน้าคุยกับใครก็จะพูดดีๆ เปิดเผยจริงใจ แต่พอเจอกับคนที่เชิดหน้าเชิดตาพูดเช่นนี้ นางก็อดโมโหไม่ได้ กล่าวว่า “ไป๋ตี้ไม่ใช่ราชันสวรรค์! ข้าไม่ได้มาหาเขา! และข้าก็ไม่ได้คิดมีเรื่องกับสวรรรค์ ไม่เคยทำ เหตุใดต้องรับ”
อูเซียงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าพูดจาระวังหน่อย ไป๋ตี้ก็ดี ราชันสวรรค์ก็ดี ล้วนไม่ใช่ผู้ที่เจ้าจะมากล่าววาจาบังอาจได้ เรื่องกบฏนี้ไม่รับก็ทำอะไรไม่ได้ อู๋จือฉีถูกขังในแดนปรภพ ผู้ใดช่วยเขาออกมา หรือว่าเจ้าไม่รู้เห็น เป็นสหายกับโจรกบฏก็เท่ากับสมคมคิดกบฏ”
เสวียนจีอ้าปากค้างงุนงง มีวาจาที่รู้สึกเหมือนโดนรังแกมากมายอัดแน่นพูดไม่ออก หลิ่วอี้ฮวนดึงแขนเสื้อนาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไปที่ไหนก็ล้วนพูดกันแบบนี้แหละ ข้าว่าพวกเราก็อย่าไปชี้แจงเลย เรื่องนี้พูดอย่างไรก็ไม่กระจ่าง ไปกันก่อนเถอะ!”
ไป? ล้อเล่นอะไร! ซือเฟิ่งยังไม่รู้เป็นตายร้ายดี! ยังมีถิงหนู! อู๋จือฉี จิ้งจอกม่วง มกร! ให้นางไปเช่นนี้ นางจะทำใจได้อย่างไร
อูเซียงกล่าวอีกว่า “คนปล่อยอู๋จือฉีออกมาก็คือครุฑอวี่ซือเฟิ่งกับหลิ่วอี้ฮวน หลิ่วอี้ฮวนยังขโมยดวงตาสวรรค์ไปจากแดนสวรรค์ ทำความผิดมากมาย พวกเจ้ายังว่าตนเองบริสุทธิ์หรือ”
แย่แล้ว รู้แล้วว่าเขาจะเอาเรื่องดวงตาสวรรค์มาเล่นงาน! หลิ่วอี้ฮวนได้แต่กระแอมไอกล่าวว่า “ดวงตาสวรรค์นั้นถูกพี่มังกรเขียวแย่งคืนไปแล้ว ไม่ได้อยู่ที่ข้าแล้ว หากจะลงโทษก็มา ข้าเตรียมใจไว้นานแล้ว”
อูเซียงหันกลับไปหรี่ตามองมังกรเขียว สีหน้านางซีดเผือด กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้า…ยังไม่ทันได้นำดวงตาสวรรค์ไปมอบให้ไป๋ตี้”
ก่อนหน้านี้หลิ่วอี้ฮวนไม่ทันได้สังเกตสตรีชุดเขียว ตอนนี้ได้ยินเสียงนางพูดจาราวฆ้องปากแตก ยังเป็นหัวโจกตัวร้ายที่ควักเอาดวงตาสวรรค์ไปสดๆ อดเหลือบมองไปไม่ได้ ผู้ใดจะรู้ว่าพอเห็นเท่านั้นใจก็ราวกับโดนฟาดเต็มแรง อึ้งไม่พูดไม่จาอยู่ตรงนั้น อ้าปากค้างน้ำลายไหลย้อยออกมาทันที
เสวียนจีเห็นสีหน้าเขาผิดปกติ รีบถามว่า “พี่หลิ่ว! ท่านเป็นอะไรไป”
หากเขาเหมือนไม่ได้ยิน ตะลึงจ้องมองมังกรเขียว มองรูปโฉมงดงามรูปร่างบอบบางเย้ายวนของนาง เป็นนานก่อนจะพึมพำกล่าวว่า “สวรรค์…โลกนี้ถึงกับมีสาวงามเช่นนี้ วันนี้หลิ่วอี้ฮวนได้เห็นความงามนาง ถึงต้องตายตอนนี้ก็ไม่เสียใจแล้ว”