ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 49 ตำหนักหลีเจ๋อ (6)
หนุ่มสาวคู่นี้ใจตรงกัน พลันรู้สึกใต้หล้าไม่มีเรื่องใดหยุดยั้งพวกเขาได้อีก ไม่มีเรื่องใดต้องเป็นห่วงอีก แม้ยามนี้ที่นี่เป็นนรกก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย พวกเขาไม่สนใจกระแสคลื่นลมโดยรอบแม้แต่น้อย จูงมือกันไปยืนด้านหลัง เผยรอยยิ้มบางเริ่มสนทนากันจมลึกลงสู่โลกส่วนตัวของเขาสองคน
อยู่ๆ หลิ่วอี้ฮวนก็หัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะยินดีปรีดา ทำเอาถิงหนูพลอยยิ้มตาม ทั้งสองรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจมาก
“เจ้าตำหนัก วิญญูชนไม่ควรแย่งชิงของรักผู้อื่น ท่านดูภาพตอนนี้ หรือยังคิดแยกคู่นกเป็ดน้ำ”
หลิ่วอี้ฮวนถามไม่เกรงใจ ยังออกจะหยาบคายว่าแม้เขามีสถานะผู้อาวุโสตำหนักหลีเจ๋อ ก็ไม่ควรมีเหตุผลที่จะไปแยกคู่รักจากกัน นับประสาอันใดกับซือเฟิ่งถูกลงคำสาปคู่รักไปแล้ว ก็ได้แต่นับว่าเป็นศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อครึ่งเดียว
สีหน้าเจ้าตำหนักใหญ่ไร้ความรู้สึก เป็นนานจึงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อาวุโสกล่าวหนักไปแล้ว”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “เจ้ารู้ว่ากล่าวหนักก็ดี เช่นนี้แล้วกัน พวกเราไปตอนนี้เลย พวกเจ้าก็อย่าได้บีบคั้นอีกเลย ส่วนอาวุโสหลัว…ข้าถึงเก๋อเอ่อร์มู่ค่อยปล่อยเขา จากนี้อวี่ซือเฟิ่งไม่เกี่ยวข้องกับตำหนักหลีเจ๋ออีก เจ้าว่าข้อแลกเปลี่ยนนี้ได้ไหม”
เจ้าตำหนักใหญ่ยิ้มเล็กน้อย “ตำหนักหลีเจ๋อเหมือนจะเสียเปรียบไปสักหน่อยแล้ว อาวุโสบีบบังคับผู้น้อยหรือ”
หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาใส่ “ทำไม! เจ้ายังคิดให้ข้าปล่อยอาวุโสหลัวตอนนี้ให้ได้ นั่นย่อมไม่ได้ พวกเจ้าคนมาก ทั้งยังโหดเ**้ยม อาวุโสหลัวก็แค่เกราะกำบังให้พวกเรา หากคืนให้พวกเจ้าตอนนี้ ข้ามันก็ลาแก่โง่ๆ แล้ว!”
เจ้าตำหนักใหญ่พลันนิ่งเงียบไม่กล่าวอันใด อาวุโสหลัวถูกหลิ่วอี้ฮวนจี้ลำคอไว้ หายใจยากลำบาก หากพูดจายังคงดุดัน ราวกับคนถูกจี้ไว้ไม่ใช่ตัวเขา
“เจ้าตำหนัก ไม่ต้องสนใจพวกศิษย์ทรยศ! ไม่ต้องสนใจข้า ตำหนักหลีเจ๋อเป็นสถานที่อะไร ไหนเลยปล่อยให้พวกเขามาเหิมเกริมเช่นนี้ได้!”
หลิ่วอี้ฮวนกดมีดสั้นลงบนลำคอเขา หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ชื่อเสียงล้วนจอมปลอม ชีวิตตนจึงสำคัญที่สุด คิดไม่ถึงผ่านไปหลายปีท่านก็ไม่เปลี่ยนไปเลย วันๆ เอาแต่เสแสร้งทรงคุณธรรม ทำปล่อยวางอิสระ!”
อาวุโสหลัวกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าคนไร้ยางอาย! ข้าไม่อยากพูดกับเจ้า! เจ้าตำหนัก ไม่ต้องสนใจข้า รีบจับตัวพวกเขาไว้!”
