ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 50 ตำหนักหลีเจ๋อ (7)
ปฏิบัติการแย่งชิงตัวอันน่าตื่นเต้นนับได้ว่าจบลงอย่างสำเร็จงดงาม มีเพียงคาถาน้ำแข็งในตัวหลิ่วอี้ฮวนที่ยังร้ายกาจ ไม่รู้จะสลายไปเมื่อไร ดีที่เขาเข้มแข็ง ก้มหน้าไม่ร้องสักคำ ขอยืมกระบี่เปิงอวี้เสวียนจีมาทาบไว้ที่บ่า ธาตุเดิมกระบี่เปิงอวี้แข็งแกร่งมาก มาทาบลงบนบ่าก็ค่อยๆ ให้ความอบอุ่น ดีที่ทำให้น้ำแข็งก้อนนั้นคลายตัวลงอย่างรวดเร็ว
เขาได้รับบาดเจ็บจึงไม่อาจเหินกระบี่ได้ไกล ได้แต่กลับไปเก๋อเอ่อร์มู่ก่อน เสวียนจีเห็นเขาพอถึงพื้นก็สลบไปทันที อดร้อนใจกล่าวขึ้นไม่ได้ “ทำอย่างไรดี ต้องแก้คาถาน้ำแข็ง?”
ถิงหนูกับอวี่ซือเฟิ่งต่างมีสีหน้าหนักใจ ผ่านไปครู่หนึ่ง ถิงหนูจึงได้กล่าวว่า “คาถาน้ำแข็งหลบเร้นอยู่ในชีพจรภายใน กำจัดยากที่สุด จากที่ข้ารู้มา มีเพียงสองวิธี หนึ่ง ตามคนว่าคาถามาแก้ สอง ใช้มนตร์คาถาที่เป็นปรปักษ์กันขจัดทิ้ง”
เขาไม่ได้กล่าววาจาที่เหลือออกมา ทุกคนต่างเข้าใจว่าสองวิธีนี้มีความเป็นไปได้แทบจะเท่ากับศูนย์ ไม่กล่าวถึงเจ้าตำหนักใหญ่ที่ถูกมังกรเพลิงเสวียนจีทำบาดเจ็บ ตายหรือไม่ก็ไม่แน่ชัด แม้ว่าไม่ตาย เขาก็ย่อมไม่มาช่วยแก้คาถาน้ำแข็ง ส่วนคาถาน้ำแข็งเป็นธาตุน้ำ ที่เป็นปรปักษ์กับน้ำก็คือดิน ที่นี่ผู้ใดก็ไม่เป็นวิชาธาตุดิน จึงได้แต่จ้องมองกันไปมาคิดอะไรไม่ออก
ทั้งสามหารือกันอยู่เป็นนานก็คิดหาวิธีไม่ได้ เห็นหลิ่วอี้ฮวนหนาวจนปากม่วงคล้ำ สั่นไปทั้งตัว พวกเขารีบพากันหาผ้าห่มมาให้เขาสามสี่ผืน ยังสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์เอากระถางไฟขนาดใหญ่เข้ามาสี่กระถาง วางไว้ตามมุมห้องให้เผาไหม้อยู่ตลอด ถิงหนูถอดเสื้อหลิ่วอี้ฮวนออก เห็นบ่าขวาเขาลงไปถึงแขนทั้งแขนล้วนกลายเป็นสีเขียวอ่อนๆ สีเขียวนี้ค่อยๆ ลามไปยังฝั่งซ้าย
เขารีบวางกระบี่เปิงอวี้แนบไปกับขอบส่วนที่เป็นสีเขียว รู้สึกเพียงแค่ความเร็วในการลุกลามเหมือนว่าช้าลงหน่อย จึงรีบหันกลับไปกล่าวว่า “เสวียนจี เจ้าไปร้านยาในเก๋อเอ่อร์มู่ถามดูหน่อย มีขายหญ้าก้านหยกตากแห้งไหม หากมีก็ซื้อมาสองตำลึง เอากลับมาเคี่ยวเป็นน้ำ”
พอเสวียนจีได้ยินว่าหญ้าก้านหยกก็รีบกล่าวว่า “เป็นหญ้าก้านหยกเขาคุนหลุนหรือ”
ถิงหนูอึ้งเล็กน้อย “มีหญ้าก้านหยกเขาคุนหลุนได้ก็ย่อมดียิ่ง แต่นั่นแพงมาก คิดว่าน่าจะไม่มีขาย หญ้าก้านหยกธรรมดาก็ได้”
