ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 37 ทรยศ (4)
อูถงเอาแต่จ้องมองรั่วอวี้ ดวงตาทอแววตาประหลาด ยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ…”
วาจากล่าวจบ ถ้วยชาในมือก็กระทบพื้นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ทุกคนพากันอึ้งไปทันที นาทีถัดมา คนเฝ้าประตูก็กรูกันเข้ามา ล้อมพวกเขาสี่คนเอาไว้ ปลายดาบมากมายหลายชั้นล้อมชี้มาทางพวกเขา ส่องประกายวาววับ อย่าว่าแต่จงหมิ่นเหยียนเป็นพลังดรรชนีพันหมื่น แม้ว่ามาอีกสาม ก็ย่อมถูกแทงเป็นรูพรุน
สายตารั่วอวี้แปรเปลี่ยน แอบนึกว่าที่ตนเองกล่าวออกไปเมื่อครู่มีอันใดไม่ควรกล่าวหรือไม่ จงหมิ่นเหยียนสีหน้าซีดขาว กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “รองเจ้าสำนักหมายความว่าอย่างไร”
อูถงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ควรถามตัวเจ้าเองว่าหมายความว่าอย่างไร ก่อนหน้าข้าได้ยินข่าวน่าสนุกมาข่าวหนึ่ง สำนักบำเพ็ญเซียนเริ่มส่งสายแทรกซึมมาสืบค้นความลับในหมู่พวกเราแล้ว บางคนแสร้งทำเป็นถูกขับออกจากสำนักปลอมปนเข้ามา ข่าวนี้พวกเจ้าเคยได้ยินไหม”
จงหมิ่นเหยียนแววตาลุกวาบ หากยังนิ่งงันอยู่นานจึงได้กล่าวว่า “กล่าวเช่นนี้ เมื่อครู่ที่รองเจ้าสำนักเชื้อเชิญนั้น ล้อข้าเล่นหรือ”
อูถงพลันไม่กล่าวอันใด ลอบมองเขาอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า มองเห็นมุมปากเขากระดกเล็กน้อยท่าทางดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ มีเพียงลำคอที่สั่นเล็กน้อยเพราะเคียดแค้น มองไม่เห็นแววตาที่ลึกลงไป
ชายหนุ่มอายุน้อยเช่นนี้เกิดมาก็ควรมีชีวิตใต้แสงตะวัน ในใจไร้อุบายเล่ห์กล หัวเราะร่าเริงเปิดเผย จับมือกับแม่นางที่ตนรักไปจนแก่เฒ่า หลายเรื่องไม่เหมาะกับเขาสักนิด ไม่เหมาะให้คนเช่นเขาต้องลงมือเองเลย
เขามองอยู่เป็นนานก็เผยรอยยิ้มประหลาด กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไม่ใช่ไม่เชื่อเจ้า หมิ่นเหยียน ข้าเพียงแต่ไม่ชอบให้คนอื่นมองว่าข้าโง่”
เขาเผยอารมณ์อ่อนล้าออกมาเล็กน้อย นิ้วมือพลันขยับ ดาบของเวรยามพวกนั้นแทงลงอย่างไม่ออมแรง คิดว่าน่าจะต้องการแทงพวกเขาทั้งหมดให้ตายตรงนี้ อวี่ซือเฟิ่งโอบเสวียนจีเข้าสู่อ้อมกอด หันหลังบังให้นาง จงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้สองคนมองว่าจะลงมือจริงแล้วก็ไม่เกรงใจอีก ชักกระบี่ออกมารับมือ ทั้งสองคนล้วนเป็นศิษย์สำนักมีชื่อเสียง มีพลังภายในแข็งแกร่ง ยามตวัดกระบี่ พลังกระบี่เต็มอานุภาพคำรามดัง เพียงวาดเป็นวงก็บีบให้บรรดาเวรยามรอบๆ ต้องถอยออกไปหลายก้าว
บรรดาเวรยามไม่ใช่มารปีศาจ ส่วนใหญ่เป็นศิษย์สำนักเซวียนหยวนที่มาสวามิภักดิ์ ยังเป็นพวกอายุน้อยเสียส่วนใหญ่ ฝีมือนับว่าธรรมดา อาศัยเพียงคนเยอะจึงได้เปรียบก่อน ผู้ใดจะรู้ว่าพออีกฝ่ายเริ่มต่อสู้ ความได้เปรียบก่อนหน้าก็พลันหายไปสิ้น วงล้อมพลันกระจายออก อวี่ซือเฟิ่งรีบผลักเสวียนจีออกไป สั่งว่า “ดูศิษย์พี่รองเจ้าไว้!” กล่าวจบก็ชักกระบี่ออกไปช่วย
เสวียนจีรู้ว่าตนเองบาดเจ็บ ไม่อาจช่วยเหลือได้ ยามนั้นจึงวิ่งออกไปแก้เชือกที่มัดเฉินหมิ่นเจวี๋ยแน่นหนาไว้ออก ดีที่ตัวเขาแม้ว่าเปรอะเปื้อนเลือดเป็นจ้ำๆ แต่บาดแผลส่วนใหญ่ประสานกันแล้ว ไม่มีอันตรายใด สติยังแจ่มชัด พอแก้เชือกออก แขนและขาก็ขยับคลายความเหน็บชา กล่าวอย่างเจ็บแค้นว่า “มารดามันสิ! ถึงกับทรมานข้ามากมายเช่นนี้! สุนัขมารดามันสิ!”
