ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 44 ตำหนักหลีเจ๋อ (1)
แม้ว่าเตรียมใจไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่พอกลับถึงโรงเตี๊ยมมองไม่เห็นอวี่ซือเฟิ่งในห้อง เสวียนจีก็ยังรู้สึกสะเทือนใจรุนแรง
ผ้าห่มบนเตียงยังพับอยู่ครึ่งหนึ่ง ห่อผ้าเขายังวางอยู่บนหัวเตียง ม่านเตียงยังแขวนอยู่ครึ่งหนึ่ง ไม่ได้เละเทะและไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ราวกับเขาหายตัวไปเฉยๆ เสวียนจีค่อยๆ เดินไปข้างเตียง พลันเอื้อมมือไปพลิกผ้าห่มที่ยังมีความอุ่นเหลืออยู่ แต่ไม่เห็นคน
“โอย อย่างไรก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง!” หลิ่วอี้ฮวนเคาะหัวตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้มากไปกว่านั้น ตรวจดูรอบๆ ห้องคิดหาร่องรอย “ของยังอยู่ครบ…แม้แต่กระบี่เจ้าหนุ่มก็ไม่ได้เอาไปด้วย! หา หรือว่าเสื้อผ้าก็ไม่ได้สวม! หรือว่าถูกคนจับไปแบบตัวเปล่าเปลือย?!”
วาจาไม่ทันจบ เสวียนจีก็เตะประตูออกวิ่งลงไปชั้นล่าง ทั้งสองรู้อารมณ์นางดี ย่อมต้องพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ร้อนใจรีบตามไป เห็นเพียงนางวิ่งตรงไปยังห้องครัวด้านหลังราวกับจะหาคน สุดท้ายไปที่ตาแก่ชุดเทาข้างเตาที่กำลังต้มยาผู้หนึ่ง ตวาดดุดันถามเขา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?! ให้เจ้าดูแลคุณชายอวี่ ทำไมเจ้าไม่เฝ้าเขาไว้ให้ดี?!”
ตาแก่นั่นเห็นนางตวาดดัง ตกใจจนหม้อยาที่กำลังยกขึ้นตกแตกกระจาย ยาร้อนสาดเต็มพื้น กลิ่นอบอวลไปทั่ว
“แม่นาง…สั่งให้ข้าน้อยดูแลคุณชายอวี่ให้ดี…ข้าน้อยกำลัง…ต้มยาให้เขา…”
กลิ่นยาที่กำจายออกมาเป็นยาอวี่ซือเฟิ่งดังคาด เสวียนจีตะลึงอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง น้ำเสียงแหบพร่า ถามว่า “เจ้า…ต้มนานเท่าไรแล้ว”
“ครึ่งชั่วยามได้กระมัง…เพิ่งต้มเสร็จ แม่นาง เจ้า…เอ่อ…”
หลิ่วอี้ฮวนมองเขาถูกเสวียนจีกระชากคอไว้ สภาพน่าอนาถมาก ก็รีบเข้าไปแก้สถานการณ์ ปลอบใจตาแก่ที่ตกใจ ก่อนจะหันกลับไปกล่าวว่า “เจ้าอย่าวู่วาม! เรื่องนี่ไม่เกี่ยวกับชายผู้นี้!” พลางหันไปปลอบให้ตาแก่ออกไปก่อน ยังถามคนรอบๆ ว่า “มีคนสวมหน้ากากชุดครามเข้ามาไหม”
ทุกคนล้วนส่ายหน้า ถิงหนูนิ่งเงียบเป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “หากพวกเขาต้องการลงมือจริง ย่อมไม่ทำให้คนรอบข้างแตกตื่น ดูท่าแล้วแปดเก้าส่วน ซือเฟิ่งถูกคนตำหนักหลีเจ๋อพาตัวไปแล้ว บางทีอาจคุมตัวไป ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้นำกระบี่ไปด้วย”
หลิ่วอี้ฮวนส่งเสียงร้องประหลาดว่า “ไม่ใช่แค่กระบี่! เสื้อตัวนอกก็ยังไม่ให้เขาใส่! พวกเขาบังคับไปแบบตัวเปล่าเปลือย!”