หลิ่วอี้ฮวนเห็นเจ้าตำหนักใหญ่เอาแต่นิ่งไม่กล่าวอันใด เกรงว่านานไปจะเสียเปรียบ จึงรีบเป่าปากขึ้นเบาๆ บนท้องฟ้าเห็นกระบี่ศิลาเล่มใหญ่บินมาอย่างรวดเร็วจากขอบฟ้า มาหยุดลงริมทะเล ราวกับม้าจริงๆ เรียกก็มา
“พวกเจ้าขึ้นไปก่อน” เขาออกคำสั่ง
ถิงหนูพยักหน้าพาอวี่ซือเฟิ่งกับเสวียนจีขึ้นกระบี่ศิลาไปก่อน รอเขาอยู่ไกลๆ
หลิ่วอี้ฮวนจี้ตัวอาวุโสหลัวไว้ ค่อยๆ ถอย สองตาจับจ้องบรรดาคนตำหนักหลีเจ๋อ ไม่ให้รอดสายตาแม้แต่คนเดียว เนื่องจากเจ้าตำหนักใหญ่ไม่ออกคำสั่งเสียที ทุกคนก็ไม่กล้าลงมือ ได้แต่มองเขาพาตัวคนไปยังหน้ากระบี่ศิลาตาปริบๆ
“ถิงหนู เอาเชือกมัดปีศาจมาให้ข้า” หลิ่วอี้ฮวนสั่งแต่ไม่หันกลับไป
ถิงหนูรีบคว้าเชือกที่เตรียมไว้ก่อนหน้าออกจากแขนเสื้อ เชือกมัดปีศาจเป็นเชือกลงมนตร์คาถา หากถูกรัดเข้า แม้มีพลังเวทเทียมฟ้าก็ไม่อาจเปล่งพลังได้ หลิ่วอี้ฮวนใช้เชือกมัดปีศาจมัดอาวุโสหลัวไว้แน่นหนา เขาถูกเชือกมัดไว้แล้ว กำลังกายก็แทบไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ไม่อาจดิ้นรนขัดขืนได้แม้แต่น้อย
“ไป! พวกเราไปกันได้แล้วน้อ!” หลิ่วอี้ฮวนน้ำเสียงยินดี หันหลังคว้าอาวุโสหลัวลากขึ้นกระบี่ศิลา พลันได้ยินเสียงร้องตกใจของเสวียนจีเบื้องหน้า เขาได้สติผลักอาวุโสหลัวไปข้างหน้า หันกลับไปคิดรับมือ เงาร่างชุดครามวาบขึ้นตรงหน้า เจ้าตำหนักใหญ่อาศัยจังหวะที่เขาหันหลังไม่ทันระวัง ในที่สุดก็ลงมือ
หลิ่วอี้ฮวนมองเงาร่างเขาว่องไวราวปีศาจ เคลื่อนไหวราวสายฟ้า มองไม่ชัด ในใจก็อดตกใจไม่ได้ ได้แต่ยกมีดสั้นขึ้นป้องกันตัว รอให้เขาโจมตีถึงตัวค่อยตอบโต้กลับ
ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าตำหนักใหญ่พลันกระโดดขึ้น น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ทิ้งคนไว้!” เงาร่างชุดครามนั้นถึงกับลอยเหนือจากพื้นราวจั้งกว่า ลอยตัวพลิ้วไหว วิชาตัวเบาระดับนี้น่าตกใจจริงๆ ทุกคนมองเขาผ่านเหนือศีรษะไป ก่อนจะลดระดับลงมาเอื้อมมือคิดแย่งชิงอาวุโสหลัว การเคลื่อนไหวไหลลื่นติดต่อกันราวสายน้ำไหล ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เขาก็มาถึงเบื้องหน้าแล้ว
หลิ่วอี้ฮวนรีบออกกระบวนท่า ผู้ใดจะรู้ว่าอีกฝ่ายสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ก็ม้วนยึดมีดสั้นเขาไว้ได้แล้ว มีดสั้นหลุดออกจากมือ ยามนั้นเขาตกใจจนกล่าวไม่ออก เงยหน้ามองเจ้าตำหนักที่ลงมือรวดเร็ว ชุดครามสะบัดพลิ้ว ปลายเท้าแตะพื้นทรายเล็กน้อย ถึงกับไม่ทิ้งรอยเท้าไว้บนเม็ดทรายแม้แต่น้อย
เสวียนจีมองเขาเข้ามาใกล้ ก็รีบชักกระบี่เปิงอวี้ออกมาคิดรับมือ แต่ถูกอวี่ซือเฟิ่งคว้าไว้ ลังเลครู่หนึ่ง หลิ่วอี้ฮวนก็ไล่ตามมาถึงแล้ว แม้ว่าการเคลื่อนไหวไม่ได้เร็วเหมือนเจ้าตำหนักใหญ่ แต่ความเร็วถึงกับไม่ช้า ยกมือคว้าหลังมือเขาไว้ เจ้าตำหนักใหญ่เอี้ยวตัวอ้อมผ่านข้างแขนเขาไปอย่างนุ่มนวล กางนิ้วมือทั้งห้าราวกับดีดพิณ ก่อนจะคว้าไหล่เขาไว้ได้
