ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 47 ตำหนักหลีเจ๋อ (4)
เสวียนจีเก็บกระบี่เปิงอวี้คืนฝัก ผนึกมือกำลังจะเรียกพลังเสกไฟ ถิงหนูคว้าข้อมือนางไว้ “ใช้กระบี่ติ้งคุนประสานไฟ! อย่าปล่อยผนึก!”
เสวียนจีตกใจอึ้งมองเขา คิ้วถิงหนูขมวดมุ่น ราวกับรู้สึกว่ากล่าวผิดไป รีบแก้ว่า “อย่าปล่อยผนึก…กระบี่เจ้า…ชื่ออะไรนะ?”
นางทำตาม ชักกระบี่เปิงอวี้ที่ราวกับมีชีวิต ส่งเสียงคำรามสนั่นไหว แสงสาดประกายสี่ทิศราวกับเร่งเร้าให้นางรีบลงมือ นางเหมือนรู้โดยสัญชาตญาณว่าจะทำเช่นไร นิ้วลูบผ่านกระบี่เบาๆ ที่ที่นิ้วนางลูบผ่านก็เปล่งประกายแสงราวเปลวเพลิงรุนแรง
แขนเสื้อนางสะบัดออก กระบี่วาดวงกว้าง กล่าวว่า “มันชื่อกระบี่เปิงอวี้ และยังชื่อติ้งคุน!”
ราวกับพริบตาเดียวกระบี่ติ้งคุนก็ถูกเพลิงเผากลืนกิน มีมังกรเพลิงใหญ่น้อยมากมายม้วนพันอยู่บนนั้นร้อนแรงน่าตกใจ หลิ่วอี้ฮวนตกใจมองอย่างตื่นเต้นอิจฉา พึมพำกล่าวว่า “เทพศาสตรา…นี่คือเทพศาสตรา!”
วาจากล่าวจบ เสวียนจีก็พุ่งออกจากอาณาเขตเวท ทะลุเข้าเขตฝนดำ พลังแข็งกล้าหนาแน่น หลิ่วอี้ฮวนมองแล้วรู้สึกหวาดหวั่น ตะโกนดังติดๆ กันว่า “ระวัง! ทางนั้นๆ…เฮ้อ! ระวังหน่อย!”
ถิงหนูถอนใจกล่าวว่า “ข้านับวันยิ่งรู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่เหมือนแค่เป็นพ่อคน”
“อะไร” หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาใส่เขาเหมือนโดนโทษใส่
“เจ้ายังเป็นแม่ ยังเป็นจำพวกที่ชอบพล่ามบ่นด้วย”
“…” หลิ่วอี้ฮวนถึงกับหน้าแดง
ถิงหนูกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “นางไม่เป็นไร นานมาแล้ว นางก็เป็นเช่นนี้ ต่อสู้คนเดียว คนเดียวรับมือกองทัพนับพัน…แม้แต่ราชันสวรรค์ก็ยังตกใจในความสามารถสู้รบของนาง”
“เจ้ารู้ไม่น้อยเหมือนกันนี่” หลิ่วอี้ฮวนยักไหล่ “เมื่อก่อนมีบุญคุณความแค้นใดกับนางกัน เกี่ยวพันมาถึงชาตินี้ได้”
ถิงหนูยิ้มบาง เป็นนานก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าเพียงแค่ อยากชมความสง่างามแห่งเทพสงครามอีกครั้ง”
ความแข็งแกร่งที่ทำให้ผู้คนหลงใหลเช่นนั้น กลิ่นอายที่กดดันสยบรอบกาย ท่าทางเย่อหยิ่งเย็นชา เขาคิดอยากชมนางในตอนนั้นให้ดีๆ สักหน่อย
ขณะที่พูดนั้น เสวียนจีก็พุ่งไปกลางทะเล ตีลังกาปล่อยแสงกระบี่ติ้งคุนนับหมื่นสาย ยังมีมังกรเพลิงพันอยู่บนกระบี่ขยายขนาดนับร้อยเท่าทันที อยู่ๆ ท่ามกลางท้องฟ้าราวกับเปลวเพลิงโหมขึ้น นางเรียกมังกรเพลิงขึ้นมา กระบี่ติ้งคุนกลางท้องฟ้าค่อยๆ วาดวง นางตะโกนลั่น “ลุย!”