ในใจเสวียนจีสับสน ไม่อยากฟังพวกเขากล่าวเหลวไหล หันกลังวิ่งออกจากห้องครัว มองเขม็งไปยังท้องฟ้า หวังว่าจะเห็นเงาอะไรบ้าง
หลิ่วอี้ฮวนตามมา ถอนใจกล่าวว่า “อย่างไรเล่า แม่หนูน้อย เจ้าคิดไล่ตามไปตำหนักหลีเจ๋อ?”
เสวียนจีไม่กล่าวอันใด จริงๆ แล้วไม่ต้องกล่าวอันใด คำตอบก็กระจ่างชัดแล้ว ไม่ว่าเมื่อสี่ปีก่อนที่ยอดเขาเสี่ยวหยาง หรือสี่ปีให้หลังที่เกาะฝูอวี้ คำสัญญาของนางไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ผู้ใดก็ไม่อาจบังคับจิตใจอวี่ซือเฟิ่ง ไม่ว่าตำหนักหลีเจ๋อหรือผู้ใดก็ตาม ไม่เช่นนั้นนางก็จะไล่ตามไปถึงตำหนักหลีเจ๋อก็ต้องชิงตัวกลับมาให้ได้
“อย่างไรคงต้องมีวันนี้” ถิงหนูกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ผ่านเคราะห์กรรมมานับหมื่นพัน ถูกหรือผิดกัน ข้ารอสิ่งเหล่านี้ รอมานานเพียงนี้”
หลิ่วอี้ฮวนถอนหายใจ ยองตัวลงนั่งปัดผมเผ้าที่ปกรุงรังออก ราวกับตัดสินใจแน่วแน่ เป็นนานก่อนจะกำปั้นทุบฝ่ามือกล่าวว่า “ได้! ไปสักครั้ง ถือว่ากลับไปเยี่ยมเยือนบ้าน จะเป็นไรไป!”
เขามองเสวียนจีที่อยู่ๆ หันกลับมามองตนเอง อดยิ้มเยาะตนเองไม่ได้ กล่าวว่า “เฮ้อ…ไม่มีอะไร ข้าพูดกับตัวเองเท่านั้น พวกเราไปกันเมื่อไรดี”
เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “พี่หลิ่ว ท่านมีดวงตาสวรรค์ มองดูสภาพซือเฟิ่งตอนนี้ได้ไหม”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “ไหนเลยจะใช้ดวงตาสวรรค์ได้! ครั้งก่อนรับมือปีศาจงูทำเอาข้าหมดเรี่ยวหมดแรง ระยะนี้ยังใช้ไม่ได้ ขอโทษด้วย ดูไม่ได้”
เหลวไหล ตอนนี้หากเขาใช้ดวงตาสวรรค์ดูว่าจะเกิดอะไรได้ยังต้องร้อนใจอีกหรือ แม่หนูน้อยนี่สมองทื่อจริง โง่จริง
เสวียนจีถอนหายใจยาว กล่าวเบาๆ ว่า “ตอนนี้หากข้าไปตำหนักหลีเจ๋อถามซือเฟิ่งต่อหน้า เขาจะตามพวกเรามาหรือว่าอยู่ตำหนักหลีเจ๋อ หากเขาคิดจะไปจากที่นั่น เช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดขวาง ข้าก็จะไม่อ่อนข้อให้ ขอสาบานในวันนี้ แม้ต้องแหลกสลายก็ไม่เสียดาย!”