เสวียนจีรีบควานหาในถุงหอมตนเอง ควักเอาหญ้าแห้งกลิ่นหอมประหลาดออกมา กล่าวว่า “ข้ามีหญ้าก้านหยกเขาคุนหลุน! ยอดเขาเสี่ยวหยางปลูกไว้เลี้ยงสัตว์ภูตมากมาย ข้าเห็นว่าหอมดี ดังนั้นจึงตากแห้งแล้วใส่ไว้ในถุงหอม…เจ้าดูสิ ใช้ได้ไหม”
ถิงหนูดีใจมาก รีบรับหญ้าแห้งกำนั้นมาดูอย่างละเอียดทีละก้าน เห็นเพียงยาวเรียวแหลม ยอดใบขดตัว เป็นหญ้าก้านหยกเขาคุนหลุนที่สูงค่าจริงๆ หญ้าก้านหยกนี้ยังให้ผลผลิตเป็นผลก้านหยกเอาไว้เลี้ยงสัตว์ภูตเพื่อเสริมพลังได้ดีมาก
เขายิ้มกล่าวว่า “คนสิ้นเปลืองเช่นเจ้าใต้หล้าเช่นนี้หาได้น้อยมาก ถึงกับเอาหญ้าก้านหยกมาทำเครื่องหอม หากเถ้าแก่ร้านยาเห็นเข้า คงต้องโมโหแทบกระอักเลือดแน่นอน”
เสวียนจีถลึงตาจ้องมองอย่างไม่เห็นด้วย
ที่แท้หญ้าก้านหยกเป็นสมุนไพรสูงค่า หญ้าก้านหยกเขาคุนหลุนยิ่งเป็นของล้ำค่าที่ยิ่งไม่อาจหมายปอง เถ้าแก่ร้านยาตั้งมากมายเท่าไรที่หาจนหัวหมุนกว่าจะหาหญ้าก้านหยกเขาคุนหลุนได้สักก้านสองก้าน ราคาท้องตลาดดีดตัวสูงจนเหลือเชื่อ แพงเสียยิ่งกว่าโสมป่าที่ดีที่สุดอีก ดังนั้นเสวียนจีเอามาทำเครื่องหอมใส่ถุงหอม ไม่รู้จักค่าของสิ่งที่หาได้ยาก ตาแก่พวกนั้นหากรู้เกรงว่าคงสาปแช่งให้ฟ้าผ่านางให้ตายไปเลย
ในเมื่อมีหญ้าก้านหยก ทุกคนจึงไม่พูดมากต่อ เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งลงไปต้มยาข้างล่าง ถิงหนูอยู่เฝ้าหลิ่วอี้ฮวนในห้อง เอาน้ำร้อนเช็ดตัวให้เขา
เสวียนจีทำตามคำสั่ง ล้างหญ้าก้านหยกให้สะอาดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะวางลงหม้อต้มยาเติมน้ำครึ่งหนึ่ง เหล้าครึ่งหนึ่ง วางลงเตาใช้ไฟอ่อนเคี่ยว พลันมีคนจ้องมองนางจากด้านข้าง นางหันกลับไปสบตากับดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มของอวี่ซือเฟิ่ง ใบหน้านางแดงระเรื่อ อดยกมือปัดผมที่ระข้างแก้มออกไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ทำไม ใบหน้าข้ามีอะไรติดหรือ”
เขาส่ายหน้า ก้าวเข้าไปกุมมือนางไว้ เอามาแนบไว้ที่หัวใจตนเอง เสวียนจีทั้งตกใจและดีใจ รู้สึกเพียงแค่เขาราวกับใจกล้ากว่าเมื่อก่อนมาก แม้ว่าไม่เข้าใจว่าทำอะไร แต่ในใจก็เต้นแรงอย่างดีใจมาก เป็นนานก่อนจะพึมพำกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง…เจ้า เจ้าไม่นึกเสียใจภายหลังใช่ไหม พี่หลิ่วบอกว่า…วันหน้าเจ้าไม่อาจกลับไปบ้านได้อีกแล้ว…ข้าทำร้ายเจ้า ข้าไม่รู้ควรชดใช้ให้อย่างไรดี”
