ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 6-1 หน้ากาก
จงหมิ่นเหยียนได้ยินเสวียนจีถูกจับสลากได้ สีหน้ายิ่งซีดขาว เขาแอบมองอาจารย์แวบหนึ่ง สีหน้าเขาแม้ไม่แสดงออก แต่ในดวงตากลับราวกำลังสะสมลมพายุ
ทุกคนเห็นภารกิจเด็ดบุปผานี้มีเพียงผู้มีตบะสูงสามคน อีกสองคนยังเป็นแค่เด็กน้อย อดพากันวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ และยิ่งในห้าคนนี้ มีถึงสี่คนเป็นคนสำนักเส้าหยาง ภารกิจเด็ดบุปผานี้ เรียกได้ว่าสำนักเส้าหยางยึดครองไปแล้ว
ชื่อเสวียนจีถูกอ่านขึ้น ทุกคนยังดี ปฏิกิริยารุนแรงที่สุดก็คือเหอตันผิง นางหนึ่งแปลกใจ สองโมโห ตกใจที่ถึงกับจับชื่อรุ่นเยาว์ได้ถึงสองชื่อจริงๆ แปลกใจที่ชื่อเสวียนจีเหตุใดจึงปรากฏในตะกร้าไผ่ตอนนี้ได้ โมโหที่ว่าหรือว่านักพรตซ่งเล่นอุบาย เดิมทีเรื่องไม่ควรมาถึงขั้นนี้
คิดถึงเสวียนจีที่ไม่เป็นอันใดสักอย่างและอ่อนแอถึงกับต้องออกทำภารกิจเด็ดบุปผา นางเป็นมารดา ในใจก็ย่อมต้องเจ็บปวด เสวียนจีแม้แต่ตั้งท่าหม่าปู้ก็ยังทำไม่ได้! ไปครานี้เห็นชัดว่าไปหาที่ตาย แท้จริงผู้ใดใส่ชื่อเสวียนจีเข้าไปกัน
ฉู่อิ่งหงเห็นสีหน้านางไม่ดีนัก รีบก้าวเข้าไปประคองกล่าวอ่อนโยนว่า “พี่ผิง ไม่เป็นไร ข้ากับเจ้าสำนักจะต้องปกป้องพวกเสวียนจีอย่างสุดชีวิต ไม่ยอมให้เด็กสองคนนี้ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย”
หลิงหลงข้างๆ เริ่มเอาเรื่องขึ้น รีบกล่าวว่า “เหตุใดจึงเป็นน้องเสวียนจี! เสวียนจีอะไรก็ไม่รู้เรื่อง นางจะไปได้อย่างไร! เหตุใดไม่เป็นข้า ท่านพ่อ ท่านแม่! ข้าไปแทนน้องได้! ให้ข้าไปเถอะนะ!”
ฉู่เหล่ยสีหน้าหนักใจ ค่อยๆ ส่ายหน้ากระซิบว่า “เจ้าไปไม่ได้ เชื่อฟังฝึกยุทธ์อยู่ที่เส้าหยาง หมิ่นเหยียน” เขาหันกลับไปเรียกชายหนุ่มที่กำลังสีหน้าซีดขาว “ไปถ้ำแสงฉาน พาเสวียนจีกลับมา”
จงหมิ่นเหยียนได้แต่รับคำ หันกายออกจากโถงปักบุปผาไป
เขาคิดไม่ออก
คิดไม่ออกว่าเหตุใดอาจารย์จึงให้เขาเขียนชื่อหลิงหลงเป็นเสวียนจี ล้วนเป็นบุตรสาวเช่นกัน อาจารย์ราวกับลำเอียงเกินไปแล้ว แม้เขาเองปกติสนิทกับหลิงหลงดี ไม่ได้รู้สึกดีอันใดกับเสวียนจีที่แปลกประหลาด แต่คิดถึงเด็กหญิงที่ขดตัวสั่นบนเตียงหินในความมืดมิดนั้นแล้ว ในใจเขาก็อดทุกข์ใจไม่ได้ หรือว่า…หรือว่าเจ้าสำนักคิดว่าให้เสวียนจีไปรนหาที่ตายนั้นรับได้มากกว่าหรือ…?!