มังกรเพลิงเหล่านั้นคำรามดังกึกก้อ งพุ่งเข้าไปอย่างไม่นึกเกรงกลัว เข้ารัดบรรดางูฮว่าเสอไว้แน่นหนา แม้ว่าขนาดลำตัวจะใหญ่สู้พวกมันไม่ได้ แต่พลังความร้อนที่ราวเพลิงสวรรค์ก็น่าตกใจพอจะทำให้คนแทบหายใจไม่ออกแล้ว บรรดางูฮว่าเสอคำรามแตกตื่น รีบตะกายมุดลงทะเล มังกรเพลิงที่พันรอบตัวมอดลงทันที เสวียนจีไร้มังกรเพลิงก็ได้แต่ยืนคว้างกลางอากาศ
ถิงหนูขมวดคิ้ว “ไม่ใช่! ไม่ใช่อัคคีสมาธิจิต! นางไม่เข้าใจ!”
วาจาไม่ทันจบก็ได้ยินกลางท้องทะเลมีเสียงคำรามดังแสบแก้วหูของงูฮว่าเสอ ไฟพวกนั้นแม้ว่าร้ายกาจ แต่ทำได้แค่บาดเจ็บเลือดเนื้อ บรรดางูฮว่าเสอถูกนายสั่งการพุ่งออกมาจากท้องทะเล อ้าปากกว้างคิดจะเขมือบกินเสวียนจี นางตัวคนเดียวกลางท้องทะเล เห็นชัดว่าไร้ที่หลบ
หลิ่วอี้ฮวนร้อนใจจนขนหัวตั้ง ตะโกนดังว่า “เช่นเจ้ารีบทำให้นางเข้าใจสิ! เร็วหน่อย!”
ถิงหนูเม้มปากแน่น ไม่กล่าวอันใด
เขากล่าวอันใดได้กัน
เสวียนจีพยายามตะกุยตะกายว่ายอยู่ในทะเลหนีไปด้านหน้า บรรดางูฮว่าเสอด้านหลังไม่ช้าก็ตามมาทัน พุ่งขึ้นจากน้ำเอาหัวชนตัวนาง นางตัวลอยหวือขึ้นมา บรรดางูฮว่าเสอพุ่งเข้ามายืดคอยาวพยายามแย่งเขมือบนาง
ในยามนั้นนางร้อนใจ อยู่กลางอากาศยากจะขยับมือเท้า ตาจ้องมองงูฮว่าเสอตัวหนึ่งเบื้องหน้ากำลังคำรามจะเข้ามากัด ในปากฟันเรียงวาววับแหลมคมราวตะขอโค้ง แต่ละซี่ใหญ่กว่าร่างตนทั้งร่างอีก ในใจก็รู้สึกตกใจ ได้แต่หลับตาลงรอความตายตามสัญชาตญาณ
กระบี่เปิงอวี้ในมือไม่ยอม แผดเสียงดังกึกก้องสั่นไหวรุนแรงราวกับตำหนินางไม่ควรไร้ค่าเช่นนี้ เสวียนจีได้แต่พยายามฝืนสู้ รองูฮว่าเสอนั่นงับมาก็แทงกระบี่เปิงอวี้เข้าปากเหม็นๆ ของมัน ยกเท้าถีบฟันมันไปทีหนึ่ง อาศัยแรงดีดตัวขึ้น สองมือผนึกกันเรียกมังกรเพลิงพาตนเองลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
ใช่แล้ว นางยังตายไม่ได้ ยังไม่ได้เห็นซือเฟิ่ง ยังไม่ช่วยหลิงหลงกลับมา ยังไม่พาศิษย์พี่หกออกจากเขาปู้โจวซาน
นางยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ จะมาตายในที่บ้าบอเช่นนี้ได้อย่างไร! นางมองงูฮว่าเสอตรงหน้าอย่างนึกรังเกียจ นางยอมปลิดชีพตนเองดีกว่าตายในปากปีศาจน่าเกลียดพวกนี้!
