ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 18 เรื่องอดีต
จากนั้นฉู่อิ่งหงกับตงฟางชิงฉียังไปในถ้ำค้นหาอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบสิ่งใด
ถ้ำไม่เหมือนที่พวกเขาคิดไว้ว่าจะทะลุไปยังที่อื่นได้ เดินดูไปครึ่งชั่วยามก็สุดทาง ทั้งสองค้นหาอย่างละเอียด แม้แต่ทางแยกในถ้ำทั้งหมดก็ไปตรวจสอบดูหมด แม้แต่ขนอินทรีกู่เตียวสักเส้นก็หาไม่พบ
มีเพียงทางแยกที่พวกเสวียนจีหลบซ่อนตัวในตอนแรกสุด ที่พื้นมีกองโลหิตสีดำแข็งติดพื้นแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยอื่นใดอีก มองไปแล้วก็น่าแปลก ราวกับบอกเล่าเรื่องราวอันเป็นความลับที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน
ตงฟางชิงฉีค้นหาละแวกนั้นใกล้ๆ อยู่นาน “ราวกับไม่มีร่องรอยหลบหนี” เขากล่าวพลางเดินไปข้างกายฉู่อิ่งหง นั่งยองลงร่วมมองดูกองโลหิตที่แข็งแล้วกองนั่นกับนาง
“ท่านดูนี่” ฉู่อิ่งหงที่เอาแต่เงียบไม่พูดอันใดชี้ไปยังกองโลหิต “เกิดเหตุใดขึ้นถึงกับทำให้มารปีศาจนั่นหลั่งโลหิตมากเพียงนี้”
เขาคิดแล้วคิดอีก “ท่านและข้าแทงมันเข้าไปทีหนึ่ง คงเป็นโลหิตจากบาดแผล”
เขากล่าวจบเอง แต่ก็ส่ายหน้าเอง “ไม่สิ บาดแผลสองแผลนั่นไม่ถึงกับทำให้โลหิตหลั่งราวสายน้ำเช่นนี้”
ฉู่อิ่งหงตกในภวังค์เป็นนาน พลันกล่าวเบาๆ ว่า “เป็นไปได้ไหม…หายตัวไปฉับพลัน? ร่องรอยที่นี่ดูแล้ว เหมือนว่ามีสิ่งใดขนาดใหญ่กลืนอินทรีกู่เตียวไปทั้งอย่างนั้น”
วาจากล่าวออกมา ทั้งสองก็พากันเงียบกริบ
พวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน มารปีศาจดูแล้วก็น่าจะนับพันหมื่นปีได้ อินทรีกู่เตียวนี้แม้ว่าไม่นับว่าเป็นปีศาจใหญ่ที่สุด แต่ก็จัดอันดับว่าเป็นสิบรายชื่อที่รับมือได้ยากที่สุด หากในโลกนี้มีสิ่งใดร้ายกาจยิ่งกว่ามัน ถึงกับทำให้มันไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย ถูกกลืนลงไปทั้งตัว เช่นนั้น แท้จริงแล้วเป็นสิ่งน่ากลัวอันใดกัน
โลกนี้มีหลายแดน แดนสวรรค์สูงส่ง แดนอสูรดุร้าย แดนผีอดอยากลำบากสุด แดนนรกดุเดือด ปีศาจ เซียน และผีมากมายที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมีมากมายนัก คิดไปคิดมาก็ไม่รู้อันใด แต่สังหารมารปีศาจง่ายดายอย่างไร้ร่องรอย หกแดนมีเพียงสวรรค์และมารเท่านั้น
แต่หากจะให้พวกเขาเชื่อว่าถ้ำเล็กๆ นี่อยู่ๆ มีเซียนหรืออสูรปรากฏขึ้นเพื่อสังหารมารปีศาจโดยเฉพาะ สังหารเสร็จก็หายไปไร้ร่องรอย เช่นนี้ยากยิ่งกว่าเชื่อว่าแม่สุกรเอ่ยกล่าววาจาได้เสียอีก
ทั้งสองหาร่องร่อยในถ้ำอยู่นาน สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจ ตัดสินใจเลิกหาต่อ
“กลับเถอะ” ตงฟางชิงฉีเอ่ยขึ้น “พวกเราเสียเวลาที่หมู่บ้านลู่ไถนานไปแล้ว เกรงว่าไม่ทันงานชุมนุมปักบุปผา”
ฉู่อิ่งหงพยักหน้า มองไปยังแขนของเขาที่พันผ้ากับดามไม้ไว้
เขารู้ความหมายนาง จึงเผยรอยยิ้มบางดึงผ้าพันแผลออก โยนไม้ดามทิ้ง ยืดนิ้วมือออกอย่างคล่องแคล่ว พลันวางท่าทาง ตบไปที่ผนังถ้ำ
ไม่มีหินแตก ไม่มีเสียง ยามฝ่ามือเขาเคลื่อนออก ผนังถ้ำทิ้งร่องรอยฝ่ามือลึกรอยหนึ่ง เขาถึงกับใช้มือเปล่าประทับรอยฝ่ามือไว้บนก้อนหินได้ ท่าทีผ่อนคลาย ราวกับบี้ก้อนเต้าหู้ก้อนหนึ่ง
ฉู่อิ่งหงอดเผยแววตาเลื่อมใสไม่ได้ ยิ้มกล่าวว่า “พลังฝ่ามือแพรพลิ้วเจ้าเกาะก้าวไปอีกขั้นแล้ว”
ตงฟางชิงฉีหัวเราะดัง ใช้อีกมือที่ได้รับบาดเจ็บเคาะสองที กล่าวว่า “ยาสมานแผลเส้าหยางสมคำล่ำลือจริง ดีที่มียา จึงได้หายเร็วเช่นนี้”
ฉู่อิ่งหงเดินตามเขาออกมาจากถ้ำ พลางกล่าวว่า “เจ้าเกาะพลังวัตรลึกล้ำ พลังภายในบริสุทธิ์ จึงได้หายดีในเวลาเพียงไม่กี่วัน จะว่าไปงานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้ เกาะฝูอวี้ไม่ส่งศิษย์คนไหนเลย?”