จงหมิ่นเหยียนพลันรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเสวียนจีขึ้นมา คิดถึงตนเองที่เขียนชื่อนางลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ ก็ยิ่งรู้สึกแค้นใจที่ได้ทำไปยิ่ง ในใจเขาแอบสาบาน แม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องปกป้องเสวียนจีให้ปลอดภัย นางถูกลากเข้ามาโดยไร้ความผิด เขาเองก็มีส่วนรับผิดชอบ
แน่นอนเขายังไม่รู้ เด็กหญิงโชคร้ายที่ตัวสั่นในความมืดมิดน่าสงสารผู้นั้นในใจเขา เพราะรอไม่เห็นอาหารกลางวัน จึงได้กินอาหารแห้งหมดแล้ว กุมท้องกลมๆ เอนตัวนอนบนเตียงนอนกลางวันไปอย่างสบายใจแล้ว
เสียงพายเรือและเสียงตะโกนเรียกดังยิ่งของจงหมิ่นเหยียนกระชากเสวียนจีหลุดออกจากฝันดี นางขยี้ตาลุกนั่ง พึมพำกับตนเองอย่างงุนงง หูได้ยินเพียงเสียงตะโกนของเขา “ฉู่เสวียนจี! ฉู่เสวียนจี! รีบออกมากับข้า!”
เขาตะโกนราวกับเรียกวิญญาณ ทำเอาเสวียนจีร้อนใจ รีบจุดเทียนมองดูว่าเกิดอันใดขึ้นกัน กลับเห็นจงหมิ่นเหยียนโดดลงจากเรือ วิ่งมาเร็วราวควันไฟพุ่ง ดึงแขนนางวิ่งออกไป ปากก็ร้อนใจกล่าวว่า “ไม่ต้องนอนแล้ว! มีอันใดคับแค้นใจกลับไปค่อยว่ากัน ข้าปล่อยให้เจ้าด่า ไม่โต้ตอบเจ้าเด็ดขาด เร็ว! ไปกับข้าตอนนี้”
เสวียนจีคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใด ถูกเขาลากเดินออกมาได้สองสามก้าวก็ถามอย่างระมัดระวังว่า “ข้างนอกเกิดเรื่องใดขึ้น สำนักทั้งสี่บุกเส้าหยางเราแล้วหรือ?”
“เพ้ย! เจ้านี่…ปากพูดแต่เรื่องอัปมงคล…” จงหมิ่นเหยียนหลุดด่านาง ไม่รู้เหตุใดกลับเก็บวาจากลับไป ได้แต่กล่าวว่า “ครั้งนี้ภารกิจเด็ดบุปผามีเจ้าด้วย ขึ้นยอดเขาเส้าหยางไปกับข้าก็รู้เอง”
เสวียนจีงุนงง แต่เห็นท่าทางเขาต้องการเหมือนจะพาตนเองจากที่นี่ไป ก็พอดีกับที่นางเองก็ทนกับถ้ำมืดและเย็นเช่นนี้มาพอแล้ว กลัวแต่จงหมิ่นเหยียนโกรธ คิดเสียใจภายหลังไม่พานางออกไป เสวียนจีรีบหุบปากแน่น ไม่ถามอันใดสักคำ
กล่าวถึงในโถงปักบุปผาบนยอดเขายังคงวุ่นวายยิ่งนัก เหอตันผิงเป็นกังวลเกินไปจนเป็นลมหมดสติไป ฉู่อิ่งหงรีบเข้ามาดูแลนาง หลิงหลงยังคงตามตื๊อบิดา นางจะขอไปแทนน้องสาว แต่อย่างไรเขาก็ไม่รับปาก
ฉู่เหล่ยตอนแรกให้จงหมิ่นเหยียนเปลี่ยนชื่อหลิงหลงเป็นเสวียนจี ย่อมมีความคิดของเขา
บุตรสาวตนเอง เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร หลิงหลงชอบแสดงสามารถ ชอบมีหน้ามีตา และมักจะไม่รู้จักประมาณกำลังตน หากเขียนชื่อนางลงไป จับไม่โดนก็แล้วไป หากจับโดนเข้า นางตามไป เจอมารปีศาจจะมีเหตุผลใดไม่ลงมือ ด้วยนิสัยเด็กน้อย ย่อมไม่ไปหลบด้านหลังอย่างเชื่อฟังแน่ นางอายุยังน้อย วิชายังด้อย สู้กับมารปีศาจคงได้แต่ตายสถานเดียว เขาจะทนมองนางไปตายได้อย่างไร!