กล่าวจบก็โบกมือดับเตาหันกายจากไป ถิงหนูกับหลิ่วอี้ฮวนทั้งสองมองไปยังเตาที่ถูกโบกพัด ลึกลงไปราวกับมีเปลวไฟที่ไร้รูปร่างเผาให้อ่อนยวบลง รอยนิ้วเลือนราง ทั้งสองสบตากัน ส่งสายตาให้กัน สีหน้าตกใจ
พลันนึกระลึกสติ บางทีอีกไม่นานจากนี้ นั่นเป็น…ห้วงเวลาที่แสนรอคอย ตื่นเต้นจนยากระงับ
*****
เทือกเขาตะวันตกทอดตัวยาว มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด น้อยคนจะรู้ว่าอีกด้านของเขานั่นเป็นทะเลกว้างไร้ขอบเขต กลางทะเลมีเกาะโดดเดี่ยว ฝนตกฟ้าครึ้มทั้งปี มีเพียงไม่กี่วันที่จะมองเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องอร่ามตา
วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ท้องฟ้าแจ่มใสหาได้ยากยิ่ง ท้องฟ้าไกลออกไปนับหมื่นลี้ไร้เมฆหมอก แสงอาทิตย์สาดส่องอย่างไม่เก็บงำ สาดแสงทั่วเกาะโดดเดี่ยว บนเกาะมีตำหนักงดงามยิ่งใหญ่ ทอดตัวยาวหลายสิบลี้ กระเบื้องแก้วส่องประกายยามกระทบแสงอาทิตย์ สีสันงดงามแปลกตา
บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อต่างทะนุถนอมท้องฟ้าแจ่มใสที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้อย่างมาก หลายคนถือโอกาสลมดีแดดงามลงทะเลไปจับปลา ฝั่งทะเลยามนี้ครึกครื้นมาก ล้วนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังเฮฮาของบรรดาชายหนุ่ม พากันหยอกล้อเล่นกันเสียงดัง เด็กที่ซุกซนมากหน่อยก็ปีนไปบนหอคอยหยกขาวที่สูงที่สุดหน้าตำหนักสองหอคอยนั้นมองไปยังทะเลกว้างแสนไกล เส้นขอบฟ้าจรดทะเลนั่นผสมผสานกับสีครามอ่อนครามเข้ม ทำให้ผู้คนบังเกิดภาพฝัน ยังมีคนหันมองไปยังเขาด้านหลังที่ทอดตัวยาวไม่สิ้นสุด จินตนาการโลกแสนรุ่งเรืองหลังเขานั่น ในใจพลันเบิกบาน
อวี่ซือเฟิ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง เหม่อมองชายหนุ่มด้านนอก ไม่รู้คิดอะไรอยู่ เขาบาดเจ็บหนักเพิ่งหาย สีหน้ายังดูไม่ดีนัก เห็นชัดว่าอากาศอบอุ่นแล้ว แต่เขายังคงสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีคราม สองมือเย็นเยียบถูกันตลอดเวลา ทำเอาเสื้อคลุมสั่นไหวเบาๆ
น่าจะยืนอยู่นานแล้วจนทนไม่ไหว เขาคว้ากำแพงไว้ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้เนิ่นนานก่อนเอ่ยขึ้น “อาจารย์ เรื่องนี้ศิษย์ไม่อาจตอบได้”
ชายชุดครามเบื้องหน้าเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว อายุราวสี่สิบกว่า คิ้วยาวดวงตาสุกใส ใบหน้าหล่อเหลาไม่น้อย คนผู้นั้นยกถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง คิ้วกระตุก ยิ้มกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง เรื่องนี้ไม่ได้มาหารือเจ้า แต่จำเป็นมาก เจ้าเป็นศิษย์รักข้า แต่ไม่อาจเป็นเพียงเพราะว่าเป็นเจ้า จึงจะยอมให้ทำลายกฎตำหนักหลีเจ๋อที่ตั้งมาหลายปี ไม่เช่นนั้นจะสยบทุกคนได้อย่างไร”
ที่แท้ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คืออาจารย์ของอวี่ซือเฟิ่ง เจ้าตำหนักใหญ่แห่งตำหนักหลีเจ๋อ สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งยิ่งซีดขาว ขนตางามกระเพื่อมไหวกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แต่…หน้ากากศิษย์ถูกนางปลดออกจริงๆ…ศิษย์ไม่กล้าโกหก…”
เจ้าตำหนักโบกมือ ควักเอาหน้ากากร้องไห้เศร้าโศกออกมาจากอกเสื้อ อธิบายละเอียดว่า “ใต้หล้ามีเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาอยู่แปดเก้าส่วน นับประสาอันใดกับหน้ากากเล็กๆ เช่นนี้ ยิ่งนับประสาอันใดกับหน้ากากถูกปลด แต่คำสาปยังอยู่ มีความหมายอะไร”
