ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 7-1 ลงเขา
วันรุ่งขึ้น ทั้งห้าก็ลงเขาออกเดินทางไปเขาลู่ไถซาน อีกสี่สำนัก คนที่อำลากลับก็อำลากลับ คนเป็นแขกก็เป็นแขก รอเพียงเด็ดบุปผากลับมา งานชุมนุมปักบุปผาก็จะเริ่มอย่างเป็นทางการ
กล่าวถึงตอนออกเดินทาง บรรดาศิษย์พากันมาส่งหน้าประตูเขาด้านล่าง มีเพียงหลิงหลงไม่ได้มา เนื่องจากฉู่เหล่ยลงโทษนางไม่ให้ออกจากเรือนหลังแม้ก้าวเดียว นางจึงเอาแต่งอนไม่ออกมาจริงๆ ลำบากเพียงแค่เหอตันผิง ด้านหนึ่งก็เป็นห่วงบุตรสาวคนเล็ก ด้านหนึ่งก็สงสารรบุตรสาวคนโต ยังต้องดูแลงานชุมนุมใหญ่อีก เป็นภรรยาและมารดาที่ดีช่างยากเสียจริง
เพราะเสวียนจีกับจงหมิ่นเหยียนยังเรียกของวิเศษเหินไม่เป็น ฉู่อิ่งหงกับตงฟางชิงฉีจึงแยกกันพาไป ให้เขาสองคนอยู่ด้านหน้า เหินทั้งเร็วและมั่นคง จงหมิ่นเหยียนยังดี เขาเองแอบฝึกเหินมาแล้ว เสวียนจีเป็นครั้งแรกจริงๆ ฉู่อิ่งหงยังกังวลว่าเด็กน้อยจะกลัว สองมือจับนางไว้แน่นพลางปลอบนาง “อย่ากลัว อาหงอยู่นี่ ไม่ปล่อยตกลงไปเด็ดขาด”
นางก้มหน้ามองเสวียนจี เห็นนางจ้องมองเมฆที่ลอยด้านล่างตาโตอย่างอยากรู้อยากเห็น ไหนเลยมีความกลัว
นางพลันรู้สึกแปลกใจ รู้ว่าบุตรสาวสองคนเจ้าสำนัก คนหนึ่งเงียบ คนหนึ่งซุกซน อารมณ์ต่างกันมาก หลิงหลงกับนางคุ้นเคยกันอยู่ ทุกวันมาตามติดนางสนทนาและฝึกยุทธ์ เป็นเด็กหญิงที่เฉลียวฉลาด และมีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ แต่กับเสวียนจี ราวกับนางไม่เคยสัมผัสมาก่อน ได้ยินเจ้าสำนักไร้หนทางจัดการกับความเกียจคร้านของเด็กหญิงจนต้องโมโห นางจึงเห็นว่าเป็นแค่เด็กน้อยน่ารังเกียจและดื้อรั้นคนหนึ่ง ผู้ใดจะรู้ว่าพอได้สัมผัสด้วยตนเอง ล้วนไม่เป็นดังที่กล่าวมาเช่นนั้น
นางเห็นเสวียนจีมองอย่างสนใจมาก ก็ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าไม่กลัวหรือ ครั้งแรกเหินสูงเพียงนี้”
เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “ท่านอาไม่ปล่อยข้าตกลงไปแน่”
ฉู่อิ่งหงรู้สึกสนุกกับความมั่นใจแบบเด็กน้อยของนางอยู่มาก จึงหยอกนางเล่น “เจ้ามั่นใจเพียงนี้? ข้าไม่ใช่ท่านพ่อท่านแม่เจ้านะ”
เสวียนจีกลับไม่พูดอันใดอีก เอาแต่ก้มหน้ามองภูเขาสูงสลับเขียวชอุ่มใต้ฝ่าเท้านางไป เมฆขาวราวน้ำนมนั่นปกคลุมทั้งด้านบน ราวกับแพรบางบนร่างสาวงาม
ฉู่อิ่งหงลอบพิเคราะห์ นางพลันคิดได้ว่ามีครั้งหนึ่งบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมร่ำสุรา ศิษย์น้องหวนหยางราวกับดื่มมากไป ตบมือยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าวันๆ เอาแต่ว่าหลิงหลงบุตรสาวคนโตศิษย์พี่ฉู่เป็นผู้มีพรสวรรค์หาได้ยากในร้อยปี ตามความเห็นข้า กลับไม่แน่! แต่มีผู้ใดรู้จักเสวียนจีบุตรสาวคนเล็กผู้นั้นหรือไม่ ไม่กล่าวเรื่องอื่น เพียงแค่เรื่องประสบความเปลี่ยนแปลงไม่ตระหนก เบื้องหน้าไร้กลิ่นอายโลกียะ ก็เป็นบุคคลที่ทำการใหญ่ได้แล้ว!”