แต่เสวียนจีไม่เหมือนกัน เจ้าเด็กนี่กลัวเรื่องยุ่งยาก เรื่องอันใดก็ชอบแอบด้านหลัง และนิสัยนางเกียจคร้าน ย่อมไม่ถามนี่นั่นหาเรื่องยุ่งยาก เขาให้จงหมิ่นเหยียนเปลี่ยนเป็นชื่อเสวียนจีตอนนั้น แน่นอนไม่หวังว่าจะจับได้ชื่อนาง แต่ในเมื่อจับได้แล้ว เช่นนั้นเสวียนจีกับหลิงหลงเทียบกันแล้ว ก็ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดี อย่างน้อยก็หลบซ่อนเป็น ย่อมไม่ปรี่เข้าไปแลกชีวิต ชีวิตน้อยๆ นี้จึงจะรักษาไว้ได้ เขาจึงต่อสู้ได้อย่างไร้กังวล
นอกจากนี้ เสวียนจีนิสัยเกียจคร้าน ไม่หวังก้าวหน้า ครั้งนี้พานางไปดูโลกกว้าง กระตุ้นนางสักหน่อยก็เป็นประโยชน์
พริบตาเขาก็คิดไปมากมาย จึงได้ตัดสินใจแอบส่งสัญญาณให้จงหมิ่นเหยียนเปลี่ยนชื่อหลิงหลงเป็นเสวียนจี ยามนี้สำเร็จแล้ว ก็ไม่มีอันใดต้องเสียใจภายหลัง
เขาเห็นหลิงหลงตามตื๊อไม่หยุด อดขมวดคิ้วกล่าวไม่ได้ว่า “ข้ายังไม่ได้เอาเรื่องที่เจ้าแอบขึ้นเขามาแอบดูพิธีจับสลาก! ยังกล้ามาเอาเรื่องข้า! จากคืนนี้ไปลงโทษเจ้าไม่ให้ออกจากเรือนด้านหลัง ฝึกยุทธ์ก็ฝึกที่บ้านไปเอง ไม่ให้ออกจากเรือนด้านหลังแม้แต่ครึ่งก้าว!”
หลิงหลงแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น ฉู่อิ่งหงรีบเข้ามายิ้มปลอบว่า “วันดีๆ เช่นนี้ ร้องไห้ทำไม เก็บแรงไว้ชมงานชุมนุมปักบุปผาดีกว่า! อาหงจะต้องจับมารปีศาจที่สวยที่สุดใหญ่ที่สุดกับมาให้พวกเจ้า!”
หลิงหลงยังคงไม่ยอม ยังคงร้องไห้บิดไปบิดมา ฉู่อิ่งหงผลักนางกล่าวเบาๆ ว่า “เร็ว รีบไปดูท่านแม่เจ้า! นางกังวลจนจะแย่แล้ว! ไม่เอาท่านแม่เจ้าแล้วหรือ”
หลิงหลงจึงได้วิ่งไปข้างกายเหอตันผิง โอบกอดคอนางไว้ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ไม่กล้าเอาเรื่องอีก
ยามนี้เอง นักพรตผมขาวหิมะราวขนกระเรียนขาว ใบหน้าอ่อนเยาว์ สีหน้าทรงพลังเต็มเปี่ยม เข้ามาคำนับกล่าวว่า “เจ้าสำนักฉู่ ภารกิจเด็ดบุปผาครั้งนี้ไม่เหมือนปกติ นำอนุชนรุ่นหลังสองคนไปด้วยไม่ง่ายจริงๆ ไม่สู้จับสลากใหม่อีกครั้ง? มารปีศาจดุร้าย หากไม่เตรียมการอย่างรอบคอบ ป้องกันให้แน่นหนา เกรงว่าเกิดเหตุมิคาดฝัน”
ฉู่เหล่ยเห็นนักพรตเหิงซงหุบเขาเตี่ยนจิงอดคำนับตอบไม่ได้ กล่าวว่า “ขอบคุณท่านนักพรต เรื่องจับสลากคิดแล้วคงเป็นลิขิตฟ้า จับอีกครั้งก็ไร้ความหมายยิ่ง เชื่อว่ากำลังเราสามคน จับมารปีศาจตัวหนึ่งก็ไม่ถึงกับเปลืองพลังมากไปนัก”