เขายังคงส่ายหน้า ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า “ระหว่างเจ้ากับข้า ไยต้องกล่าวเรื่องชดใช้ แต่ไรมาข้าไม่เคยสบายใจเลย คาถาทำให้คอยคิดมาก ไม่อาจปล่อยเรื่องราวพวกนี้ผ่านไปได้ จนมาถึงตอนนี้จึงได้เข้าใจ ที่คิดไม่ตกก็คือตนเอง”
เขามองเสวียนจีเหมือนเข้าใจ แต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ อดยิ้มเล็กน้อยไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่แยกจากกันอีก”
ในใจเสวียนจีสุดแสนจะดีใจ ยิ้มกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง พวกเราต้องรีบแข็งแกร่งขึ้น! จากนั้นไปเขาปู้โจวซานช่วยหลิงหลง ศิษย์พี่หก ศิษย์พี่รองออกมาให้หมด พอช่วยกลับมา พวกเราก็ออกท่องเที่ยวธรรมชาติ ดีไหม”
เขาได้แต่ยิ้ม ไม่รู้นึกอะไรขึ้นมาได้ หว่างคิ้วพลันมีแววกลัดกลุ้ม สับสนไม่รู้คิดอะไร
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้ากำลังคิดเรื่องคำสาปคู่รัก? หน้ากากนั้นไม่เคยยิ้ม…จะมีผลอะไรไหมอย่างนั้นหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งตะลึงเล็กน้อย กล่าวว่า “ไม่ใช่ ในใจข้าตอนนี้ไม่หวาดกลัวอีกแล้ว คำสาปคู่รักทำอะไรข้าไม่ได้แล้ว ข้าแค่คิด…คิดว่า…”
คิดอะไร เสวียนจีจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโตดำขลับ
ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจ เอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ข้ากำลังคิดถึงอาจารย์…เลี้ยงดูข้ามาจนโต ตอนนี้…ข้าเป็นห่วงอาการเขา ไม่ได้กล่าวอำลาสักคำก็จากมา รู้สึกผิดต่อบุญคุณอาจารย์จริงๆ”
เสวียนจีคิดถึงตนเองทำร้ายเจ้าตำหนักใหญ่บาดเจ็บก็รู้สึกเก้กัง ลูบใบหูตนกล่าวเบาๆ ว่า “ขอโทษ เป็นข้าวู่วามเอง…ครั้งหน้า…ข้าจะไปตำหนักหลีเจ๋อขอขมาเขากับเจ้า ขอให้เขายกโทษให้ ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขา จะต้องทำได้”
อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะ พรืด ออกมาเสียงหนึ่ง ขยี้ศีรษะนางทีหนึ่ง “ฝีปากเจ้านี่นะ…คงไม่หวังหรอก จริงๆ แล้วขอเพียงได้อยู่กับเจ้าทุกวัน ข้าก็พอใจมากแล้ว ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็น”