เมื่อก่อนนางคิดเพียงแค่วาจายามเมาสุรา ไม่ได้เอามาใส่ใจ แต่บัดนี้ นางคิดขึ้นมาได้ว่า “ประสบความเปลี่ยนแปลงไม่ตระหนก เบื้องหน้าไร้กลิ่นอายโลกียะ” วาจานี้ กลับรู้สึกว่าแม่นยำเหนือคาด
ฉู่อิ่งหงพลันยิ้มออกมาก ดึงเสวียนจีมากอดแน่นอย่างไม่รู้เหตุใด ยิ้มกล่าวว่า “นี่ อยากเรียนรู้เรื่องสนุกไหม”
กล่าวจบนางกลับไม่รอคำตอบ เท้าซ้ายเหยียบไปข้างหน้าเต็มแรง กระบี่กลืนเมฆาใต้ฝ่าเท้าก็ราวกับม้าที่ถอดบังเ**ยนออก กระโดดขึ้นลง สุดท้ายพลันผ่อนลง จากท้องฟ้าด้านบนร่วงดิ่งลง เห็นว่าใกล้ดิ่งพื้นแล้ว กระบี่ก็ราวกับมังกร พลิ้วไหวพริบตา เสียดยอดเขาบนยอดต้นอวี๋ เหินเลี้ยวข้ามไป กิ่งไม้และไม้ใบที่หลุดร่วงปลิวทั่วด้านหลังที่กระบี่เหินผ่าน
นกจาบฝนตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ หลบไม่ทัน เพิ่งจะกระพือปีก ก็ถูกแขนเสื้อฉู่อิ่งหงรวบ จับไว้ในมือเบาๆ
“ให้เจ้า สนุกไหม?” นางหัวเราะยัดนกจาบฝนใส่แขนเสื้อเสวียนจี บังคับกระบี่กลืนเมฆาให้กระบี่บินเสียดอยู่บนยอดไม้ ใบไม้เหล่านั้นพอเจอคมกระบี่ ก็ร่วงกราวลงสองข้าง ราวกับคลื่นมรกต พวกนางก็ราวกับเหินอยู่หน้าคลื่นบนยอดไม้ กิ่งก้านหนาแน่นราวกับคลื่นกลางทะเลใหญ่
เสวียนจีรู้สึกทุกสิ่งแปลกใหม่น่าสนใจยิ่ง
ความรู้สึกบังคับกระบี่เหิน ระดับความสูงเช่นนี้มองลงไป ลมรอบทิศพัดกระทบใบหน้าที่ไร้สิ่งปิดบัง ยังมีนกจาบฝนตัวนั้นในแขนเสื้อที่ให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มสั่นไหว พานกที่ทั้งตื่นเต้นทั้งนุ่มนิ่มไปด้วย ทุกอย่างตรงหน้านางตอนนี้ล้วนรู้สึกเปิดโลกกว้าง แม้แต่เส้นผมก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งอิสระ นั่นคือสัมผัสรับรู้ที่ไม่เหมือนตอนที่ง่วงนอนอยู่เรือนพักรับรองหลังเขาเส้าหยาง นางรู้สึกตนเองราวกับเข้าใจเรื่องบางเรื่องมากขึ้น แต่คืออะไรนั้น นางกลับกล่าวไม่ออก
ดังนั้นตอนฉู่อิ่งหงถามนางว่าชอบไม่ชอบเล่นเช่นนี้ นางพยักหน้าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ฉู่อิ่งหงลูบศีรษะนาง ยิ้มกล่าวว่า “หากเจ้าชอบ ก็เรียนรู้ที่จะเหินด้วยตนเอง ขอเพียงเหินด้วยตนเอง จึงจะเข้าในความนัยลึกล้ำที่แฝงอยู่ในนั้นได้”
เสวียนจีพยักหน้างุนงง ในใจพลันรู้สึกว่าฝึกยุทธ์ก็ไม่ได้รู้สึกน่ารำคาญอันใดแล้ว เป็นครั้งแรกที่นางมีความคิดอยากเรียนบังคับของวิเศษเหิน
นางชอบความรู้สึกอิสระเช่นนั้น ทุกอย่างล้วนเปิดโล่ง อิสระไร้ขีดจำกัด
แน่นอนนางไม่รู้ ตอนกลางคืนพักในโรงเตี๊ยมฉู่อิ่งหงมาพบฉู่เหล่ย ขอคนจากเขา
“เจ้าสำนัก ข้าอยากให้เสวียนจีมาเรียนรู้จากข้าที่หออวี้หยางถัง ท่านเห็นเช่นไร?”