“อา!” หลิ่วอี้ฮวนไม่รู้จริงหรือเท็จ ร้องดังราวเจ็บปวด อยู่ๆ แปรเปลี่ยนกระบวนท่า สองแขนควงราวกังหันลมไร้รูปแบบ มุ่งเข้าโจมตีเจ้าตำหนักใหญ่อย่างไร้กระบวนท่า ท่าทางเช่นนั้นไม่เหมือนประลองยุทธ์กัน แต่เหมือนหญิงบ้ากำลังบ้าคลั่ง
เจ้าตำหนักใหญ่ก็เหมือนไม่รู้รับอาการคลั่งของเขา เป็นที่รู้กันว่าหากหลิ่วอี้ฮวนคิดหาเรื่องก่อกวน เทพเซียนก็ไร้หนทางรับมือ เขาทำหน้าไม่ถูก ได้แต่ถอยหลังหลายก้าวมองความบ้าคลั่งของเขา
หลิ่วอี้ฮวนรู้สึกเพียงแค่ส่วนที่ถูกเขาแตะโดนเริ่มหนาวเหน็บขึ้นเรื่อยๆ ราวมันมีอะไรทะลุเข้าผิวหนัง ทำเอาชีพจรและเส้นเลือดแข็ง บ่าพลันหนักอึ้ง ราวกับแบกก้อนน้ำแข็งหลายสิบชั่ง ในใจเขารู้ว่าไม่ได้การแล้ว โดนคาถาน้ำแข็ง ทันทีที่แตะโดน เส้นเลือดในกายทั่วร่างก็จะแข็งตัว แข็งไปจนถึงหัวใจ แม้แต่เทพเซียนก็ย่อมต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาเหวี่ยงแขนอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว กัดฟันตบกระบี่ศิลา น้ำเสียงดุดันว่า “พวกเจ้าไปกันก่อน!”
กระบี่ศิลาถูกเขาตบทีหนึ่งก็ขยับเล็กน้อย เหมือนจะทะยานขึ้นฟ้า แต่ส่ายไปมาสองทีก็นิ่งลงดังเดิม ไม่ยอมบินขึ้น เสวียนจีเห็นเขาไม่ขึ้นมา อดไม่ได้ร้อนใจกล่าวว่า “พี่หลิ่ว! ท่าน…ท่านอย่าอยู่ต่อคนเดียว!”
เขาเหมือนไม่ได้ยิน ไม่หันกลับไปมอง ความเยียบเย็นที่ไหล่พลันไหลลามลงไปยันท่อนล่างของร่างกาย ทำให้คนไม่อาจขยับตัว เขาพลันแสยะยิ้มมองเจ้าตำหนักใหญ่ กล่าวว่า “มิน่าจึงได้มอบตำแหน่งเจ้าตำหนักให้เจ้า ไม่ธรรมดานะเนี่ย”
เจ้าตำหนักใหญ่ยกมือหนึ่งขึ้น ออกคำสั่งดุดัน “จับตัวไว้ให้หมด!”
บรรดาคนตำหนักหลีเจ๋อที่อยู่ในความสงบมาแต่ต้น พลันชักกระบี่ออกจู่โจม พริบตาคมกระบี่ก็คลุมทั่วท้องฟ้า ศิษย์อายุน้อยกับบรรดาอาวุโสผสานกำลัง ทั่วผืนทะเลเต็มไปด้วยกลิ่นอายกระบี่หนาแน่น ล้วนเล็งไปยังสองสามคนริมทะเล เห็นชัดว่าเจ้าตำหนักใหญ่ตัดสินใจทิ้งอาวุโสหลัว รักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีของตำหนักหลีเจ๋อไว้ หากพลังกระบี่ปล่อยออกไปทั้งหมด อย่าว่าแต่หลิ่วอี้ฮวน เกรงว่าทั่วชายหาดคงต้องพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินแล้ว
หลิ่วอี้ฮวนสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นแล้ว โหดเ**้ยมมาก รับมือได้ดีนี่!”
วาจากล่าวจบ พลันด้านหลังมีคลื่นร้อนปะทะมา เขาหันกลับไปอย่างงุนงง เห็นกระบี่เปิงอวี้ในมือเสวียนจีปล่อยมังกรเพลิงหลายสายทะยานมาอย่างรวดเร็วอย่างร้อนใจ นางน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าได้รังแกกันมากเกินไป!”