เสวียนจีอดกอดเขาไม่ได้ แนบใบหูกับหัวใจเขา ฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะของเขา รู้สึกเพียงแค่อ้อมกอดเขาอบอุ่น อวี่ซือเฟิ่งกางสองมือกอดนางไว้ อ้อมกอดอบอุ่นละมุนละไมเช่นนี้เทียบกับอ้อมกอดแน่นร้อนแรงแล้วทำให้คนรู้สึกหวั่นไหวยิ่งกว่า เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “ซือเฟิ่ง พี่หลิ่วเคยถามข้า ข้าทำอะไรให้เจ้าได้ถึงขั้นไหน เขาว่าเจ้าละทิ้งหนทางถอยทั้งหมด ข้ากลับยังมีทางถอย แต่เขาไม่เข้าใจสักนิด แม้ว่ามีหนทางถอยมากมาย เส้นทางเหล่านั้นไม่มีเจ้าก็ไร้ความหมาย ยามนี้พวกเราอยู่ด้วยกันแล้ว มีเพียงเส้นทางเดียวที่เดินไปได้ ผู้ใดก็ไม่ให้ทิ้งผู้ใด ไม่ว่าผู้ใดหากเดินหลงทางไป ก็ไม่มีทางหวนกลับ ข้า…เหมือนกับเจ้า ไม่มีทางหวนกลับ ครั้งนี้…จะไม่มีใครมาว่าข้าผิดต่อเจ้าอีก…จริงๆ แล้ว จริงๆ แล้วข้า…”
นางราวกับพูดปัญหาใหญ่หลวง อึกอัก ไม่รู้ต่ออย่างไร
อวี่ซือเฟิ่งประคองแก้มนางไว้ ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคิดมากขนาดนี้เมื่อไรกัน ข้าเพิ่งรู้นะเนี่ย”
เสวียนจีหน้าแดงระเรื่ออึกอัก “บางครั้ง…อาจคิด…ข้าไม่ใช่ท่อนไม้…”
หญ้าก้านหยกด้านหลังเดือดควันปุด กลิ่นประหลาดกำจายไปไกลมาก ทำเอาคนในโรงเตี๊ยมพากันตามหากลิ่นหอมนี่กันใหญ่ เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งรีบผละจากกัน ท่าทางเขินอายเล็กน้อย ปลายหูแดงก่ำ เห็นหญ้าก้านหยกต้มเพิ่งเสร็จ ทั้งสองค่อยๆ รินลงชาม เห็นอีกฝ่ายยังหน้าแดงอยู่ อดยิ้มให้กันไม่ได้
หญ้าก้านหยกเขาคุนหลุนนับว่าช่วยคุมคาถาน้ำแข็งในตัวหลิ่วอี้ฮวนได้ชั่วคราว ให้ไปกระจุกกันที่แขนขวาเป็นวงก้อนเขียวคล้ำ ถิงหนูว่าภายในครึ่งปีไม่เป็นไร ขอเพียงในครึ่งปีนี้หาคนที่เป็นวิชาธาตุดินได้ เช่นนั้นหลิ่วอี้ฮวนก็รักษาแขนขวานี้ไว้ได้ ไม่ตาย หากเลยครึ่งปีไปก็ย่อมอันตราย เขาย่อมต้องตัดแขนทิ้ง หากไม่คิดให้คาถาน้ำแข็งทะลวงหัวใจ
“ข้าไม่อยากเสียแขน! ไม่อย่างนั้นการค้านี้ขาดทุนแย่!” หลิ่วอี้ฮวนนอนอยู่บนเตียง ปากก็พ่นน้ำลายแตกฟองไม่หยุด เขากล่าวออกมาเช่นนี้ ทำเอาอวี่ซือเฟิ่งกับเสวียนจีตรงหน้าพยักหน้าหงึก มืออวี่ซือเฟิ่งประคองชามยาป้อนใส่ปากเขาอย่างระมัดระวัง ยิ้มกล่าวว่า “พี่หลิ่ววางใจ ข้าต้องหาคนเป็นวิชาธาตุดินมาช่วยท่าน มา ดื่มยานี่ให้หมด”
หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาใส่ท่าทางสมเหตุสมผลกล่าวว่า “เหลวไหล แน่นอนต้องให้พวกเจ้าสองคนไปหาสิ อาการข้านี่เพราะผู้ใดกัน พวกเจ้าช่วยก็ย่อมเป็นเรื่องสมควร ไม่ช่วยสิเรียกว่าพวกอกตัญญู!”