ไม่รู้ทำไม พอคิดถึงคำว่า ‘ปลิดชีวิตตน’ ในใจนางพลันสั่นไหว ราวกับสะเทือนใจอะไรสักอย่าง กระบี่เปิงอวี้ในปากงูฮว่าเสอเปล่งแสงก่อนจะพุ่งทะยานออกมาเหมือนมีญาณรับรู้ได้ ค่อยๆ ตกลงบนมือนาง กระบี่ราวเปลวเพลิง สัมผัสเช่นนี้…ราวกับนางเคยกำมันไว้แน่น ใช้มันปลิดชีวิตตนเองในสภาวะที่สิ้นหวัง
พวกงูฮว่าเสอไม่กลัวมังกรเพลิงอีก พวกมันส่ายไปมาเบื้องหน้านาง คิดหาจังหวะที่ดีที่สุดเขมือบนาง กลิ่นเค็มของไอทะเลลอยหอบขึ้นมา ในปากพวกมันน้ำลายไหลยืดราวสายฝนตกลงบนแขนนาง เสื้อผ้าพลันถูกละลายเป็นรูใหญ่ เผาไหม้ผิวหนังปวดแสบอย่างมาก
เสวียนจีร้องเสียงดังกระโจนตัวขึ้น
สู้ตายแล้ว!
นางพลิกกระบี่เปิงอวี้ในมือวาดผ่านท่อนแขน เลือดสดๆ ราดรดลงบนกระบี่ร้อนราวเปลวเพลิง ควันขาวลอยเสียงฉ่าดังขึ้น นางกัดฟันรวมพลังวัตรที่เหลือทั้งหมดไปที่ปลายนิ้ว วาดนิ้วผ่านกระบี่ร้อนราวเปลวเพลิงทุกตารางนิ้ว กระบี่เปิงอวี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดราวกับเผาไฟร้อน
ในมือราวกับมีใจน้อยๆ ดวงหนึ่งเต้นตุบๆ ความหนักที่เหนือคาดแทบทำให้แทบนางกำไว้ไม่อยู่ เพลิงไฟสว่างจ้าเปล่งออกจากลำกระบี่เป็นสายราวกับใยไหมไปตามที่มือนางลูบผ่าน ค่อยๆ กลายเป็นเส้นสีแดงหลายพันหมื่นสายห่อหุ้มกระบี่เปิงอวี้เอาไว้
ข้อมือนางสั่นระริกรุนแรง ความหนักค่อยๆ ทวีคูณ ในที่สุดก็กัดฟันยกขึ้น ฟันออกไปเต็มแรง เพลิงไฟส่องประกายจ้าราวใยไหมพุ่งออกไป พลันกลายเป็นมังกรเพลิงขนาดหลายจั้งแผ่คลุมทั่วพื้นที่ไม่รู้จำนวนมากมายเท่าไร
บรรดางูฮว่าเสอราวกับระวังมังกรเพลิงพวกนั้นอยู่มาก ถอยหลังทันทีก่อนจะหลบลงทะเล แต่มังกรเพลิงก็ยังคงม้วนตัวตามมาคลุมหัวเหล่านั้นของงูฮว่าเสอมิดไปหมด บรรดางูฮว่าเสอเจ็บปวดแผดเสียงกรีดร้องแหลมดิ้นพล่านอยู่กลางทะเล น้ำทะเลราวกับน้ำเดือดพล่าน
ที่น่าแปลกก็คือมังกรเพลิงเหล่านั้นไม่เหมือนมังกรเพลิงเมื่อครู่ที่แตะโดนน้ำก็ดับ แม้อยู่กลางทะเลก็ยังคงแผดเผา เผาจนน้ำทะเลรอบๆ เดือดเป็นหมอกหนาราวกับหมอกลงจัดในชั่วพริบตา
เห็นหัวงูฮว่าเสอพวกนั้นถูกเผาหมดสิ้น เห็นชัดว่าตายหมดแล้ว เสวียนจีเองก็หมดแรง ถูกมังกรเพลิงส่งขึ้นฝั่งนอนนิ่งไม่ขยับ พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ นางดิ้นรนตะเกียกตะกายขึ้นมา สองตาส่องประกายหันกลับไปตะโกนบอกถิงหนูว่า “เห็นหรือยัง ข้าจัดการพวกมันหมดแล้ว! ครั้งนี้ข้าเป็นคนจัดการคนเดียวจริงๆ!”