“น่าละอายยิ่ง การคัดเลือกศิษย์เป็นภรรยาข้าตัดสินใจ ข้าไม่รู้เรื่องนี้” กล่าวถึงภรรยาตนเอง ใบหน้าแข็งกระด้างเขาก็เผยความอ่อนโยนนุ่มนวลสายหนึ่ง ท่าทีที่ปกติที่ดูไม่ใส่ใจถือสาสิ่งใดก็แปรเปลี่ยนเป็นความละมุนอ่อนโยน “แต่คิดแล้วเพียนเพียนกับอวี้หนิงอย่างไรคงได้ร่วม”
ทั้งสองเป็นศิษย์รุ่นอายุน้อยที่โดดเด่นจากเกาะฝูอวี้ วิชาเกาะฝูอวี้ต่างจากสำนักเส้าหยาง เน้นอ่อนโยน พลิ้วไหว บางเบา และละเมียดละไม ยังมีวิชากระบี่หยกประสาน สำหรับชายหญิงร่วมฝึก งานชุมนุมปักบุปผาครั้งก่อน เพียนเพียนกับอวี้หนิงแม้ว่าไม่ได้ตำแหน่งไป แต่หนึ่งแดงหนึ่งขาว แดงราวเพลิง ขาวราวหิมะ เพลงกระบี่หยกประสานอันยอดเยี่ยม ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างจดจำได้แม่นยำ งานชุมนุมปักบุปผาปีนี้ พวกเขาก็เป็นผู้เข้าร่วมที่ได้รับการคาดหวังว่าจะได้ตำแหน่งไปมากที่สุด
ฉู่อิ่งหงคิดถึงการประลองอันยอดเยี่ยมเมื่อห้าปีก่อนก็เผยรอยยิ้มบาง “ยังจำได้ ตอนนั้นเพียนเพียนอายุแค่ห้าขวบ มาเที่ยวเล่นเส้าหยางเรา ศีรษะผูกแพรแดงเข้ม ไล่ตามแต่หมิ่นหังจะกินลูกผิงกั่วตอนนี้พริบตาเดียวก็เป็นแม่นางน้อยที่งดงามราวหยกแล้ว”
ตงฟางชิงฉีพลันเผยท่าทางประหลาด กระแอมไอ กระซิบว่า “นั่นอวี้หนิง เจ้าหอฉู่”
“เอ๋?” ฉู่อิ่งหงมีท่าทีเก้กังเป็นครั้งแรก “เช่นนั้น…เพียนเพียนคือ..?”
“อวี้หนิงเป็นศิษย์หญิง เพียนเพียนเป็นศิษย์ชาย…” ตงฟางชิงฉีท่าทางเก้กังอยู่บ้าง “เจ้าหอฉู่ไม่ต้องคิดมาก แม้แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักในเกาะฝูอวี้ก็ยังสับสนได้”
ผู้ใดให้ภรรยาเขาแอบประหลาด ตั้งชื่อเด็กชายด้วยชื่อเด็กหญิง ทำเอาเพียนเพียนตอนนี้ได้ยินคนถามชื่อตนเองก็อึดอัด ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่า ทั้งวันถูกคนเรียก ‘เพียนเพียน’ นั่น ‘เพียนเพียน’ นี่ ก็เหมือนเป็นปัญหาจริง
“ฮ่าๆ ข้าเลอะเลือนยิ่ง…” ฉู่อิ่งหงหัวเราะตาม พาตนออกจากสถานการณ์เก้กังนี้
“งานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้ ฮูหยินท่านจะมาร่วมไหม”
เจ้าเกาะตงฟางพยักหน้ายิ้มว่า “ครั้งก่อนภรรยาข้าสุขภาพไม่ดีเลยไม่ได้มา หลายปีมานี้เอาแต่ติดอยู่ในใจ ครั้งนี้ต้องมาร่วมแน่ คิดว่าต้องนำบรรดาศิษย์มาเส้าหยางแน่นอน”
ฉู่อิ่งหงได้ยินวาจาเขาดูเร่งร้อนใจ น่าเพราะอยากจะรีบกลับไปหาภรรยา อดกล่าวอย่างอ่อนโยนไม่ได้ว่า “เจ้าเกาะและฮูหยินรักใคร่แน่นแฟ้น ช่างน่าอิจฉาจริง”
ตงฟางชิงฉีหัวเราะดังลั่น “เจ้าหอฉู่กับท่านหยางไยไม่ใช่เซียนคู่เล่า!”