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ใช้ช้อนตักยาป้อนเข้าปากเขา เขาจะได้เลิกบ่น เอาแต่พูดจาไม่น่าฟัง
เสวียนจีกล่าวว่า “พี่หลิ่ว ท่านรู้ไหมว่าสำนักพวกนี้มีใครเป็นวิชาธาตุดินไหม ข้ากับซือเฟิ่งกะว่าพรุ่งนี้จะออกเดินทางไปค้นหา”
หลิ่วอี้ฮวนดื่มยาไปครึ่งชาม ยิ้มกล่าวว่า “พรุ่งนี้คงไม่ต้องแล้ว ข้าน่ะ ล้อเล่นเท่านั้น อาการบาดเจ็บที่แขนนี่ทิ้งไว้ ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่เป็นไร ระยะนี้ข้ายังมีเรื่องส่วนตัวต้องจัดการ รอพวกเจ้าไม่ไหว อีกสองสามเดือนก็เริ่มงานชุมนุมปักบุปผาแล้วไม่ใช่หรือ คนสี่สำนักใหญ่ต้องไปรวมตัวกันที่เกาะฝูอวี้ ที่นั่นมีคนมากมายไปออกัน ย่อมต้องมีคนเป็นวิชาธาตุดิน ถึงตอนนั้นพวกเราเจอกันบนเกาะ”
อวี่ซือเฟิ่งตกใจเล็กน้อย “พี่…ไม่อยู่กับพวกเราหรือ แต่อาการพี่ใหญ่…”
หลิ่วอี้ฮวนส่ายหน้ากล่าวว่า “อีกครึ่งปีจึงจะกำเริบ ไม่เป็นไร ข้าชายชาตรีทั้งแท่ง ไม่อยากมาขลุกอยู่กับผีน้อยเช่นพวกเจ้าสองคนหรอก อย่าเห็นข้าเช่นนี้นะ มีเรื่องเป็นการเป็นงานทำเหมือนกันนะ”
เรื่องเป็นการเป็นงานของเขาคงไปหอคณิกาดื่มสุรากระมัง เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งมองเขาด้วยสีหน้าจนตรอก
“เช่นนั้น พี่ใหญ่กลับเมืองชิ่งหยาง?” อวี่ซือเฟิ่งคิดถึงบุญคุณความแค้นของเขากับตำหนักหลีเจ๋อเมื่อก่อน ครั้งนี้ทำร้ายเจ้าตำหนักบาดเจ็บ เขาอยู่ข้างนอกรอนแรมคนเดียว ไม่อาจวางใจได้จริงๆ
“ไม่ ข้าเปลี่ยนที่เที่ยว…อ้อ ไม่ ข้ายังมีอีกที่ต้องไป เจ้าถามมากมายเช่นนี้ทำไมกัน” หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาใส่
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้าเป็นห่วงท่าน”
หลิ่วอี้ฮวนอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง ในยามนั้นสองตาก็ส่องประกาย มุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้มชั่วร้ายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา คล้องคอลากอวี่ซือเฟิ่งมา หัวเราะกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้าหนุ่ม! คิดว่าเจ้ามีสาวน้อยก็ลืมข้าแล้วนะเนี่ย!”