คำขอของฉู่อิ่งหงนี้ ทำให้ฉู่เหล่ยทั้งตกใจและดีใจ ตกใจที่เสวียนจีเข้าตานาง เขาเดิมคิดว่านางจะรับหลิงหลงเป็นศิษย์ ดีใจที่นางเป็นผู้มีพรสวรรค์ เป็นผู้มีตบะสูง เห็นมากประสบการณ์ เสวียนจีติดตามนางย่อมได้เรียนรู้มากมาย
เขาจึงได้ยิ้มกล่าวว่า “เช่นนี้ ก็นับเป็นวาสนาลูกสาวข้า เพียงแต่เสวียนจีแต่เล็กเกียจคร้าน ขอศิษย์น้องควบคุมให้มากหน่อย ไม่เข้มงวดย่อมไม่อาจเป็นผู้สามารถ”
ฉู่อิ่งหงกลับกล่าวสีหน้าจริงจังว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก เด็กบางคนต้องการความกดดันจึงจะฝึกสำเร็จ แต่เด็กบางคนไม่อาจกดดันแม้แต่น้อย แต่ละคนล้วนมีวิธีการฝึกที่แตกต่างกัน ข้ามองเสวียนจีว่าดีมาก ไม่นานวัน ย่อมเป็นผู้มีความสามารถ”
ฉู่เหล่ยรู้ว่าศิษย์น้องผู้นี้มีความเข้าใจเรื่องราวแปลกประหลาดหาได้ยากยิ่ง แม้เขาไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่โต้แย้ง ได้แต่กล่าวว่า “บุตรสาวข้าก็มอบให้ศิษย์น้องสั่งสอนแล้ว ข้าจะไปตามนางมาคารวะอาจารย์?”
ฉู่อิ่งหงรีบรั้งไว้ด้วยรอยยิ้ม “ไม่รีบ รองานชุมนุมปักบุปผาผ่านไปค่อยเอ่ย”
ในใจนางยังคิดมาก ประการหนึ่ง เสวียนจีผู้นี้นิสัยเกียจคร้าน แต่ก็ฉลาดมาก คนเช่นนี้ไม่อาจบีบบังคับให้ทำอันใด นางมีความคิดของตนเอง ได้แต่ชักจูงนาง หลอกล่อนาง ให้นางสนใจเรื่องฝึกยุทธ์เอง ดีที่เสวียนจีอายุยังน้อย หากโตอีกหน่อยย่อมยากสั่งสอน ยามนี้หากรับนางเป็นศิษย์ นางคงเกิดคิดต่อต้าน ควรผ่อนไปก่อน
ฉู่อิ่งหงกับฉู่เหล่ยหารือเรื่องรับเป็นศิษย์อยู่ชั้นบน พวกเสวียนจีสามคนกำลังดื่มน้ำชาอยู่ชั้นล่าง ตงฟางชิงฉีดึงเสี่ยวเอ้อร์ไว้แล้วสั่งอาหารทีเดียวสิบกว่าอย่าง ก่อนจะตบบ่าจงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่ไม่เลว ทนได้ถึงตอนนี้ไม่ง่ายเลย”
จงหมิ่นเหยียนถูกเขาตบฝ่ามือหนึ่ง ทั้งตัวคว่ำลงบนโต๊ะไม่อาจขยับได้ เสวียนจีเห็นสีหน้าเขาดำคล้ำ ทรมานยิ่งกว่ากินมะระ อดถามเบาๆ ไม่ได้ว่า “เป็นอันใด เจ้าไม่สบายหรือ?”