ตอนเด็กเขาเติบโตกับพวกนักเลงเหนือใต้ เรียนรู้วาจาสบถด่าหยาบคายมาเต็มสมอง เพียงแต่ต่อมาเข้าเป็นศิษย์ฉู่เหล่ย อาจารย์เคร่งครัด ไม่อาจไม่เก็บงำวาจาในสมองเหล่านั้นให้ดี ยามนี้โกรธจัดจึงทนไม่ไหวจนลืมว่าเสวียนจีอยู่ข้างๆ ผรุสวาทสบถออกมาเป็นชุดแทบไม่หายใจ
เขามองพวกจงหมิ่นเหยียนทั้งสามกำลังได้เปรียบพวกเวรยามพวกนั้น อดคันไม้คันมือไม่ได้ ถ่มน้ำลายลงกลางฝ่ามือถูไปมา เลิกแขนเสื้อกำลังจะเข้าไปช่วย
เสวียนจีรีบรั้งเขาไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “ศิษย์พี่รอง ท่านยังบาดเจ็บ! อย่าเข้าไปช่วยให้เสียงาน!”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยอยากร้องไห้ก็ไม่ออก อยากหัวเราะก็ไม่ได้ หันกลับไป “นี่ ศิษย์น้องเล็ก อย่าพูดจาดูแคลนกันเช่นนี้สิ!”
นางท่าทางเป็นการเป็นงานกล่าวว่า “ไม่ได้ดูแคลน เป็นเรื่องจริง สภาพท่านตอนนี้ช่วยไปก็เสียงาน ควรใส่ยาพันบาดแผลให้เรียบร้อยดีกว่า”
“ไอ้…ข้าเกลียดวาจาตรงไปตรงมาของเจ้าจริง…”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยงึมงำ รู้สึกอยากลงมือแต่กำลังไม่พอ ได้แต่นั่งยองลงกับพื้นแต่โดยดี ปล่อยเสวียนจีใส่ยาให้ตน พลันเหลือบเห็นอูถงนั่งอยู่ จึงเผยรอยยิ้มบางมองลง เขาเกลียดคนผู้นี้เข้ากระดูก ตั้งแต่ตอนนั้นก็รู้ว่ามันไม่ใช่คนดีอันใด ครั้งนี้ถึงกับมาขี่อยู่บนหัวเขาได้ พลันทนไม่ไหว มองอูถงกำลังหัวเราะไม่ทันระวังตัว สมองพลันโมโห ยกมือแย่งกระบี่เปิงอวี้ที่เอวเสวียนจี พุ่งออกไปราวเกาทัณฑ์ คิดจะเสียบเขาให้ตายคาเก้าอี้
เสวียนจีรีบรั้งไว้ ผู้ใดจะรู้ว่าช้าไปก้าวหนึ่ง หางตาอูถงไม่ได้เหลือบมอง พอกระบี่แทงมาเบื้องหน้า กลับยกสองนิ้วคีบเอาไว้ได้อย่างละมุนละม่อม ท่าทางไม่ยี่หระ ค่อยๆ คีบกระบี่เปิงอวี้ไว้ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง
เฉินหมิ่นเจวี๋ยสีหน้าแปรเปลี่ยน พลันจะชักกระบี่ออก ผู้ใดจะรู้ว่าสองนิ้วนั่นกลับแข็งแกร่งราวเหล็กไหล กระชากเต็มแรงก็กระชากคืนมาไม่ได้ ในใจเขารู้ว่าไม่ได้การแล้ว รีบปล่อยกระบี่เปิงอวี้ทิ้ง หันหลังคิดวิ่งหนี ผู้ใดจะรู้ว่ายังช้าไปก้าวหนึ่ง ถูกอูถงเอื้อมมือมาคว้าหน้าผากเขามากดไว้เต็มแรง ไม่ว่าเขาดิ้นรนอย่างไรก็สลัดไม่หลุด
“สุนัขมารดามันสิ! เอามารดาพ่อเจ้าสิ! แน่จริงฆ่าข้าสิ! ข้าเป็นผีก็ไม่ปล่อยเจ้า!”
