ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 43 เกาะฝูอวี้ (2)
เขาจึงได้เล่าเรื่องว่าลงเขาฝึกฝนตนอย่างไร ไปเจอกันที่เขาไห่หวั่นได้อย่างไร กำจัดปีศาจอย่างไร ไปเจอจิ้งจอกม่วงที่เขาเกาซื่อซานอย่างไร สุดท้ายโดนโจมตี…เล่าเรื่องที่ผ่านมาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
ตงฟางชิงฉีฟังจบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “กล่าวเช่นนี้ ตอนนี้มีมารปีศาจจำนวนมากมารวมตัวกันออกอาละวาด คิดจะช่วยมารปีศาจใหญ่ที่ถูกจองจำตนนั้นออกมา?”
อวี่ซือเฟิ่งกระซิบว่า “ผู้น้อยไม่กล้ากล่าวแน่ชัด ขอเจ้าเกาะให้ความกระจ่าง”
ตงฟางชิงฉีคิดแล้วก็กล่าวว่า “ตอนข้ายังเป็นหนุ่มเคยได้ยินตำนานโซ่หมุดทะเล แต่ข้าคิดมาตลอดว่าเป็นเพียงตำนานโบราณเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเป็นเรื่องจริง…พวกเจ้าควรรู้ แผนภูมิสวรรค์ปฐพีมีใหญ่มีเล็ก หมายความถึงระดับความร้ายกาจปีศาจที่ควบคุม แผนภูมิสวรรค์ปฐพีเล็กคุมปีศาจเล็ก หากใช้แปดทิศใต้หล้า เช่นนี้ย่อมเป็นแผนภูมิสวรรค์ปฐพีใหญ่ ปีศาจที่ถูกคุมไว้เป็นเช่นไรกันแน่…ข้าเองนึกภาพไม่ออก เกรงแต่ว่าไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ธรรมดาจะเข้ายุ่งเกี่ยวได้”
หรือว่าปล่อยไปไม่สนใจ เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งอายุน้อยยังคงฮึกเหิม มักรู้สึกไม่อาจยอมได้
ตงฟางชิงฉีเห็นพวกเขาสีหน้าลังเลจึงกล่าวว่า “เรื่องปีศาจถูกคุมด้วยเทพฤทธิ์มาแต่โบราณกาลนี้ มารปีศาจน่าจะช่วยเขาออกไปไม่ได้ พวกเจ้าอย่าเพิ่งกังวลไปก่อน ใช้ความนิ่งสยบเคลื่อนไหว สังเกตไปอีกระยะค่อยว่ากัน”
ก็คงได้แต่เช่นนี้แล้ว ทั้งสองพากันพยักหน้า
ยามนั้นทั้งสามทักทายสารทุกข์สุกดิบกันเสร็จ บรรยากาศก็ค่อยๆ เริ่มเป็นไปด้วยดี เสวียนจีมองดูตงฟางชิงฉีที่แม้ว่าเหมือนเมื่อสี่ปีก่อน รอยยิ้มเต็มใบหน้า ท่าทางเหมือนไม่ถือสาอันใด แต่ในแววตาลึกๆ มีเงาดำบางอย่างซ่อนอยู่ บางคราก็เงียบงันลง มักมีความเศร้าที่ไม่อาจระงับเผยออกมาให้เห็น
คิดว่าคงเป็นเรื่องภรรยา ระยะนี้เขาคงทุกข์ทรมานใจเป็นแน่ พาเอาไม่ไว้วางใจศิษย์ใกล้ชิดไปด้วยหมด
เสวียนจีอดกล่าวเบาๆ ไม่ได้ว่า “ท่านอาตงฟาง…ท่าน…ดูเหมือนเหนื่อยมาก”
นางเดิมคิดจะบอกว่าเขาดูแล้วไม่เบิกบานใจ พลันรู้สึกว่าถามออกไปเช่นนี้ทำลายบรรยากาศ จึงได้เปลี่ยนคำถามทันท่วงที
ตงฟางชิงฉีตะลึงงัน ฝืนยิ้มลูบใบหน้า “น่าจะเพราะงานชุมนุมปักบุปผาใกล้เข้ามาแล้ว บนเกาะมีงานต้องเตรียมการมากมาย เจ้าสำนักไม่ได้เป็นกันง่ายๆ เช่นนั้นนะ”
เขากล่าวล้อเล่นที่ไม่ขำเลยสักนิด
เสวียนจีเอ่ยปากคิดถามเรื่องว่าจะจัดการศิษย์ที่เขาขับไล่ออกไปอย่างไร ใช่ว่าคิดขับไล่จริงหรือไม่ ผู้ใดจะรู้ว่าอวี่ซือเฟิ่งแอบบีบมือนาง ส่งสัญญาณว่าไม่ให้นางถาม นางได้แต่เก็บวาจาจะกล่าวกลับคืน
คุยเรื่องสัพเพเหระอีกสักพัก อวี่ซือเฟิ่งก็กล่าวว่า “เจ้าเกาะงานยุ่ง พวกเราไม่รบกวนมากแล้ว ขออำลาตรงนี้ก่อน”
ตงฟางชิงฉียิ้มกล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่ อยู่ๆ ไม่มีเหตุก็ทำมีมารยาทจนดูเหินห่างเช่นนี้ เป็นหนุ่มแล้ว ไม่ได้จะมาหาข้าที่นี่ง่ายๆ ไหนเลยจะปล่อยพวกเจ้าไปง่ายๆ ได้ พักอยู่ต่อกับข้าที่นี่! อีกสองสามวันคนจากสี่สำนักก็จะมาร่วมกำหนดรายชื่อแล้ว นับประสาอันใดกับหลิงหลงพวกเขาก็คงต้องมาไม่ใช่หรือ พวกเจ้าพักให้สบายใจ ถือว่าเป็นบ้านตัวเอง อย่าได้เกรงใจ”
เสวียนจีสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง พยักหน้ากล่าวว่า “ได้เลย ข้ายังไม่ได้ชมทิวทัศน์เกาะฝูอวี้เลย ครั้งนี้ต้องชมให้เต็มที่ ใช่แล้ว ท่านอาตงฟาง ท่านยังติดผักดองเกาะฝูอวี้ข้ามื้อหนึ่งนะ ยังมี ภรรยางดงงามอันดับหนึ่งใต้หล้าของท่านอีก”
นางจงใจเอ่ยถึงภรรยาเขา คิดดูปฏิกิริยาเขา ดังคาดตงฟางชิงฉีตะลึงงันไปทันที แย้มปากราวกับกำลังจะยิ้มเจื่อน แต่กลับฝืนยิ้มเจื่อนนั้นเป็นยิ้มเบิกบานดูแล้วขัดตายิ่ง แม้แต่เสวียนจียังรู้สึกทุกข์ใจแทนเขา
“เอ่อ…ได้ ได้ เดี๋ยวไปบอกภรรยาข้าเตรียมอาหาร กินข้าวเย็นกัน”
พอเขาออกไป เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งก็อ้างว่าจะไปเดินเล่น ลองวนไปทั่วเกาะฝูอวี้หาภรรยาคนงามที่ลึกลับไม่ปรากฏกายของเขาสักหน่อย
ผู้ใดจะรู้ว่าตอนเหินกระบี่ขึ้นไปรู้สึกว่าเกาะฝูอวี้แค่พื้นที่ใหญ่ราวฝ่ามือ แต่พอมาเดินนบนเกาะเข้าจริงๆ จึงได้รู้ว่ากว้างใหญ่อย่างคาดไม่ถึง ทั้งสองล้วนมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็หลงทางอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังพอหาทางไปต่อได้ อาศัยเพียงแค่ตามอง ล้วนเป็นหมู่มวลดอกไม้ ต้นไม้เขียวขจี งามราวเทพรังสรรค์
สุดท้ายเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ ทั้งสองพิงอยู่ใต้ต้นดอกซิ่งต้นหนึ่งมองออกไปไกล กลิ่นเค็มลมทะเลเจือกลิ่นต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ลอยมา เสวียนจีถอนหายใจอย่างผ่อนคลายสบายใจ ยิ้มกล่าวว่า “ข้าคิดมาตลอดว่าเจ็ดยอดเขาแรกอรุณทิวทัศน์งดงามที่สุด มาถึงวันนี้จึงได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เกาะฝูอวี้สมควรเป็นดินแดนเซียนบนโลกมนุษย์แท้จริง”
อวี่ซือเฟิ่งแหย่นาง “ในเมื่อที่นี่ดีเช่นนี้ เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่เลย ไม่ต้องไปแล้ว”
“นั่น นั่นไม่ได้” เสวียนจีรีบแสดงท่าทีตนเอง “ดีร้อยดีพันอย่างไร อย่างไรบ้านตัวเองก็ดีกว่า ในใจซือเฟิ่ง ตำหนักหลีเจ๋อก็คงดีที่สุดกระมัง”
ผู้ใดจะรู้ว่าเขากลับตะลึงอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง ตามด้วยอาการแย้มยกมุมปาก กล่าวเบาๆ “ใช่…แต่ ข้าไม่มีบ้าน”
หรือว่าตำหนักหลีเจ๋อไม่ใช่บ้านเจ้า เสวียนจีมองเขาเงียบๆ ซือเฟิ่งมักจะเป็นเช่นนี้ ปกติเย็นชานิ่งเงียบ ท่าทางไม่เก็บอันใดมาใส่ใจทั้งนั้น ไม่ค่อยกล่าววาจาตามอำเภอใจออกมาง่ายๆ แต่บางครั้งดูแล้วก็เหมือนมีความรู้สึกเศร้าสลด ราวกับว่ากิ่งไม้ที่ไร้ใบ โดดเดี่ยวเดียวดาย
ราวกับรู้สึกว่านางกำลังจ้องมอง อวี่ซือเฟิ่งยกมือไปตบไหล่นางเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “อย่ามองข้าแบบนี้ จ้องเขม็งแบบนี้ ตกใจนะ”
เขาเหมือนเมื่อก่อนที่ไม่ชอบให้คนมาจ้องมอง เพราะเรื่องนี้ยังเคยโมโหใส่นาง นางถอนสายตาคืนกลับมา ก้มหน้าหันไปสนใจเล่นกลีบดอกซิ่งที่ร่วงอยู่ที่พื้น หันมากล่าวเบาๆ ว่า “ไม่รู้ตอนนี้หลิงหลงเป็นอย่างไรบ้าง สองสามวันนี้ข้ามักรู้สึกไม่สบายใจ เกรงว่าพวกศิษย์พี่หกหานางไม่เจอ ยังมีถิงหนู…เขาไปไหนกัน”
อวี่ซือเฟิ่งส่งยิ้มบาง “เหตุใดเจ้ายังเรียกเขาว่าศิษย์พี่หก?”
