ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 13 ลู่เยียนหราน
เสวียนจีนอนรวดเดียวถึงตอนบ่ายก็ไม่ตื่น ส่วนพวกเขาห้าคนตื่นกันแต่เช้า ในที่สุดก่อนฟ้ามืดก็อดมาเคาะประตูเรียกไม่ได้
กว่าหลิงหลงจะลากเสวียนจีหน้าตางัวเงียออกมาจากห้องได้ก็เป็นเวลาอาหารเย็นแล้ว จงหมิ่นเหยียนร้อนใจจะไปตรวจดูเขาไห่หวั่นให้กระจ่าง ขมวดคิ้วกล่าวอย่างทนไม่ไหวว่า “ออกมานอกสำนักยังเกียจคร้านเช่นนี้อีก! ผู้บำเพ็ญเพียรนอนนานเช่นนี้ได้อย่างไร!”
เสวียนจียังคงสะลึมสะลือ เหมือนได้ยินเสียงคนพูด ราวกับพูดกับตนเองด้วย ก็ขยี้ตาเงยหน้ายิ้มเหม่อลอย จงหมิ่นเหยียนเห็นนางยิ้มก็โมโหอีก ได้แต่ไปนั่งเงียบอีกมุมหนึ่ง ไม่พูดอันใดอีก
หลิงหลงยู่ปากกล่าวว่า “เมื่อวานเสวียนจีบาดเจ็บ นอนมากอีกหน่อยเป็นไรไป แม้นอนถึงพรุ่งนี้เช้าก็ไม่เป็นไร! เจ้าเสียงดังทำไม!”
กล่าวจบเสวียนจีก็ยิ้มเหม่อลอยให้นาง
หลิงหลงถอนใจกล่าวว่า “ดูเจ้างัวเงียสิ! เอาเถอะ ข้าพาเจ้าไปล้างหน้าด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วกัน”
ทางนี้หลิงหลงพาเสวียนจีไปล้างหน้าหวีผม อีกทางพวกจ้าวเหล่าต้าจากบ้านตระกูลจ้าวก็กลับมาถึง กำลังเร่งให้เตรียมอาหาร มาตามพวกเขาไปร่วมรับประทานอาหาร จะได้ฟังเรื่องราวจับผีของพวกเขาเมื่อวานด้วย
ในที่สุดจงหมิ่นเหยียนก็ได้โอกาสใช้ความสามารถฝีปากกล้าของตนแล้ว ทั้งโต๊ะฟังเขาบรรยายภาพอยู่คนเดียว บรรยายนกฉวีหรูพวกนั้นร้ายกาจกว่าอินทรีกู่เตียวอีก พวกเขาหลายคนเป็นวีรบุรุษต่อสู้สละเลือดท่ามกลางสถานการณ์ชุลมุน ฝ่าความยากลำบากมาอย่างไร อันตรายอย่างไร พวกคนบ้านตระกูลจ้าวฟังจนตะลึงงัน ปาดเหงื่อแทนพวกเขาไปหลายที
“เช่นนั้น…นกประหลาดพวกนั้นจู่ๆ มุ่งโจมตีด้วยเหตุใดกันแน่ จอมยุทธ์ทุกท่านได้ตรวจสอบแน่ชัดแล้วหรือยัง” ในที่สุดจ้าวเหล่าต้าก็ได้จังหวะกล่าวแทรกถามขึ้นด้วยท่าทีระมัดระวัง
“เอิ่ม เรื่องนั้นคือ…” จงหมิ่นเหยียนอยู่ๆ ก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี ได้แต่อึ้งอยู่ตรงนั้น
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบขึ้นแทนว่า “พวกเราสงสัยว่ามีคนคอยคุมมารปีศาจอาละอาด เพียงแต่ยังตรวจสอบไม่พบว่าเป็นผู้ใด ขอท่านวางใจ หากยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ พวกเราก็ไม่ไปจากหมู่บ้านวั่งเซียน”