ถิงหนูยิ้มเล็กน้อย เข็นรถเข็นออกจากอาณาเขตเวทเข้าประคองนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “ทำได้งดงามมาก แต่วันหน้าเจ้าต้องทำให้งดงามยิ่งกว่านี้”
หลิ่วอี้ฮวนก็วิ่งตามก้นออกมาติดๆ สองตาส่องประกายจับจ้องกระบี่เปิงอวี้ คิดเอื้อมมือไปคว้าก็ไม่กล้า กล่าวติดๆ ขัดๆ ว่า “ร้ายกาจมาก! เสวียนจีน้อย…กระบี่เจ้า…งดงามจริง…ให้ข้าดูหน่อยได้ไหม”
เสวียนจียิ้มหวาน กำลังจะส่งกระบี่ให้อย่างใจกว้าง พลันมองเห็นเงาชุดครามเบื้องหน้าแวบมา อาวุโสหลัวที่ยืนมองการต่อสู้อยู่ข้างๆ อยู่ๆ ลงมือกะทันหัน คว้าหลังหลิ่วอี้ฮวนกระโดดถอยหลังไปหลายจั้ง หลิ่วอี้ฮวนตะโกนไม่หยุด
“ฆ่าคนแล้ว! ช่วยด้วย! ฆ่าคนแล้ว!” เขาส่งเสียงร้องน่าอนาถยิ่งกว่าสุกรถูกเชือด
อาวุโสหลัวแค่นเสียงเย็นโยนเขาลงพื้น เหยียบหน้าอกเขาไว้น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “วันนี้ไม่ฆ่าเจ้า จะนำเจ้าไปลงโทษ! ความผิดชัดเจน จะให้เจ้าได้หลั่งเลือดเซ่นบูชาอดีตเจ้าตำหนัก!”
กระดูกหลิ่วอี้ฮวนถูกเขาเหยียบจนส่งเสียงดังกร๊อบ เจ็บปวดร้องเสียงโหยหวน สองเท้าสองมือตะกุยตะกาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย เสวียนจีร้อนใจจะพุ่งเข้าไปช่วย กลับถูกถิงหนูรั้งไว้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าขยับ รอดูเขา”
อาวุโสหลัวยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ทำไม เมื่อก่อนไม่ได้ชมตัวเองว่าเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งตำหนักหลีเจ๋อ? ไม่เจอกันหลายปี ถึงกับกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไร้แรงกำลังราวกับไก่ถูกมัด?! เจ้าคิดว่าแกล้งทำตัวน่าสงสารแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้าหรือ?”