เขามองอวี่ซือเฟิ่งก้มหน้าไม่กล่าวอันใด รู้ว่าตนเองกล่าวแทงใจเขา รีบกล่าวอ่อนโยนว่า “ผู้คนใต้หล้าแล้งน้ำใจไร้ความจริงใจ เจ้ายังผ่านโลกมาน้อย ย่อมถูกหลอกได้ ดังคำกล่าวที่ว่าทนทุกข์เพิ่มหนึ่งปัญญาเพิ่มหนึ่ง หากยามนี้แล้วเจ้ายังดื้อดึง ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามเด็กผู้หญิงนั่น ใช่ว่าเป็นคนโง่เขลาหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งสั่นไหว กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ศิษย์…ไม่ได้ถูกหลอก”
เจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “ไม่ได้ถูกหลอก เช่นนั้นทำไมคำสาปยังอยู่”
เขาไร้วาจาโต้ตอบ
เจ้าตำหนักกล่าวอีกว่า “แม้ตายก็ยังไม่สำนึกผิด เอาเถอะ เจ้าไม่ยอมรับเรื่องหน้ากาก ข้าเองก็ไม่บีบคั้นเจ้า เรื่องผนึกนั่นจะว่าอย่างไร แอบเปิดผนึกนอกสำนัก เจ้ารู้ไหมว่าความผิดขั้นใด”
อวี่ซือเฟิ่งน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “วันนั้นศิษย์…ได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่อาจไม่ทำ…”
“หึๆ วันนี้เจ้าว่าไม่อาจไม่ทำ วันหน้าคนอื่นไม่อาจไม่ทำ กฎตำหนักหลีเจ๋อตั้งไว้ทำไมกัน”
อวี่ซือเฟิ่งไร้วาจาโต้ตอบอีกครั้ง
เจ้าตำหนักกล่าวอ่อนโยนว่า “ซือเฟิ่ง ข้าเห็นเจ้ามาแต่เล็ก เจ้าเป็นเด็กหยิ่งทะนง แต่ไรมาไม่เคยยอมอยู่หลังผู้ใด ยิ่งไม่ควรสูญเสียการควบคุมตนเองไปกับเด็กผู้หญิงคนเดียว เจ้าควรรู้ว่านางเป็นมารของเจ้า หากคนคนหนึ่งมารแทรกขึ้นมาก็ย่อมไร้หนทางเยียวยา ฟังคำอาจารย์ ลืมนางเสีย กลับคืนสำนัก ที่นี่คือบ้านเจ้า คนเราจะไม่กลับบ้านได้อย่างไร เจ้ากลับมา ข้ารับรองความปลอดภัยเจ้า ขอเพียงเข้าคุกน้ำไปสองสามวัน เจ็บตัวเล็กน้อย เรื่องก่อนหน้าข้าจะถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น คำสาปคู่รักนั่น ข้าก็จะหาทางถอนให้เจ้า”
เขามองอวี่ซือเฟิ่งก้มหน้าไม่กล่าวราวกับไม่ไหวติง จึงกล่าวน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อยว่า “หากเจ้ายังดื้อดึงต่อไป หรือว่าไม่กลัวโดดเดี่ยวเดียวดาย”
อวี่ซือเฟิ่งหลับตาลง พลันคุกเข่าลงโขกศีรษะให้เขาสามทีดังลั่น น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ศิษย์ผิดต่อความเมตตาของอาจารย์แล้ว! แต่ตัวศิษย์นี้…ไร้หนทางหันหลังกลับแล้ว! ขออาจารย์ลงโทษ ศิษย์ไม่กล้ามีวาจาแค้นเคือง!”
เจ้าตำหนักยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ดีมาก! ดีมาก!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “อาจารย์ลงโทษอันใด ศิษย์ยินดีน้อมรับ! แต่ศิษย์มีเรื่องหนึ่งไม่กระจ่าง ขออาจารย์ฟังศิษย์เล่าก่อน!”
เจ้าตำหนักกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าเล่ามา”
“บาดแผลศิษย์ถูกรั่วอวี้แทง…ศิษย์ขอถาม อาจารย์รู้เรื่องนี้ไหม”
เจ้าตำหนักผุดลุกขึ้น ตกใจและโมโหมาก น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “รั่วอวี้แทงเจ้า?!”
ทันทีที่กล่าวจบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเอะอะด้านนอกดังมา ศิษย์เฝ้าประตูร้อนใจกล่าวว่า “เรียนเจ้าตำหนัก! มีคนสามคนบุกตำหนักหลีเจ๋อ กำลังปะทะกับศิษย์เฝ้าประตู!”
อวี่ซือเฟิ่งสะดุ้งรีบวิ่งไปริมหน้าต่าง มองเห็นเพียงตรงเสาหยกขาวคู่มีดรุณีน้อยชุดขาวยืนอยู่ ผมดำขลับ ใบหน้าแดงระเรื่อ เป็นฉู่เสวียนจี