ฉู่อิ่งหงได้ยินเขาเอ่ยถึงสามีตน ในใจอดรู้สึกหวานล้ำไม่ได้
ตอนนั้นอาจารย์เลือกเจ้าสำนักคนต่อไป นางเองก็อยากเป็น รู้สึกว่าเจ้าสำนักใหม่ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นผู้ใด ผู้ใดจะคิดว่าอาจารย์เรียกนางเข้าไป กล่าวเพียงคำเดียวว่า “อิ่งหง เจ้าฉลาดเกินไป ฉลาดจนทำให้ความฉลาดกลายเป็นจุดอ่อนเจ้า”
ตอนออกไปนางยังสับสนไม่เข้าใจความนัย ไม่คาดคิดว่าสามวันจากนั้นอาจารย์ก็จากไป เหลือไว้เพียงหนังสือสั่งลา ให้ฉู่เหล่ยเป็นเจ้าสำนักคนใหม่
ตอนนั้นนางรู้สึกราวฟ้าดินสลาย นางผู้หยิ่งทะนงตนไหนเลยจะรับการหลู่เกียรติเช่นนี้ได้ คืนนั้นจึงรวบรวมสหายสนิทคิดออกจากเส้าหยางไปตั้งสำนักใหม่
ในตอนนั้นเอง ศิษย์พี่เหอหยางก็มา คุยเรื่องเส้าหยางทุกเรื่องกับนางทั้งคืน ท่าทีสนทนาราวสายลมแผ่วเบาของเขาเช่นนั้นกระทบใจนาง เหอหยางราวกับเมฆาบนท้องฟ้า นุ่มนวล ใจกว้าง สูงส่ง หากกล่าวว่าในโลกนี้ยังมีผู้ใดทำให้นางยอมเป็นรองจากใจได้ บางทีคงมีเพียงเขา
วันรุ่งขึ้นตอนลงจากเขาพวกเขาจับมือกัน
ผ่านมาครึ่งปี แต่งงานกัน
หลายปีผ่านมาพริบตาผ่านไป ทั้งสองไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย ราวกับเวลาหยุดอยู่ที่เช้าตรู่ แสงตะวันสาดส่องในวันนั้น เขากุมมือนาง ค่อยๆ กระโดดข้ามก้อนหินก้อนใหญ่ที่ขวางทาง
นางค่อยๆ เข้าใจความคิดยาวไกลของอาจารย์ ฉู่เหล่ยเหมาะกับการเป็นเจ้าสำนักมากกว่านางจริงๆ
นางเป็นดังมีดดาบเล่มหนึ่ง ดาบคมที่ไม่คืนฝัก ความคมเช่นนั้นไม่เพียงแต่อาจจะทำร้ายผู้อื่น ยังอาจทำร้ายตนเองได้
เหอหยางก็คือฝักดาบของนาง ทำให้ความคมและแหลมของนางทั้งหมดเก็บซ่อนไว้ได้
หากไม่มีเขา ฉู่อิ่งหงวันนี้จะเป็นเช่นไร
หวนนึกถึงเรื่องราววันวาน นางอดรู้สึกเต็มตื้นพร้อมยิ้มบางไม่ได้ ลืมเรื่องอินทรีกู่เตียวไปชั่วคราว
กลับถึงโรงเตี๊ยม เจ้าเด็กซนสามคนสีหน้าได้ใจ ไม่รู้ไปทำเรื่องดีอันใดกันมา แต่ละคนท่าทางลึกลับ
เห็นพวกเขาแล้ว ราวกับเห็นตนเองในตอนนั้น
เด็กเหล่านี้ สักวันหนึ่งต้องเติบโต บ่าต้องแบกภาระหนักแห่งสำนักใหญ่ ระหว่างนี้อาจเกิดเหตุเข้าใจผิด หรือถึงขึ้นแตกร้าว แต่ขอเพียงมีความเชื่อมั่นร่วมกัน จะต้องเดินต่อไปด้วยกันได้แน่นอน