หลิ่วอี้ฮวนถูกเขาเหยียบจนเหงื่อผุดเต็มหน้า สีหน้าซีดเผือดราวกับใกล้จะหมดลมหายใจจริงๆ แต่ฝีกปากเขายังคงวอนหาเรื่องอยู่ หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “โอย โอย…นั่นไม่ได้ขี้โม้…เหล่าหลัว เจ้าเองก็รู้ดีแก่ใจ ตอนนั้นแท้จริงผู้ใดแพ้ให้ผู้ใด…อา!” เขาร้องเจ็บปวด หอบหายใจเป็นนานก่อนจะกล่าวอีกว่า “ตอนนี้เจ้าได้ทีแก้แค้นแล้วนี่…ข้ารู้เจ้าย่อมจัดการข้าอย่างโหดเ**้ยม…เจ้านี่ แต่ไรก็เจ้าคิดเจ้าแค้น…ก็เพราะใจแคบนี่อย่างไร อดีตเจ้าตำหนักจึงไม่ถูกใจเจ้า แม้เจ้าพยายามฝึกยุทธ์ก็ยังไม่อาจเป็นที่ถูกใจ…เหอๆ…ตำแหน่งเจ้าตำหนักยังสืบทอดไปยังรุ่นน้องเจ้า…ตอนนี้เจ้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักบ้าบออะไรหรือ…ศิษย์รุ่นป้ายแดง…เจ้าขายหน้าไหม…”
แม้ว่าอาวุโสหลัวสวมหน้ากาก มองไม่เห็นสีหน้าเขา แต่คนในระยะห่างสิบจั้งล้วนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความโกรธที่แทบพุ่งทะลุจากร่างเขา เขากล่าวเยียบเย็นว่า “เจ้าปากดีไปเถอะ พ้นวันนี้ไป วันหน้าก็ไม่มีโอกาสพูดแล้ว”
เขาก้มลงคิดจะกระชากเขาขึ้นมา หลิ่วอี้ฮวนอยู่ๆ หัวเราะกล่าวว่า “เจ้าจะทำอะไรข้าได้ ใช่ไหมล่ะ! สัตว์ภูตเลี้ยงมาตั้งนานถูกเด็กผู้หญิงทำตายง่ายๆ…ข้าว่าเจ้าถอยหลังยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีกนะ!”
กล่าวจบเขาไม่รู้เอามีดสั้นมาจากที่ไหน พลิกข้อมือขว้างปักขาอาวุโสหลัว อาวุโสหลัวปฏิกิริยาไวมาก กระโดดหลบทันที พอขาขวาลงพื้นก็อาศัยแรงพุ่งไปข้างหน้า คิคฉวยจังหวะที่หลิ่วอี้ฮวนยังไม่ลุกขึ้นจับกุมเขาไว้ ผู้ใดจะรู้ว่าชายท่าทางน่าอนาถโงนเงนผู้นั้นกลับเคลื่อนไหวได้ไวยิ่งกว่าเขา พริบตาก็รับเท้าที่เตะมาของเขาไว้ได้ ข้อมือพลิกฟันลงบนเข่าเขาทีหนึ่ง
ในใจอาวุโสหลัวพลันตกใจ ออกกระบวนท่าเสียเปล่า กำลังคิดถอย หลิ่วอี้ฮวนราวกับเงาตามตัว เงาร่างสีเทาราวกับตามมาด้านหลังเขาติดๆ ไม่ว่าเขาหลบอย่างไร ลงมืออย่างไรก็ทำอะไรหลิ่วอี้ฮวนไม่ได้ หลายปีมานี้อาวุโสหลัวทุ่มเทชีวิตฝึกฝนทุกวัน พลังวัตรไม่เป็นรองหลิ่วอี้ฮวนนานแล้ว แต่อย่างไรเงาดำที่เคยพ่ายแพ้ให้หลิ่วอี้ฮวนก็ไม่เคยจางหายไป เห็นเขาออกกระบวนท่าเดียวกับตอนนั้น ตนเองอย่างไรก็รับมือไม่ได้ จึงอดลนลานแตกตื่นไม่ได้ เขาใช้พลังวัตรสะบัดพลังออกจากแขนเสื้อ ได้ยินเสียงปึกๆ สองเสียง อาวุธลับอาบยาพิษที่ซ่อนในแขนเสื้อเขาก็พุ่งเข้าใส่แผ่นหลังเงาร่างชุดเทา
หลิ่วอี้ฮวนถือมีดสั้นวาดวงเบื้องหน้า เสียงเคร้งๆ ดังขึ้น อาวุธลับเหล่านั้นถูกเขาฟันร่วงลงพื้น อาวุโสหลัวพลันเคลื่อนไหวกลับหลังหันคิดจะหาช่องโหว่โจมตี พลันต้องตกใจ มีดสั้นนั่นจ่ออยู่ที่คอหอย