กล่าวจบก็จะตวัดกระบี่ปล่อยมังกรเพลิง ก่อนหน้านี้ในตำหนัก เจ้าตำหนักใหญ่ก็เคยเห็นความร้ายกาจของอัคคีสมาธิจิตนางแล้ว แม่หนูน้อยนี่มีบางอย่างน่าประหลาด หากบีบคั้นนาง เปลวเพลิงเกรงว่าจะร้ายกาจยิ่งกว่าเมื่อครู่ อัคคีสมาธิจิตไม่เหมือนเพลิงธรรมดา นั่นคือเพลิงสวรรค์ ทุกคนในตำหนักหลีเจ๋อไม่อาจต้านทานเปลวเพลิงเช่นนี้ได้ เกรงแต่ว่าคงต้องตายกันอนาถ
เขาเปลี่ยนใจทันที พริบตาก็คิดถึงวิธีการมากมาย ขยับเท้าร่างชุดครามพลิ้วไหว พริบตาบุกมาตรงหน้าเสวียนจี ยกมือคิดแย่งกระบี่นาง เสวียนจีไม่ทันระวังการเคลื่อนไหวรวดเร็วของเขาเช่นนี้ อดถอยหลังไปก้าวหนึ่งไม่ได้ เขาเปลี่ยนกระบวนท่ากลางคัน แขนเสื้อสะบัดคว้าเอาอวี่ซือเฟิ่งที่บาดเจ็บหนักข้างๆ ไว้
ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับไม่มาช่วยอาวุโสหลัวแต่มาจับอวี่ซือเฟิ่งกลับไป หลิ่วอี้ฮวนกับถิงหนูพากันตกใจ แต่เพราะถูกคาถาน้ำแข็งไม่อาจขยับตัวได้ อีกมือหนึ่งก็ไร้เรี่ยวแรงราวไก่ถูกมัด ได้แต่ถลึงตาใส่
เจ้าตำหนักคว้าคอเสื้ออวี่ซือเฟิ่งไว้ เห็นว่าเขากำลังถูกกระชากกลับไป พลันรู้สึกข้างใบหน้าร้อนผ่าว ราวกับมีไฟลามเลียมา เจ็บปวดยิ่ง ข้างหูได้ยินเสียงเข้มของเสวียนจี “ปล่อยเขา!”
เขามั่นใจว่าเสวียนจีประสบการณ์น้อย และมั่นใจในความเร็วตนเอง จึงทำเป็นไม่ได้ยิน แตะปลายเท้าถอยหลังไปหลายจั้ง กำลังจะรวมสมาธิดีดตัวขึ้น กลับมองเห็นเพลิงแรงเจิดจ้าเบื้องหน้า มังกรเพลิงนับไม่ถ้วนทะยานขึ้น เร็วกว่าเขาหลายเท่า เจ้าตำหนักใหญ่ตกใจมาก ไม่อาจสนใจอวี่ซือเฟิ่งอีก โยนเขาออก ก่อนจะสะอึกถอยหลัง แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ถูกมังกรเพลิงตัวหนึ่งกัดเข้าที่หน้าอก เปลวไฟแผดเผา ความเจ็บปวดยากบรรยาย คนนิ่งเช่นเขาถึงกับปวดจนต้องคำรามดัง พวกที่ถูกมังกรเพลิงพาดผ่านล้วนนอนแผ่อยู่บนพื้นทราย เป็นตายไม่อาจคาดเดา
ทุกคนในตำหนักหลีเจ๋อเห็นเจ้าตำหนักถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ล้วนตกใจหน้าซีด ไม่อาจสนใจปล่อยพลังกระบี่อีก พากันกรูเขามาดูอาการบาดเจ็บ
หลิ่วอี้ฮวนไม่สนใจคาถาน้ำแข็งบนร่างกายตนเอง พุ่งเข้าแย่งอวี่ซือเฟิ่งมาก่อน ถิงหนูก็เข้ารับต่อพาเขาทั้งสองคนขึ้นกระบี่ศิลา หลิ่วอี้ฮวนหอบหายใจ ผลักอาวุโสหลัวที่ขยับตัวไม่ได้ลงไป เขากลิ้งไปบนพื้นทรายหลายตลบ สายตาราวกับสังหารคนได้ ถลึงตาใส่หลิ่วอี้ฮวน เขาหัวเราะเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ศิษย์พี่ ดูแลตัวเองให้ดี ไว้พวกเราพบกันใหม่!” กล่าวจบก็ตบกระบี่ศิลาอีกที กล่าวว่า “เร็ว รีบไปเร็ว!”
กระบี่ศิลาในที่สุดขยับไหวเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ลอยนิ่งอยู่บนก้อนเมฆ ก่อนจะหายไปอย่างไร้เงา