เขาส่ายหน้า ยังไม่กล่าวอันใด ตงฟางชิงฉีก็ยิ้มกล่าวว่า “ให้เขาได้ลองเคล็ดวิเศษเริงราวห่านป่าของเกาะฝูอวี้ ลำบากเขาแล้ว ศิษย์พวกนั้นของข้า บางคนอายุยังมากกว่าเขา พอเจอกระบวนนี้เข้าไปเป็นลมไปเลย! เจ้าหนุ่มนี่ไม่ธรรมดานะนี่!”
เสวียนจีกะพริบตา นางฟังไม่เข้าใจ
จงหมิ่นเหยียนกล่าวหมดแรงว่า “เจ้าเกาะตงฟางพาข้าขึ้นบนลงล่าง ซ้ายทีขวาที สุดท้ายหมุนกับที่ร้อยแปดรอบ…ข้า…อ้วก…ข้าใกล้ตายแล้ว…”
เสวียนจีมองเขาอย่างเห็นใจ กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทางอีก”
จงหมิ่นเหยียนส่ายหน้า “ฝืนทนมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้านั่งพักที่นี่ก็พอ…”
ตงฟางชิงฉีหัวเราะดังลั่น “มีศักดิ์ศรี! ข้าชอบ! ทนมาถึงขั้นนี้ได้ไม่ง่าย! ศิษย์ของน้องฉู่ไม่เหมือนผู้ใด เทียบกับศิษย์ใช้ไม่ได้ของข้าแล้วดีกว่ามาก! หรือว่าเจ้าตามข้ากลับไปเป็นศิษย์เกาะฝูอวี้เราละกัน ข้าจะพูดกับน้องฉู่เอง”
จงหมิ่นเหยียนได้ยินก็ร้อนใจ กำลังคิดปฏิเสธ กลับได้ยินเสียงฉู่เหล่ยหัวเราะดังมาด้านหลัง กล่าวว่า “พี่ตงฟาง ชอบล้อเล่นเรื่อย บรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้แต่ละคนล้วนราวหงส์ราวมังกร ไหนเลยศิษย์ซุกซนข้าจะเทียบได้”
พูดไป เขากับฉู่อิ่งหงก็เดินมาด้วยกัน หัวเราะเบาๆ ก่อนจะนั่งลง กล่าวว่า “รอนานแล้ว ขออภัย”
ตงฟางชิงฉีกล่าวอีกว่า “น้องฉู่วาสนาดีจริง ผู้มีพรสวรรค์ในสำนักเส้าหยางรุ่นแล้วรุ่นเล่า ทำเอาพี่ชายเช่นข้าอิจฉายิ่ง”
ฉู่เหล่ยกับเขาเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย คนผู้นี้แต่ไรมาก็พูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ เขาชินเสียแล้ว ยามนี้ได้แต่ยิ้มกล่าวว่า “วาจาอันใดกัน! เกาะท่านยังขาดอันใด แค่เพียนเพียนกับอวี้หนิงสองคน ก็เพียงพอให้ท่านได้อวดแล้ว ก่อนหน้าได้ยินว่าเขาสองคนตัดหัวปีศาจหมานหมานก่อกรรมทำเข็ญที่หลันเถียนไป ยังมาร้องเรียกร้องความเห็นใจจากข้าได้ ครั้งนี้งานชุมนุมปักบุปผาพวกเขาจะมาไหม”
ตงฟางชิงฉีได้ยินเขากล่าวถึงศิษย์สองเขาที่เขาภูมิใจที่สุด ก็อดภาคภูมิใจไม่ได้ พยักหน้าถอนใจกล่าวว่า “จะไม่มาร่วมงานชุมนุมปักบุปผาได้อย่างไร…เด็กสองคนนี่ เป็นต้นกล้าดีจริง วันหน้าเกาะฝูอวี้มอบให้พวกเขา ข้าก็วางใจ”
กล่าวจบก็ตบจงหมิ่นเหยียนที่สีหน้าซีดขาวไป กล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่ก็ไม่เลว! อายุยังน้อย ถึงกับทนเริงราวห่านป่าของข้าได้ ไม่ธรรมดา! งานชุมนุมปักบุปผาครั้งหน้า ก็เป็นรุ่นพวกเขาออกแสดงฝีมือแล้ว! น้องฉู่ก็ไม่ต้องแกล้งมาทำเป็นคร่ำครวญกับพี่ชายเช่นข้าแล้ว!”