จงหมิ่นเหยียนรีบพยักหน้ากล่าวว่า “ไม่เลว ไม่เลว! คืนนี้พวกข้าจะไปตรวจสอบอีกสักหน่อย ท่านอาจ้าววางใจได้ มีพวกข้าศิษย์เส้าหยางอยู่ ย่อมไม่ยอมให้มารปีศาจอาละวาดใส่ชาวบ้าน”
จ้าวเหล่าต้าได้ฟังการรับรองเช่นนี้จึงได้วางใจลง สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คารวะสุราคีบอาหารให้พวกเขา
ลู่เยียนหรานที่อยู่ข้างๆ ได้ยินจงหมิ่นเหยียนพูดจาใหญ่โตก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ หากหลิงหลงอยู่ตรงนี้ บางทีอาจทะเลาะกันแล้ว จงหมิ่นเหยียนแม้ว่ารู้สึกไม่ดีกับนาง แต่หนึ่งนางเป็นสตรี สองเขาสุขุมกว่าหลิงหลง ตอนนั้นจึงได้แต่ก้มหน้าลงดื่มสุรา ไม่มองนางเช่นกัน
ผู้ใดจะรู้ว่าเขายิ่งเงียบ ลู่เยียนหรานก็ยิ่งได้ใจ จึงส่งเสียงกระเซ้ากล่าวว่า “สำนักเส้าหยางชื่อเสียงโด่งดัง ท่านอาวางใจได้ พวกข้าไม่ต้องออกโรง แค่เอ่ยชื่อสำนักเส้าหยางออกไปสามคำ มารปีศาจพวกนั้นได้ยินก็หัวหดแล้ว”
วาจานี้ฟังแล้วเหมือนเสียดสี แม้แต่หรูอี้ก็อดแอบส่ายหน้าไม่ได้ จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังคงไม่กล่าวอันใด
“หากพวกเราเกาะฝูอวี้หรือตำหนักหลีเจ๋อเอ่ยชื่อไป คงไม่เกรียงไกรเช่นนี้หรอก~~”
นางยังกล่าวไม่จบ ก็ถูกเสียงกระแอมไอของหรูอี้ขัดขึ้น เขาส่งยิ้มกล่าวว่า “คือว่า…วันนี้จันทร์กระจ่าง อากาศเย็นสบาย เป็นเวลาอันดีในการออกตรวจสอบมารปีศาจอาละวาด พวกเราก็ควรไปเตรียมตัวออกเดินทางกัน”
“เชอะ นับว่าเจ้ายังรู้จักตัวเองอยู่บ้าง!”
เสียงหลิงหลงดังมาจากด้านหลัง ทุกคนหันกลับไปมอง ดังคาด นางจูงเสวียนจีเดินเข้ามา เมื่อครู่นางเองก็ได้ยินที่ลู่เยียนหรานกล่าวหาเรื่อง จึงได้กล่าวโต้นางกลับ
ลู่เยียนหรานยิ้มงดงามพลางกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เกาะฝูอวี้เป็นเพียงสำนักเล็กๆ ไร้ชื่อเสียง ไหนเลยกล้าแก่งแย่งกับสำนักเส้าหยาง”
หลิงหลงกดตัวเสวียนจีที่ไม่เข้าใจให้นั่งลงบนเก้าอี้ พลางเงยหน้าขึ้น แค่นเสียงฮึ “เกรงใจแล้ว เกรงใจแล้ว ขอบคุณที่ออมมือให้”
ในใจลู่เยียนหรานไม่พอใจยิ่ง รู้สึกว่าเอาชนะหลิงหลงไม่ได้เท่าไร หันกลับไปเห็นหน้าผากเสวียนจีเปียกชื้น คิดว่าเมื่อครู่คงใช้น้ำเย็นล้างหน้ามา ดูมีสติตื่นขึ้นมาอยู่บ้าง แต่ดูแล้วก็ยังคงมีแววเหม่อลอยอยู่
นางยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “แม่นางเสวียนจีตื่นสายเช่นนี้ พวกเรากำลังออกเดินทางแล้ว น่าเสียดายอาหารงานเลี้ยงนี้ หรือว่าให้ท่านอาเก็บไว้ให้ คืนนี้กลับมาค่อยอุ่นให้เจ้ากิน?”