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเฉินหมิ่นเจวี๋ยถูกเขากุมไว้ด้วยมือเดียว ราวกับสัตว์ป่าที่ถูกผ้าครอบหัวไว้ ได้แต่สี่เท้าตะกุยตะกายเต็มแรงก็ไม่มีทางสลัดหลุด เขารู้สึกเพียงแค่หายใจแทบไม่ออก ความสามารถเดิมก็ผุดขึ้น เอาแต่ส่งเสียงด่าทอหยาบคาย
กระบี่เสวียนจีถูกเขาแย่งไปตกอยู่ในมืออูถง ในยามนั้นไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ทั้งสามข้างๆ ที่ปะทะกับพวกเวรยามชนะแล้วก็หันกลับไปเห็นเฉินหมิ่นเจวี๋ยถูกอูถงจับไว้ อวี่ซือเฟิ่งรีบพุ่งเข้าไปคิดช่วย
อูถงแสยะยิ้ม กระชากเฉินหมิ่นเจวี๋ยโยนออกไป กล่าวว่า “รับให้ดี!”
คนตัวใหญ่ขนาดนั้น ถึงกับถูกเขาโยนทิ้งไม่ไยดีไปได้ไกลเพียงนั้น กระเด็นลอยมา จงหมิ่นเหยียนเกรงว่าเขาจะกระแทกบาดเจ็บ ได้แต่พยายามหาทางรับไว้ ท่อนแขนหนักอึ้งเกือบปล่อยหลุดมือ เขาคว้าเอวเฉินหมิ่นเจวี๋ยไว้แน่น กระเด้งถอยหลังไปหลายก้าว สุดท้ายกระแทกเข้ากับกำแพงก่อนจะหยุดลง ในใจอดตกใจไม่ได้ ไม่เจอกันหลายปี ความสามารถอูถงถึงกับเพิ่มขึ้นเช่นนี้! หรือว่าเขาได้เรียนรู้ความสามารถพิเศษอันใดจากพวกมารปีศาจ
เฉินหมิ่นเจวี๋ยถูกโยนทิ้งสภาพน่าอนาถเช่นนี้ก็ยังไม่ได้ด่าทอออกมา ไม่ใช่เขาไม่คิดด่า แต่ตกใจจนด่าไม่ออก
อูถงเห็นจงหมิ่นเหยียนสีหน้าซีดขาว จิตใจสับสน มองไปยังพวกตนเองที่บาดเจ็บระเนระนาด พลันปรบมือยิ้มกล่าวว่า “ยอดเยี่ยมดังคาด! เยี่ยมมาก!”