ทุกคนหัวเราะ ได้ยินเสียง ตึง ดัง ที่แท้จงหมิ่นเหยียนก็ไม่อาจทนต่อไปได้แล้ว ถูกเขาตบทีสองที ก็ลมล้มลงกับพื้นไป
ฉู่อิ่งหงรีบเข้าไปประคองเขาขึ้นชั้นบนไปพักผ่อน ให้เสวียนจีอยู่ในห้องดูแลเขา สั่งการอย่างดีพักหนึ่ง ก็ลงไปชั้นล่าง
เสียงหัวเราะของทุกคนดังแว่วมาจากชั้นล่าง กลิ่นสุรายั่วยวน เสวียนจีนั่งนิ่งบนม้านั่งเป็นนาน ท้องก็หิวมาก ใจก็แสนอยากจะไปแอบฟังว่าพวกเขาคุยเรื่องสนุกอันใดกันบ้าง หันกลับไปเห็นจงหมิ่นเหยียนกำลังนอนฝันดีอยู่บนเตียง มีแต่สีหน้าที่ซีดขาว คิดแล้วที่ว่าวิชาเหินกระบี่เริงราวห่านป่าอะไรนั่นย่อมต้องน่ากลัวมากจริง
นางหิวจนหน้ามืด ดีที่บนโต๊ะมีอาหารอยู่บ้าง เป็นฉู่อิ่งหงทิ้งไว้ให้พวกนาง นางรอจงหมิ่นเหยียนตื่นไม่ไหวจึงเริ่มกิน
ขณะกินได้ครึ่งหนึ่ง พลันรู้สึกมีคนมองนาง เสวียนจีหันกลับไป ก็เห็นดวงตาจงหมิ่นเหยียนจ้องนางตาโต จ้องมองนาง นางกลืนอาหารลงไป ลังเลถามว่า “เจ้า…อยากกินหน่อยไหม?”
จงหมิ่นเหยียนโดนนางกล่าวแทงใจ ใบหน้าแดงพลางส่ายหน้ากล่าวเบาๆ ว่า “ข้าเวียนหัว เจ้ากินเถอะ”
เสวียนจี “อ้อ” คำหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ากินต่อ
จงหมิ่นเหยียนเห็นกับข้าวถูกนางกินไปพอควรแล้ว อดไม่ได้กล่าวอีกว่า “อันนั้น…น้ำแกงเจ้ากินคนเดียวหมดหรือ…”
เสวียนจีในที่สุดก็เข้าใจว่าจริงๆ เขาก็คิดอยากกินข้าว ได้แต่ถอนหายใจ “อยากกินทำไม่พูดตรงๆ เล่า นี่ยังมีกับข้าวอีกหน่อย อย่าคิดมาก มากินเถอะ”
เดิมจงหมิ่นเหยียนไม่อาจลดศักดิ์ศรีมาขอนางกิน แต่เมื่อครู่เวียนหัว ที่อาเจียนออกมาได้ก็อาเจียนออกมาหมด ยามนี้เขาจึงหิวเอาเรื่อง ได้แต่ปัดผ้าห่มออกจะลงจากเตียง ผู้ใดจะรู้ว่าขาอ่อนแรงราวกับก้อนฝ้าย ไม่มีแรงแม้แต่น้อย พอเหยียบพื้นก็เกือบล้มคะมำ เขานิ่งอึ้งเป็นนานพลันหันกลับไปนอนบนเตียงต่อ กล่าวไม่สบอารมรณ์ว่า “ข้าไม่หิว ไม่กินแล้ว”
วาจาไม่ทันจบ ท้องเขาส่งเสียงร้องดังยิ่งนัก เหมือนว่าจงใจหาเรื่องกับเขา ส่งเสียงร้องครวญดังยาวนาน
เขาตัวแข็งค้าง
เสวียนจีอึ้งไป