เสวียนจีกำลังคีบหน่อไม้แผ่นเข้าปาก ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ อดตะลึงไม่ได้ คาบหน่อไม้เงยหน้ามองนาง
“แต่ตอนนี้ข้าหิวมาก” นางพูดขึ้นตรงๆ ก่อนยัดข้าวเข้าปากคำหนึ่ง
“สายอีกจะไม่ทันแล้ว…นี่ทำอย่างไรดี ซือเฟิ่ง…? หรือว่าพวกเราไปกันก่อน อย่างไรเมื่อวานแม่นางเสวียนจีก็บาดเจ็บ วันนี้คิดว่าคงใช้กำลังอันใดไม่ได้”
ลู่เยียนหรานกล่าวน้ำเสียงจริงใจยิ่ง
เสวียนจีมองท้องฟ้า กลืนอาหารลงไป กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ยังไม่ถึงยามไฮ่ ไปเช้าไปก็ไม่มีประโยชน์ หากเจ้ารีบก็ไปเองก่อนแล้วกัน”
“…” ลู่เยียนหรานเห็นไม่มีคนตอบรับนาง ได้แต่ปิดปากไม่กล่าวอันใดอีก
นางไม่พอใจมาก เดิมนางกับพวกอวี่ซือเฟิ่งสองคนรวมกลุ่มกัน มีเพียงนางเป็นหญิงเพียงคนเดียว ระหว่างทางชายสองคนย่อมคอยดูแลนางอย่างมาก ผู้ใดจะรู้ว่าอยู่ๆ จะมีศิษย์สำนักเส้าหยางโผล่มา ยังเป็นสหายเก่าแก่กันมาอีก แย่งหน้าแย่งตานางไปหมด หากเพียงแค่จงหมิ่นเหยียนคนเดียวก็แล้วไป เขาเองก็เป็นหนุ่มรูปงาม แต่กลับมีพี่น้องสองสาวมาคอยเกะกะด้วยนี่สิ ซือเฟิ่งมองดูแล้วก็เหมือนว่ายินดีที่ได้พบพวกนาง นางดูแล้ว หลิงหลงน่ารังเกียจ เสวียนจีหน้าโง่ ไม่มีถูกตาสักคน
ในบรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้ ลู่เยียนหรานแต่เล็กก็มีหน้าตางดงามโดดเด่นกว่าผู้ใด กอปรกับนางฉลาดทำให้คนรักใคร่เอ็นดู บรรดาศิษย์พี่ล้วนยอมให้นาง นางชินกับการที่ทุกคนคล้อยตามนาง ไม่อาจยอมรับให้ผู้ใดแย่งเกียรตินี้ไปได้
ครั้งนี้ศิษย์ร่วมสำนักที่พลัดหลงกับนางก็เพราะลู่เยียนหรานมีปัญหาขัดแย้งกับพวกนาง พอโมโหก็ทิ้งกลุ่มหนีออกมา ผู้ใดจะรู้ว่าที่เขาไห่หวั่นกลับเจอนกฉวีหรูรุมโจมตี พวกอวี่ซือเฟิ่งช่วยนางเอาไว้ได้ หรูอี้ผู้นั้นเป็นคนนิสัยดี อ่อนโยนเอาใจใส่นาง อวี่ซือเฟิ่งแม้ว่าพูดน้อยนิ่งเงียบเป็นปกติ แต่ก็ไม่เคยไม่ให้เกียรตินาง นางก็รู้สึกเหมือนได้รับการเอาอกเอาใจ ปรากฏกระหยิ่มได้ใจไม่ถึงสองวัน พวกหลิงหลงก็มาถึง
นางเห็นหลิงหลงหน้าตางดงาม วาจาแสบสัน ก็รู้ว่าไม่อาจหาเรื่องได้ง่าย จงหมิ่นเหยียนก็ราวกับคอยปกป้องนาง หากมีปัญหากับชายหนุ่มขึ้นมา ก็เหมือนจะไม่ดีนัก
มองไปเห็นเสวียนจี ดูเหมือนเรียบร้อยอ่อนแอ ดูแล้วเอาแต่เหม่อลอย ปฏิกิริยาตอบสนองช้าอย่างน่าประหลาด ดังนั้นจึงปักหมุดว่าเป็นลูกพลับนิ่มบีบบี้รังแกง่าย ไหนเลยจะรู้ว่าพูดไปไม่กี่คำถูกนางตอบกลับอย่างไม่สนใจอันใด ก่อนออกมาฝึกฝนตน พวกอาจารย์บอกว่าศิษย์สำนักเส้าหยางไม่ควรมีเรื่องด้วย นี่เป็นเรื่องจริง
ลู่เยียนหรานไม่อาจกล่าวอันใดอีก ได้แต่เท้าคางนั่งบนเก้าอี้ต่อไป เคาะนิ้วกับโต๊ะไม่หยุด เคาะจนเริ่มร้อนใจ
หลิงหลงแกล้งกินช้าๆ เพื่อยั่วโมโหนาง พลางหันไปยิ้มแย้มกับพวกอวี่ซือเฟิ่ง คีบอาหารให้พวกเขา ยิ้มกล่าวว่า “ที่แท้ก็คือหญ้าจู้อวี๋ รสชาติไม่เลว หมิ่นเหยียน ซือเฟิ่ง หรูอี้ เสวียนจี กินเยอะหน่อย”
นางเว้นลู่เยียนหรานไว้คนเดียว เห็นชัดว่าจงใจหาเรื่องนาง
หรูอี้เห็นพวกผู้หญิงเอาชนะกัน พวกผู้ชายไม่ควรกล่าวแทรก ได้แต่ก้มหน้ากินข้าว ไม่คิดแก้สถานการณ์อีก
พวกจ้าวเหล่าต้าตรงหน้าฟังหลิงหลงชมรสชาติหญ้าจู้อวี๋ว่าดี ก็พากันกล่าวว่า “แม่นางชอบก็ดี เสียดายแค่หญ้าจู้อวี๋บนเขาไห่หวั่นผืนใหญ่ อีกครึ่งเดือนคนทั้งหมู่บ้านก็คงไม่มีกินแล้ว!”