จงหมิ่นเหยียนจ้องมองเขาไม่กะพริบ ไม่กล่าวอันใด
อูถงจึงกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนนับว่าเป็นคนมีความสามารถ ในเมื่อเข้าร่วมแล้ว ข้าย่อมยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง แต่ต้องการเข้ามาก็ไม่ใช่แค่ปากพูดง่ายๆ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่แผนอุบายของพวกสำนักบำเพ็ญเซียน”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวเบาๆ ว่า “ในเมื่อรองเจ้าสำนักระแวง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก”
อูถงเห็นเขาหันกายคิดจะจากไป พลันยิ้มกล่าวว่า “ไม่เอ่ยถึงก็ได้ เช่นนั้นข้อแลกเปลี่ยนพวกเราก็ไม่อาจบรรลุ จิตญาณหลิงหลงกับศิษย์พี่เจ้าผู้นั้นก็เก็บไว้ก่อน หากพวกเจ้าจะไปก็เชิญตามสบาย”
ต่ำช้า! จงหมิ่นเหยียนพลันหันขวับมาจ้องมองเขาไม่วางตา
อูถงเผยรอยยิ้มบางมองดวงตาลุกโชนของเขา กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไม่ใช่เทพเซียนผู้เมตตา หากพวกเจ้าจะอยู่ต่อ ย่อมได้ แต่ต้องให้ข้าเห็นความจริงใจ หากไม่อยากอยู่ต่อ ข้าย่อมไม่บังคับ แต่สิ่งที่พวกเจ้าต้องการก็อย่าได้คิดนำกลับไปเลย”
มาถึงตอนนี้ทุกคนรู้สึกว่าไม่อาจไม่ตกหลุมพรางเขาแล้ว เขาล่อหลอกก่อน ต่อมาข่มขู่ หากจงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้ไม่เข้าเป็นพวกเดียวกับพวกเขา ก็อย่าคิดช่วยคนออกไป เสวียนจีอดคลึงขวดผลึกแก้วในมือตนไม่ได้ จิตญาณหลิงหลงอยู่นี่แล้ว กว่านางจะได้มาครอบครอง จะส่งมอบคืนกลับไปง่ายๆ ได้อย่างไร!
จงหมิ่นเหยียนสบตากับรั่วอวี้ รู้สึกว่าใบหน้าอีกฝ่ายว่าซีดแล้วยังซีดลงอีก พวกเขาตกหลุมพรางอย่างไม่รู้ตัว เริ่มจากขึ้นเขาปู้โจวซานมา…ไม่ จากเมื่อสี่ปีก่อนห้าสำนักใหญ่ออกหมายจับอูถง กับดักหลุมพรางใหญ่ก็เริ่มวางทีละขั้นแล้ว ในที่สุดมาถึงวันนี้ก็เหวี่ยงแหจับพวกเขาหมดสิ้น! จิตใจต่ำช้าสามานย์ยิ่ง วิธีการโหดเ**้ยมยิ่ง!
รั่วอวี้นิ่งเงียบเป็นนาน จึงได้กล่าวว่า “รองเจ้าสำนักต้องการให้พวกเราแสดงความจริงใจ ไม่ทราบว่าอย่างไรจึงเรียกว่ามีความจริงใจ”
อูถงคิ้วกระตุก “เพื่อทำให้ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าไม่ใช่สายที่สำนักบำเพ็ญเซียนส่งมา ก็ต้องสังหารคนให้ข้าดู ข้าจึงจะเชื่อ จิตญาณนั่นก็จะให้พวกเจ้าเอาไปได้”
ทุกคนมองตามมือเขาไป เป็นเฉินหมิ่นเจวี๋ย สีหน้าเขาซีดขาว เห็นชัดว่ายังไม่ได้สติคืนมาจากอารามตกใจเมื่อครู่ พอได้ยินวาจานี้ สีหน้าเขายิ่งซีดขาวกว่าเมื่อครู่เข้าไปอีก หันกลับไปมองจงหมิ่นเหยียน อยู่ๆ เขาก็เริ่มสบถผรุสวาจา “มารดาเจ้าสิ! เจ้ามารปีศาจชั่ว! หมิ่นเหยียน อย่าไปฟังมันพล่าม! ที่นี่แค่มันคนเดียว พวกเราร่วมมือกัน สังหารมันทิ้ง ฝ่าออกไป!”
จงหมิ่นเหยียนราวกับไม่ได้ยิน อึ้งมองอูถง เขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ยิ้มอ่อนโยนราวกับเมื่อครู่เขาไม่ใช่คนสั่งให้เขาสังหารศิษย์ร่วมสำนัก แต่ให้เขาไปรดน้ำดอกไม้
“อย่างไร หมิ่นเหยียน รั่วอวี้ คิดเสร็จยัง สังหารคนผู้นี้ จากนี้พวกเจ้าก็เป็นคนสนิทข้า จิตญาณหลิงหลงก็มอบให้พวกเจ้า หากไม่สังหารเขา จิตญาณก็อย่าได้คิดเอาไป พวกเจ้าสองคน…ถูกขับออกจากสำนัก เร่ร่อนพเนจรไปทั่วหล้าก็ย่อมได้”
จงหมิ่นเหยียนนิ่งอึ้งไปเป็นนาน ในที่สุดก็ขยับเดินไปทางเฉินหมิ่นเจวี๋ย ไม่กล่าวอันใดทั้งนั้น