เสวียนจีมองกลีบดอกสีชมพูนิ่งอึ้ง เป็นนานจึงกล่าวว่า “ไม่เช่นนั้น…ข้าจะเรียกว่าอะไรล่ะ”
เขาเงียบงัน
“หมิ่นเหยียน…เป็นคนดีมากๆ” เขากล่าวเบาๆ “จิตใจดีและยังมีน้ำใจ”
เสวียนจีโปรยกลีบดอกไม้ในมือออกไป กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ยังมีคนที่ดียิ่งกว่า ซือเฟิ่ง เจ้าเคยบอก”
ในใจเขากระตุกทีหนึ่ง กล่าวอะไรไม่ออก มือเรียวของนางที่ทั้งขาวนวลทั้งอ่อนนุ่ม ค่อยๆ ยื่นออกมา ราวกับนึกถึงเมื่อก่อน ดึงแขนเสื้อเขาไว้ ราวกับแมวตัวน้อยที่กำลังหาคนเล่นเป็นเพื่อน
เขาอดเอื้อมมือออกไปกุมมือนางไว้ไม่ได้ ในใจมีคลื่นนับพันนับหมื่นกระแทกไปมา พลางถอนหายใจ ปกติปากคอช่างพูด ยามนี้กลับหายไปไม่เหลือแม้เงา
“ซือเฟิ่ง…พวกเรา พวกเราสี่คนต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่แยกจากกันแม้เพียงวันเดียว ดีไหม”
น้ำเสียงนางแฝงความออดอ้อนอยู่เล็กน้อย หวานล้ำเจือออดอ้อน
เขาอึ้งตะลึง พยักหน้า หลุบขนตาลงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ได้”
ลมพัดหอบดอกไม้ร่วง ลมพัดมาที ดอกไม้ร่วงกราวราวฝนโปรยปราย เสวียนจีชี้ไปยังกลีบดอกร่วงเหล่านั้น ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าดู เหมือนฝนตก!”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ถูกเขาบีบมืออย่างแรงทีหนึ่ง นางอึ้งไป ได้ยินเพียงเสียงกระซิบว่า “เงียบก่อน เหมือนข้างหน้ามีคน”
นางรีบหรี่ตามองมองลึกเข้าไปในบริเวณดอกไม้ร่วง เงาร่างสีม่วงอ่อนยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ผมยาวดำขลับทิ้งตัวแทบระพื้น ประกายตาสีอ่อน ใบหน้างดงามเช่นนั้นของนาง ดอกไม้วสันต์เต็มสวนนี้พลันสูญเสียความงามไปสิ้น
ภาพนี้เหมือนเคยเห็นมาก่อน สี่ปีก่อนนางหันหน้าอย่างไม่ตั้งใจ จึงได้พบกับความลับพอดี ผู้ใดคิดว่าวันนี้ยังได้มาพบนางอีก
แม้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยลโฉมหน้าแท้จริงของนาง แต่ทั้งสองก็เหมือนรู้สถานะนางได้ในทันที หากกล่าวว่ายังมีผู้ใดเรียกได้ว่าสาวงามอันดับหนึ่งใต้หล้า ก็คงต้องเป็นสตรีชุดม่วงอ่อนผู้นี้แน่แล้ว
นางต้องเป็นภรรยาเจ้าเกาะตงฟางแน่นอน ยาพิษที่ทำให้เขาจมอยู่ในห้วงทุกข์แห่งรัก