เหิงซงรู้ว่าเขามีนิสัยทระนง โดยเฉพาะเมื่อครู่ถูกนักพรตซ่งหาเรื่องไปเช่นนั้น ยามนี้หากให้เขาจับสลากใหม่ ย่อมไม่อาจยอมรับได้ เขาถอนหายใจกล่าวอีกว่า “สำนักเส้าหยางและเกาะฝูอวี้ล้วนเป็นสำนักใหญ่ใต้หล้า ข้าไม่ได้มีเจตนาดูแคลน แต่เรื่องสำคัญเช่นนี้ ข้าไม่อาจไม่กล่าวมากสักสองสามวาจา เจ้าสำนักฉู่ควรรู้หรือไม่ว่าครั้งนี้พวกท่านต้องรับมือกับมารปีศาจใด”
ฉู่เหล่ยกล่าวว่า “หรือว่าไม่ใช่สุนัขฟ้าอยู่ๆ ปรากฏและหลบซ่อนตัวในเขาลู่ไถซาน กินคนไปไม่น้อย ครั้งนี้จะจับมัน ก็เพื่อทำหน้าที่แทนสวรรค์”
เหิงซงกล่าวสีหน้าจริงจังว่า “สุนัขฟ้าก็เรื่องหนึ่ง จากที่ข้าเข้าใจ ตอนนี้ที่นั่นยังมีมารปีศาจอีกตัวชื่อว่าอินทรีกู่เตียว สยายปีกกว้างใหญ่ถึงห้าจ้าง ยามค่ำคืนเสียงร้องราวทารก ปกติหลบอยู่ใต้น้ำ อาศัยจังหวะที่คนไม่ทันระวังออกมาจับกลับไปกินที่รัง คนในเขาลู่ไถซานเชิญนักล่าและผู้บำเพ็ญพรตมาไม่น้อย มีครั้งหนึ่งจับสุนัขฟ้าได้สำเร็จ ไม่ป้องกันให้ดี เที่ยงคืนดึกดื่นก็หนีไปได้ จากวันนั้นมามันกับอินทรีกู่เตียวร่วมมือกัน ตอนนี้กินคนไม่น้อยกว่าร้อยแล้ว ยังไม่มีผู้ใดสยบมันสองตัวได้ ตอนนี้คนร่วมภารกิจเด็ดบุปผาแท้จริงมีเพียงสาม สามคนสยบมารปีศาจใหญ่สองตัว เจ้าสำนักฉู่ โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบ!”
ฉู่เหล่ยได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ อดเงียบเสียงลงไม่ได้ ผู้ใดจะรู้ว่าเบื้องหน้าพลันมีเสียงเยาะดังมา เสียงไม่ชายไม่หญิงกล่าวว่า “รอบคอบมาก! ยังว่าเป็นมารปีศาจร้ายกาจอันใด ที่แท้ก็แค่สุนัขฟ้าตัวน้อยกับอินทรีกู่เตียว ถึงกับยังต้องจับสลากใหม่! น่าขัน น่าขัน!”
เขาสองคนมองไป เห็นรองเจ้าตำหนักแห่งตำหนักหลีเจ๋อ ตำหนักหลีเจ๋อเกิดช้ากว่าสำนักอื่น แต่กลับรุ่งเรืองเร็วมาก เพียงแค่ไม่กี่สิบปีก็เข้าแทนที่เขาไผ่เขียวเดิม กลายเป็นหนึ่งในห้าสำนักใหญ่ พวกเขามีรูปแบบบำเพ็ญเพียรหนึ่งที่ไม่เหมือนทั่วไปไม่ว่า แค่การแต่งกายก็แสดงถึงความประหลาดอย่างมาก ไม่ว่ารุ่นอายุใด ล้วนแต่งกายด้วยชุดครามตัวยาว ใบหน้าปิดไว้ด้วยหน้ากากอสุรา มองไม่ออกว่าชายหรือหญิง แยกไม่ออกว่ารุ่นอายุใด
ทุกคนรู้ชาวตำหนักหลีเจ๋อล้วนมีอารมณ์เช่นนี้ ที่จริงก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด ก็แค่ยิ้มรับผ่านไป ไม่ถือสา กลับเป็นหลิงหลงเห็นพวกเขาทั้งกลุ่มสวมหน้ากากผี มีสูงมีเตี้ย มองแล้วน่าตกใจยิ่ง อดหลบหลังมารดาแอบดูไม่ได้