หลิ่วอี้ฮวนบีบแขนเขาพลันพลิกข้อมือกลับ ยิ้มกล่าวว่า “เหล่าหลัว บอกว่าเจ้าถอยหลังก็ไม่เชื่อ หลายปีมานี้ข้าไม่ได้ก้าวหน้าแม้แต่น้อย เจ้ายังสู้ข้าไม่ได้ หากอดีตเจ้าตำหนักรู้ ก็คงจะโมโหเจ้ามากกว่าข้าอีก ว่าไหม”
ในใจอาวุโสหลัวสิ้นหวัง ตั้งแต่มีชายหนุ่มผู้นี้ แทบทุกคืนเขาต้องตื่นจากฝันร้ายที่เคยพ่ายแพ้ให้ เขาทุ่มเทฝึกฝนไม่คิดชีวิต หวังเพียงวันหนึ่งจะได้ล้างอาย ได้ลงมือกำจัดศิษย์ทรยศด้วยตนเอง เขาเคยคิดภาพไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่าเขาสองคนได้ปะมือกันจริงจะเป็นอย่างไร ทุกท่ารับมือ ทุกกระบวนท่า เขาล้วนคิดไว้อย่างถี่ถ้วน แต่อย่างไรเขาก็ไม่ทันได้คิดว่ายามได้ปะมือกันจริงๆ ตนเองยังคงแพ้ให้กับไอ้คนเสเพล
เขาแพ้แล้ว ไม่ได้แพ้ให้เขา แต่แพ้ให้กับจิตใจตนเองในหลายปีมานี้
หลิ่วอี้ฮวนมองเขานิ่งเงียบก็รู้ว่าไม่ได้การ พลันยกมือบีบคางเขาไว้ ห่างกันเพียงก้าว เลือดไหลออกจากมุมปากเขา เขาถึงกับเลียนแบบสตรีกัดลิ้นปลิดชีพตนเอง?! หรือว่าแพ้ให้เขามันเสียศักดิ์ศรีมากเช่นนี้?
“ศิษย์พี่…” หลิ่วอี้ฮวนถอนหายใจ พลันเปลี่ยนคำเรียกขาน
อาวุโสหลัวพอได้ยินคำเรียกขานนี้ก็อดสะดุ้งไม่ได้ ในสมองอดคิดถึงตอนนั้นพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องฝึกยุทธ์เล่นกันกันไม่ได้ หลิ่วอี้ฮวนเป็นศิษย์น้องเล็กสุดแต่ฉลาดสุด กระบวนท่าคาถาซับซ้อนอันใด เขาใช้เวลาแค่ไม่เกินสามวันก็เป็น บรรดาศิษย์พี่ทั้งอิจฉาทั้งชื่นชมเขา เขาผู้นี้มีนิสัยเสเพลไม่เอาไหนและยังเจ้าชู้ ตอนนั้นตำหนักหลีเจ๋อยังไม่มีกฎมากเท่านี้ เขามักแอบออกไปหาสาวๆ อยู่บ่อยๆ ตอนกลับมายังเต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องหอม อดีตเจ้าตำหนักวันทั้งวันได้แต่ดุด่าเขา แต่สุดท้ายก็ยังคงรักและเอ็นดูเขา
จริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับหลิ่วอี้ฮวน แต่เขาไม่ชอบร่วมวงนินทากับบรรดาศิษย์พี่ ไม่ชอบร่วมหาเรื่องเขา มีครั้งหนึ่งยังพูดช่วยเขาต่อหน้าอาจารย์ เขาไม่ได้คิดอยากช่วย เพียงแต่ทนดูคนถูกใส่ร้ายไม่ได้
จากนั้นมาเจ้าคนเสเพลนี้ก็เอาแต่ตามติดเขา ไม่ว่าอะไรก็ต้องให้เขาร่วมด้วย ถึงกับบังคับให้เขาไปหาสาวๆ พวกนั้นด้วยกัน…
คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาอดโมโหไม่ได้ น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่ศิษย์พี่คนใช้ไม่ได้เช่นเจ้า! เจ้าทำอดีตเจ้าตำหนักโมโหจนตาย มีหน้ามาเรียกข้าศิษย์พี่?!”