อวี่ซือเฟิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้า ดื่มสุราในแก้วหมด ลุกขึ้นประสานมือกล่าวว่า “ดึกแล้ว พวกท่านไปพักผ่อนกันก่อน พวกข้าจะขึ้นเขากัน”
จ้าวเหล่าต้ารีบกล่าวว่า “จอมยุทธ์น้อยลำบากท่านแล้ว! ไม่ต้องการม้าและคบไฟจริงหรือ ชายหนุ่มในหมู่บ้านหลายคนยินดีช่วย…”
จงหมิ่นเหยียนโบกมือยิ้มกล่าวว่า “สิ่งใดก็ไม่ต้อง! ท่านอาไปนอนพักให้สบายเถิด วันนี้พวกข้าต้องตรวจหาสาเหตุพบแน่นอน!”
เสวียนจีได้ยินว่าจะไป ก็รีบยัดข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก เช็ดปากยืนขึ้น อวี่ซือเฟิ่งที่ด้านข้างเห็นนางรีบร้อน อดยิ้มไม่ได้ กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่รีบ ดูเจ้าสิ…”
เขายกมือไปปัดเม็ดข้าวที่ติดข้างแก้มให้นาง “ยังเหมือนเด็กน้อย”
เดิมข้าก็เป็นเด็กน้อย…เสวียนจีอยากกล่าวเช่นนี้ แต่พลันคิดได้ว่าตนเองอายุสิบห้าแล้ว ไม่นับว่าเป็นเด็กน้อยแล้ว จึงรีบกลืนคำพูดกลับลงไป
นางมองอวี่ซือเฟิ่ง พลันรู้สึกว่าบนใบหน้าเขามีอันใดไม่ถูกต้อง มองซ้ายมองขวา หาไม่พบว่าแท้จริงมีอันใดไม่ถูกต้อง
เมื่อวานตอนพบกับเขาก็ดึกมากแล้ว ห่างกันไปสี่ปีนางจึงได้เจอเขาอีกครั้ง ตื่นเต้นจนไม่ทันสังเกตว่าหน้ากากบนใบหน้าเขาไม่เหมือนเดิม ยามนี้ในห้องมีไฟส่องสว่าง ในที่สุดนางก็รู้สึกถึงความไม่เหมือนเดิมที่เปลี่ยนไปได้แล้ว
บนใบหน้าหรูอี้ก็มีหน้ากากอสุรา เหมือนกับซือเฟิ่งเมื่อสี่ปีก่อน แต่ตอนนี้หน้ากากซือเฟิ่งเปลี่ยนไป ยังคงเป็นใบหน้าอสุราที่น่ากลัว แต่ใบหน้านั้น ข้างซ้ายน้ำตาไหล ข้างขวายิ้มเล็กน้อย ตอนนี้อยู่ใต้แสงไฟ เมื่อมองไปก็ตกใจอย่างมาก
“ซือเฟิ่ง เหตุใดหน้ากากเจ้า…?” นางพึมพำถามขึ้น
ยังกล่าวไม่ทันจบ อวี่ซือเฟิ่งกับหรูอี้ก็สะดุ้ง
“เขา…” หรูอี้อ้าปากอยากกล่าวอันใด แต่กลับไม่กล่าวออกมา ได้แต่ยิ้มเจื่อน
อวี่ซือเฟิ่งยกมือ ลูบหน้ากากเบาๆ เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “เพียงแค่เปลี่ยนหน้ากากเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง…ไม่กล่าวเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเราเตรียมตัวไปกันได้แล้ว เสวียนจี อีกสักครู่ข้าจะให้เจ้าดูเสี่ยวอิ๋นฮวา”