อาการอวี่ซือเฟิ่งยังไม่ดีนัก ถูกเขาลากมาเช่นนี้ก็วิงเวียนหน้ามืด กล่าวเพียงว่า “ได้ๆ! พี่ใหญ่ไปเองแล้วกัน พวกเรา…ไม่ตามท่านแล้ว”
หลิ่วอี้ฮวนปล่อยเขา กล่าวว่า “พวกเจ้าตามข้าก็ไม่มีประโยชน์ อาการเจ้ายังไม่หายดี เดินทางไกลไม่ได้ อยู่รักษาตัวที่นี่ดีกว่า กลับไปเจอกันที่เกาะฝูอวี้ ขอให้โชคดี”
พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ กล่าวอีกว่า “ข้าต้องพาถิงหนูไปด้วย มีเรื่องให้เขาช่วย”
เขาต้องพาถิงหนูเสียคนแน่! เสวียนจีมองเขาอย่างสงสัย คิดถึงครั้งก่อนที่หอคณิกาได้เห็นถิงหนูผู้แสนสุภาพเรียบร้อยถึงกับมีหญิงคณิกาล้อมหน้าล้อมหลังเขา นางรู้สึกคนเบื้องหน้าช่างเป็นคนไม่ดีจริงๆ
หลิ่วอี้ฮวนกระแอมไอ “อย่ามองข้าเช่นนี้ เจ้าเป็นคนของเฟิ่งหวงน้อยแล้ว ต้องรักษาจารีตสตรี…”
“พี่ใหญ่!” อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าฝืดเฝื่อน
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะสองเสียง พลันทำสีหน้าจริงจังกล่าวว่า “ไม่ล้อเล่นแล้ว พวกเจ้าสองคนอยู่ที่นี่ต่อ เสวียนจีดูแลเฟิ่งหวงน้อยให้ดี อาการเขาไม่น้อย หากยังรอนแรมเดินทาง คิดว่าอาจทำให้พลังภายในอ่อนกำลัง ต้องพักรักษาตัวให้ดีๆ จริงๆ แล้วความหมายข้าก็คือดีที่สุดอย่าอยู่เก๋อเอ่อร์มู่ต่อ ที่นี่ใกล้กับเขาปู้โจวซานมาก ข้ากลัวเหตุเปลี่ยนแปลง…แต่อาการเขาก็ไม่เหมาะกับการเดินทางไกล ได้แต่อยู่ต่อไปก่อน สรุป พวกเจ้าต้องระวังตัวให้มาก เสวียนจี เจ้าอย่าได้วู่วาม หลายเรื่องไม่ได้ง่ายเหมือนที่เจ้าคิด เรื่องทุกเรื่องล้วนต้องรองานชุมนุมปักบุปผา พวกเราพบกันแล้วค่อยว่ากัน เข้าใจไหม”
ทั้งสองไม่ค่อยได้เห็นท่าทางเป็นการเป็นงานของเขาเช่นนี้ พากันมองแล้วรีบพยักหน้า
หลิ่วอี้ฮวนถอนหายใจยาว พิงหัวเตียง กล่าวเบาๆ ว่า “จะว่าไป จิ้งจอกม่วงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย …หวังว่านางพ้นเคราะห์กรรมนี้ได้ก็จะดี”
ในใจเสวียนจีสะดุ้ง ร้อนใจกล่าวว่า “พี่หลิ่วรู้นางอยู่ที่ไหนหรือ”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ที่ควรมาอย่างไรก็ต้องมา เคราะห์ที่ต้องประสบอย่างไรก็หลบไม่พ้น แต่ละคนมีเคราะห์กรรมของตน วันหน้าหากมีวาสนาก็ย่อมได้พบกันเอง”
ทั้งสองรู้ วันนั้นเขาเห็นจากดวงตาสวรรค์ คิดว่าคงรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่ไม่อาจเปิดเผยลิขิตฟ้า แม้ว่าเขารู้ ก็ย่อมไม่อาจกล่าวออกมา จิ้งจอกม่วงน่าจะไม่มีอันตรายอะไร เสวียนจีถอนใจโล่งอก
หลิ่วอี้ฮวนดื่มหมดก็วางชามลง เอนตัวลงนอนห่มผ้าคลุมโปง ร้องว่า “ข้าจะนอนแล้ว! พวกเจ้ารีบออกไปสิ! อย่ามาเอาเปรียบข้านะ!”
เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งกลั้นหัวเราะไม่ไหว สบตากันก่อนจะจูงกันออกจากห้องไป