ลิ้นเขาโดนกัดจนเป็นแผลพูดไม่ชัด แต่น้ำเสียงยังคงดุดันไม่ยอมลดราวาศอกแม้แต่น้อย ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อรอบๆ คิดจะเข้ามาช่วย แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ยืนรอจังหวะอยู่รอบๆ ไม่ส่งเสียง
หลิ่วอี้ฮวน “ถุย” ขึ้นเสียงหนึ่ง ถอนใจกล่าวว่า “ข้าก็ไม่ชอบพวกท่านที่ความคิดเน่าเฟะ กฎระเบียบเน่าเฟะ ในเมื่อเป็นมนุษย์ ก็ควรเป็นมนุษย์ที่เปิดเผยมีความสุข ไม่อย่างนั้นจะเป็นมนุษย์ทำไม ตอนนั้นศิษย์พี่ไปร่ำสุรากับข้าไม่ใช่เคยบอกว่าชีวิตเช่นนี้สะใจมากหรือ”
สะใจหรือ?
ใช่แล้ว ตอนนั้นร่วมวงเหลวไหลไปกับเขา แม้ว่าเอาแต่บ่นไม่หยุด แต่วันเวลาที่เหลวไหลอยู่นั้น ถึงกับได้เสพความสุขอิสระเสรีอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน สติเตือนเขาตลอดเวลา เช่นนี้ไม่ถูก ไม่อาจทำเช่นนี้ นี่เป็นการละเมิดกฎระเบียบ แต่ทุกครั้งที่ได้ละเมิดกฎระเบียบ ความรู้สึกถึงอันตรายและนึกเสียใจภายหลัง ผสมกับความรู้สึกสะใจ ทำให้รู้สึกทุกข์สุขผสมผสานราวสติหลุดลอย
เขาคิดว่าจะมีชีวิตเช่นนี้ไปตลอด ผู้ใดจะรู้ว่าอยู่มาวันหนึ่ง หลิ่วอี้ฮวนอยู่ๆ ก็จากไป ไม่พูดไม่จาก็จากตำหนักหลีเจ๋อไป แม้ว่าต่อมาจับเขากลับมาขังคุกได้ แต่เขาก็ทำให้เจ้าตำหนักโมโหผิดหวังกระอักเลือดออกมา ไม่กี่วันก็จากไป
แท้จริงอะไรถูก อะไรผิด ถามใจเขา เขาเองก็ไม่รู้เลย แต่ในเมื่อจะเป็นคน ก็ต้องมีรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง เส้นทางนี้ไม่ถูกเพราะทำให้คนเสียใจมากมาย เช่นนั้นก็เลือกอีกเส้นทาง เรื่องที่สมบูรณ์งดงามดังที่คิด ความทรงจำสะใจนั้น ก็เป็นได้แค่ความฝันฉากหนึ่งแล้ว
อาวุโสหลัวเงียบงันไปนาน ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าสนใจแต่ตัวเองสะใจ ช่างไม่รู้ว่าความสะใจนี้ทำร้ายคนไปมากมายเท่าไร! ใต้หล้านี้ไม่มีใครเห็นแก่ตัวมากเท่าเจ้าแล้ว!”
หลิ่วอี้ฮวนเลิกคิ้วกล่าวว่า “ข้าเห็นแก่ตัวอย่างไร ข้าทำเพื่อตำหนักหลีเจ๋อ! กฎเหล็กของพวกเจ้าเช่นนี้กดทับต่อไป สอนใครได้หรือ เจ้าไม่สู้ลองถามบรรดาศิษย์รุ่ยเยาว์ พวกเขาเข้าใจผู้หญิง เข้าใจโลกภายนอกไหม แม้แต่เรื่องพื้นฐานก็ไม่ให้พวกเขาสัมผัส แท้จริงผู้ใดเห็นแก่ตัว?!”
อาวุโสหลัวเสียงสั่นกล่าวว่า “ข้าไม่โต้เถียงกับเจ้า! วันนี้แพ้ในมือเจ้า นับเป็นฟ้าลิขิต เจ้ารีบลงมือสังหารข้า!”
หลิ่วอี้ฮวน “เชอะ” ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “พูดสู้ข้าไม่ได้ก็เอาความตายมาบีบ เจ้ากับอดีตเจ้าตำหนักเหมือนกันไม่มีผิด ข้าต้องการมีชีวิตตนเอง ไม่อยากมีชีวิตในแบบพวกเจ้า ชีวิตเจ้าอยู่ในกำมือข้า ข้าอยากฆ่าก็ฆ่า ไม่อยากฆ่าก็ไม่ฆ่า เจ้าทำอะไรข้าได้? เหอๆ!”
เขาจ่อมีดสั้นเข้าลำคอเขา พลันกระชากหันหลัง ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อรอบๆ กลัวเขาทำร้ายอาวุโสหลัว ได้แต่ถอยหลัง
หลิ่วอี้ฮวนเสียงกังวานกล่าวว่า “นี่! ถ้ายังไม่ส่งอวี่ซือเฟิ่งออกมาอีก ข้าก็จะสังหารเขาจริงๆ แล้วนะ อ้อ! ข้าหลิ่วอี้ฮวนอย่างไรก็เป็นศิษย์ทรยศที่จิตใจโหดเ**้ยมอยู่แล้ว โมโหตายไปหนึ่งแล้ว ตอนนี้จะสังหารอีกหนึ่งก็ไม่แตกต่าง!”
เขาคำรามจบ ประตูใหญ่ตำหนักหลีเจ๋อก็ยังคงเงียบกริบ ไม่มีเสียงใด
หลิ่วอี้ฮวนเองก็ไม่เคลื่อนไหว ได้แต่ยืนรออยู่ตรงนั้น พลางกล่าวอีกว่า “หากพวกเจ้ารู้สึกศิษย์ตัวเล็กๆ สำคัญกว่าอาวุโส ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ข้าเป็นคนไม่ค่อยอดทน ข้านับถึงห้า หากยังไม่ปล่อยคน ข้าก็จะลงมือจริงๆ แล้วนะ!”
วาจาเขาจบลง ได้ยินประตูตำหนักหลีเจ๋อบานหนักขยับดัง แอ๊ด ค่อยๆ เปิดออก
ศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันออกมา มีศิษย์ป้ายส้มและแดงที่เอวตามออกมาท้ายสุด ตรงกลางสองคนไม่ได้สวมหน้ากาก คนหนึ่งอายุราวสี่สิบ ดวงตากระจ่างใส อีกคนเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ดูงามสง่า เป็นเจ้าตำหนักใหญ่กับอวี่ซือเฟิ่ง